อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่ 151 เป็นคนอย่าได้สวมหน้ากากให้มาก
“ไป ตามข้ามา”
อี้เฉินเฟยยิ้มอ่อนโยน กุมมือนุ่มของนาง พานางไปทางใต้อย่างสบายคุ้นทาง
กู้ชูหน่วนแลมือใหญ่ของเขาทีหนึ่ง มือของเขาขาวเนียนเรียวยาว อบอุ่นมาก เมื่อถูกมือใหญ่ของเขาห่อหุ้มก็ให้ลูกสึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
ความรู้สึกนั้นมาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ เชื่อมั่นไปโดยปริยาย
กู้ชูหน่วนไม่ขยาดความรู้สึกนี้
เขาพานางไปถึงปราการทางใต้แห่งหนึ่ง
บนปราการนั้นผู้คนเบาบาง แขวนธงใหญ่ที่ปักเป็นดอกกล้วยไม้อยู่สูงเป็นคันๆ อี้เฉินเฟยตีฉีโส่ว(*คนถือธง) สองคนที่แยกตัวออกมา ถอดชุดของพวกเขาอย่างรวดเร็ว แม้แต่หน้ากากกระดูกก็ถอดออกมาด้วย
“เปลี่ยนชุดของพวกเขา เราจะปลอมตัวเข้าไป”
กู้ชูหน่วนไม่หลบ เปลี่ยนชุดอย่างเปิดเผย
ใบหน้าอี้เฉินเฟยร้อนผ่าว เบือนหน้าไป แววตาเอ็นดูเจือความจนใจ “คุณหนูสาม ชายหญิงมิควรถูกเนื้อต้องตัวกัน แบบนี้จะดีจริงหรือ?”
กู้ชูหน่วนกลอกตาขาวใส่
นางแค่ถอดเสื้อตัวนอกออก ข้างในยังใส่อีกตั้งหลายชั้น มีอะไรต้องหลบกัน?
“ข้าหิวจัง”
อี้เฉินเฟยกระแอมเสียงเบานิดหน่อย จากนั้นก็หมุนตัวไปหยิบขวดยาเล็กๆ มาขวดหนึ่ง
มือเรียวยาวเปิดจุกออก หยดใส่ทั้งสองที่หมดสติอยู่กับพื้นสองสามหยด
จากนั้นทั้งสองก็กลายเป็นน้ำขุ่นกองหนึ่งด้วยความเร็วที่ดวงตามองเห็นได้ สุดท้ายก็อันตรธานหายไป แม้แต่กระดูกก็ไม่เห็น
“ยาละลายกระดูก”
เห็นอี้เฉินเฟยเป็นเทพบนแดนดิน อากัปกิริยางามสง่า ใบหน้ามักมีรอยยิ้มบางๆ
แม้แต่เวลาสังหารคน ดวงตาคู่นั้นก็ยังอ่อนโยนถึงที่สุด
และก็เป็นดวงตาอ่อนโยนคู่นี้ เขาสังหารคนอย่างตาไม่กะพริบ ประหนึ่งสำหรับเขาแล้ว นี่เป็นเพียงเรื่องปกติธรรมดาเท่านั้น
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ”
ไม่รู้เป็นเมื่อใด อี้เฉินเฟยเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว และใส่หน้ากากกระดูกอันนกลัวนั้นด้วย หันมายิ้มอ่อนโยนกับนาง
กู้ชูหน่วนเดินขึ้นหน้าไปก่อน ส่ายหน้า สะท้อนใจเอ่ย “เซียนกวีแคว้นจ้าว คุณชายสามแห่งสำนักหรูเจีย ล้วนเป็นบัณฑิตผู้อ่อนแอ ขับกวีวาดภาพ มือไม้ไร้เรี่ยวแรง? เฮอะ…พี่เฉินเฟย เป็นคนอย่างได้สวมหน้ากากหลายชั้นนัก จะสะดุดล้มเอาง่ายๆ”
“เจ้านี่ ข้าช่วยเจ้าแล้วยังถูกเจ้าตำหนิอีกหรือ? มิเช่นนั้นข้าหันหาย้อนกลับ เจ้าไปบุกเผ่าปีศาจเองแล้วกัน”
“แค่นี้ก็โมโห ไปเถอะๆ อย่างมากข้าค่อยเที่ยวเป็นเพื่อนท่านเจ็ดวัน”
“ให้จริงเถอะ ข้ากลัวแต่จะอายุสั้น”
ทั้งสองพูดคุยสนุก ขึ้นไปถึงจุดยอดของปราการแล้ว
สองข้างทางของปราการมีทหารยามสวมหน้ากากกระดูกอยู่มากมาย ครั้นเห็นพวกเขาเข้ามา ก็ให้พวกเขาแสดงป้ายคำสั่งมิได้ทำให้ลำบาก
แต่เป็นผู้คุมที่อยู่ข้างหน้าคนหนึ่งตะโกนใส่พวกเขาอย่างหงุดหงิด “พวกเจ้าชักช้าอะไร ยังไม่รู้มาเอาทาสบำเรอพวกนี้กลับไปอีก!”
กู้ชูหน่วนเดินไปข้างหน้า พลางสำรวจทุกอย่างที่อยู่โดยรอบ
ที่นี่คล้ายคลึงกับกำแพงเมืองจีน หรือก็พูดได้ว่าเดิมนี่ก็คือกำแพงเมืองจีน มีช่องรูและแท่นจุดสัญญาณไฟ จุดสูงสุดของยอดเขาล้วนมีกำแพงเลื้อยลดเหมือนกัน
สิ่งเดียวที่แตกต่าง นั่นก็คือแท่นจุดสัญญาณไฟที่อยู่บนกำแพงเมืองจีนจะมีเชือกขึงอยู่ ทั้งยังเชื่อมโยงถึงกัน บนเชือกนั้นมีกระเช้าที่ทำขึ้นจากไม้แขวนอยู่สองสามอัน กระเช้านี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใช่ เล็กก็ไม่เชิง กระเช้าไม้แต่ละอันสามารถบรรจุคนได้สิบกว่าคน
เวลานี้ในกรงนั้นมีชายหนุ่มอยู่สิบห้าคน
ชายหนุ่มเหล่านี้หน้าตาหล่อเหลา รูปร่างผอมบาง สองมือถูกมัดอยู่ข้างหลัง ใบหน้าซีดเผือดเผยความหวาดกลัว
ชายงามที่อยู่ด้านข้างยังถือธงดอกกล้วยไม้อีกหลายอัน องครักษ์ที่สวมหน้ากากกระดูกเฝ้าคุม