อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่ 252 งานแต่งที่วุ่นวาย
บทที่ 252 งานแต่งที่วุ่นวาย
“หนึ่งคำนับฟ้าดิน”
เย่จิ่งหานในชุดแดงมงคล ขับให้ดูมีพลังมากขึ้นหลายส่วน เขามองเจ้าสาวที่อยู่ข้างกาย ในดวงตาเจือรอยยิ้มนิดๆ
สองขาเขาพิการ ได้แต่นั่งรถเข็นไหว้ฟ้าดิน
นาทีนี้ ในใจเย่จิ่งหานทั้งตุ้มๆ ต่อมๆ ทั้งเปรมปรีดิ์ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีวันที่เขาก็สามารถมีครอบครัวมีลูกได้เหมือนคนทั่วไป
นับแต่นาทีนี้ หญิงที่อยู่ข้างกายก็คือผู้หญิงที่เขาจะปกป้องจนกว่าชีวิตจะหาไม่
หากเทียบกับความเปรมปรีดิ์ของเย่จิ่งหาน กู้ชูหน่วนเฉยเมย เพียงแต่อยากรีบไหว้ฟ้าดินให้จบจะได้กลับไปนอน
องค์หญิงตังตังพึมพำอุบ “ก็ไม่รู้ว่านางนี่มีดวงอาจมสุนัขอะไร กลับได้แต่งกับเสด็จอาจริงๆ”
ในใจเย่มู่เจ๋อร้อยอารมณ์หงุดหงิด
หากตอนนั้นเขาไม่ยกเลิกการหมั้นหมาย เวลานี้ที่นางแต่งด้วยก็ควรเป็นเขาถึงจะถูก
ในงานชุมนุมแข่งขันบุ๋น กู้ชูหน่วนทำให้เขาอับอายขายหน้า เขาควรแค้นนาง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ระยะนี้ในสมองกลับหวนนึกถึง เป็นท่าทางนางที่ยิ้มพรายอยู่ตลอด
ทุกการขมวดคิ้วและรอยยิ้ม ทุกการเคลื่อนไหวของนางก็งดงามขนาดนั้น
เขาเสียใจภายหลังบางส่วน เสียใจที่ตอนนั้นถอนหมั้น ครุ่นคิดว่าจะถามกู้ชูหน่วนว่ายินดีออกเรือนกับเสด็จอาจากใจจริงหรือไม่
องค์หญิงตังตังกระตุกเสื้อของอ๋องเจ๋อ เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เสด็จพี่ หรือว่าต่อไปข้าต้องเรียกนางว่าเสด็จอาสะใภ้จริงๆ แล้ว?”
อ๋องเจ๋อไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่า
เดิมกู้ชูหน่วนควรเป็นชายาของเขา บัดนี้เปลี่ยนไปหมด กลับกลายเป็นเสด็จอาสะใภ้ของเขา ฐานะห่างกันหนึ่งชั่วอายุเต็มๆ
“สองคำนับบรรพบุรุษ”
เนื่องจากบิดามารดาสิ้นแล้ว ฮ่องเต้ก็แค่ส่งคนมามอบของขวัญชิ้นใหญ่ ไม่ได้มา ดังนั้นการคำนับครั้งที่สองนี้ ที่คำนับก็คือบรรพบุรุษ
ทว่าวาจาของผู้จัดพิธียังไม่สิ้นโดยสมบูรณ์ กู้ชูหน่วนก็คำนับลงไปแล้ว และไม่สนใจว่าเย่จิ่งหานจะคำนับด้วยหรือไม่
การวิจารณ์รอบด้านค่อยๆ ดังขึ้น
“คุณหนูสามกู้..ไม่ ควรเรียกว่าพระชายาหานแล้ว พระชายาหานจะรีบเกินไปกระมัง นางกลัวว่าเทพสงครามจะกลับคำ ไม่แต่งกับนางแล้วหรือ?”
“ก็ต้องแน่อยู่แล้ว ก็หน้าตาน่าเกลียดเช่นนั้น ที่แต่งด้วยยังเป็นเทพสงครามที่มีอำนาจเทียมฟ้า นางแต่งงานครั้งนี้ สุสานบรรพบุรุษได้ผุดควันเขียวแล้ว (*เป็นสิริมงคล เกิดเรื่องน่ายินดีหรือได้เป็นขุนนาง)”
“ชู่ วันมงคล เจ้าพูดเรื่องพวกนี้ ระวังเทพสงครามจะชักดาบกับเจ้า”
“ผึบ…”
ดวงตาดาบของเย่จิ่งหานส่งไป ทุกคนต่างหนาวสะท้าน ไม่กล้าพูดอะไรอีก
แต่พวกคนที่เพิ่งวิจารณ์เหล่านั้น กลับเสียวสันหลังวาบ รู้สึกว่าเทพสงครามได้ยินการวิจารณ์ของพวกเขาแล้ว
นาทีนี้ พวกเขาราวกับตกสู่โพรงน้ำแข็ง นึกเสียใจยิ่งนัก ได้แต่ภาวนาให้อย่าเกิดเรื่องใหญ่อะไร
ราชวิทยาลัยมีคนมาไม่น้อย อารมณ์และความคิดแต่ละคนก็ต่างไปต่างๆ นานา
บ้างดีใจกับนาง บ้างริษยาเต็มทรวง บ้างรอดูนางถูกทิ้ง
อาจารย์สวีลูกเคราขาว แต่กลับดีใจกับนาง
ซ่างกวนฉู่หยัดตรงสง่างาม ดั่งเทพเซียนหลุดจากโลกีย์ โฉมหน้าหล่อเหลาแห่งยุคนำพาซึ่งรอยยิ้มนิดๆ เพียงแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด สีหน้าของเขากลับระคนขาวซีดที่ยากสังเกตได้เล็กน้อย ราวกับได้รับบาดเจ็บ
สามีภรรยาจะคำนับซึ่งกันและกันบัดเดี๋ยวนี้แล้ว อ๋องเจ๋อกำมือตนเองแน่น หัวใจที่ลังเลอยู่ค่อนวัน จู่ๆ ก็ตัดสินใจได้
เขาก็ไม่รู้ว่าเอาความกล้ามาจากไหน กลับยืนขึ้นมา เอ่ยปากถาม “กู้ชูหน่วน วันนั้นที่ถอนหมั้นเป็นเพราะข้าไม่ตั้งใจ หากเจ้าไม่อยากแต่งกับเขา การแต่งงาน…”
“อ๋องเจ๋อ หรือว่าเจ้าจะชิงตัวเจ้าสาว?”
เย่จิ่งหานกำลังยิ้ม แต่การยิ้มนั้นกลับทำให้คนสั่นได้โดยที่ไม่หนาว เขาเพียงนั่งอยู่ตรงนั้นก็มีความน่าเกรงขามที่ไม่ต้องบันดาลโทสะ ทรงอำนาจและบารมีที่ดูแคลนใต้หล้า
อ๋องเจ๋อเกรงกลัวเทพสงครามตั้งแต่เด็ก เพียงสายตาหนึ่งของเทพสงคราม เรือนร่างของเขาก็สั่นกว่าค่อนวัน
บัดนี้นัยน์ตาทั้งคู่ของเทพสงครามหรี่เล็กน้อย ยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม ยิ่งชวนให้ขนหัวลุก
เขากลัว เขาอยากถอย
แต่หากถอย ชีวิตนี้ก็จะเสียกู้ชูหน่วนไปแบบถาวร
อ๋องเจ๋อก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีความรู้สึกอย่างไร ชอบกู้ชูหน่วน หรือแค่เจ็บใจหญิงที่เดิมควรเป็นของตนเองไปแต่งกับคนอื่น และเขาก็ไม่รู้ว่าเอาความกล้ามาจากไหน กลับหยัดตัวตรง เอ่ยเสียงดัง
“หลานมิกล้า เพียงแต่หากคุณหนูสามกู้ไม่อยากแต่งกับเสด็จอา แม้เสด็จอาจะเป็นถึงเทพสงคราม แต่ก็บีบบังคับใครไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
ไอเย็นจากตัวเย่จิ่งหานระลอกหนึ่งเย็นเยียบกว่าอีกระลอกหนึ่ง เขาเคยคิดว่าจอมมารจะมาก่อความวุ่นวาย เคยคิดว่าเผ่าเทียนเฟิ่นจะมีสร้างเรื่อง หนึ่งเดียวที่คิดไม่ถึง อ๋องเจ๋อกลับกล้าชิงตัวเจ้าสาวอย่างเปิดเผย
ทุกคนในห้องโถงหลักต่างรู้สึกว่าบรรยากาศผิดไปอยู่บ้าง เย็นเยียบจนพวกเขาสั่นระริก
แทบไม่ต้องคิดก็รู้ เทพสงครามพิโรธแล้ว
เมื่อเกิดโทสะ บางทีชาตินี้ของอ๋องเจ๋อก็สูญสิ้นแล้ว
อ๋องเย่แห่งแคว้นเย่ มีคนเท่าใดถูกเทพสงครามสังหารไปแล้ว หนึ่งในนั้นยังมีพี่ชายแท้ๆ ของเขาด้วย
พี่ชายแท้ๆ ของเทพสงครามยังกล้าเอาชีวิต นับประสาอะไรกับหลานคนหนึ่ง
คนจำนวนมากต่างลุ้นระทึกแทนอ๋องเจ๋อ
ในใจกู้ชูหน่วนลอย ‘มารดามันเถอะ’ มาเป็นกอง เจื้อยแจ้วอยู่นั่น เมื่อไรถึงจะไหว้ฟ้าดินเสร็จ
นางเอ่ยด้วยโทสะ “อ๋องเจ๋อ วันนี้เป็นวันมงคลของข้า เจ้าจำต้องมาก่อเรื่องด้วยหรือ? ที่แต่งกับเย่จิ่งหานเป็นความสมัครใจของข้า เกี่ยวอะไรกับเจ้า?”
อ๋องเจ๋อหน้าซีด เริ่มทำตัวไม่ถูก
และทำตัวไม่ถูกกว่าเดิมเมื่อกู้ชูหน่วนเสริมอีกประโยค “ตอนแรกที่ถอนหมั้นก็คือเจ้า วันนี้ที่ชิงตัวเจ้าสาวก็คือเจ้าอีก อย่างไร? หรือว่าค้นพบมโนธรรมในจิตใจ เสียใจภายหลังแล้ว? หรือว่าชอบข้า?”
“ข้า…”
“ข้ารู้สึกว่าท่านคล้ายสุกรสองตัว เพราะสุกรตัวเดียวไม่อาจบรรยายความเขลาของเจ้าได้”
อ๋องเจ๋อเดือดดาล
นางผู้นี้ หน้าผากเขาถูกลาถีบไปแล้วจริงๆ ถึงเป็นห่วงที่นางแต่งกับเสด็จอาเป็นเพราะถูกบีบบังคับ
“คนที่ใส่ใจข้ามากปรกติมีแค่สองประเภท หนึ่งคือแอบชอบข้า สองคือแอบวางแผนกับข้า ข้าดูแล้วอ๋องเจ๋อกลับเหมือนอย่างที่สอง ท่านอ๋อง คนมีใจไม่บริสุทธิ์เช่นนี้ หรือว่าเก็บไว้กินสุกี้หรือ?”
กู้ชูหน่วนกล่าวได้อย่างมีเหตุผลหนักแน่น ฉะฉานมีมารยาท ราวกับนางเป็นผู้ที่เพิ่งได้รับการลบหลู่อย่างหนักผู้นั้น
มุมปากเย่จิ่งหานแฝงรอยยิ้ม ไม่รู้เพราะประโยคนั้นที่ว่า ‘แต่งกับเย่จิ่งหานเป็นความสมัครใจของข้า’ จึงมีอารมณ์ดีมากหรืออย่างไร
เขาโบกมือ จานนั้นก็มีคนจะตะเพิดอ๋องเจ๋อออกไป
“บังอาจ! ข้าเป็นถึงอ๋องแห่งราชวงศ์ พวกเจ้ากล้าทำเช่นนี้กับข้าหรือ?”
“เฮอะ กล้ามาชิงตัวเจ้าสาว ไม่ให้เจ้าเดินแนวขวางออกไปก็ดีแล้ว ยังกล้ากำเริบอีก ไล่ออกไป!”
อ๋องเจ๋อถูกหามโยนออกไป แขกเหรื่อทั้งงานต่างเห็น ขายหน้าหมดจดทั้งจากในถึงนอก
ผู้คนพากันซุบซิบ วิพากษ์วิจารณ์
นี่เป็นอ๋องที่ถูกไล่ออกงานแต่งงานคนแรกในประวัติศาสตร์ วันพรุ่งนี้ต้องเป็นเรื่องเล่าหลังอาหารของประชาชนในพระนครเป็นแน่
ศักดิ์ศรีของเขา สูญสิ้นไปอีกครั้ง
กู้ชูหน่วนตะโกน “ยังบื้อทำอะไร ยังขาดอีกหนึ่งคำนับมิใช่หรือ? เร็วเข้า!”
เหล่าแขกเหรื่อครึกโครมขึ้นอีกครั้ง
กู้ชูหน่วนเร่งแต่งงานกับเทพสงครามจริงแท้ นางเกรงว่าเทพสงครามจะสลัดนาง ทิ้งนาง
นางผู้นี้ไร้ยางอายเสียจริง
มีอย่างที่ไหน เจ้าสาวพยายามเร่งเร้าในขณะไหว้ฟ้าดิน
ครั้นผู้จัดพิธีนึกขึ้นได้จึงรีบตะโกนเอ่ย “สามีภรรยาคำนับกันและกัน”
“ฮัดชิ่ว!”
ยังมิทันได้คำนับครั้งที่สาม กู้ชูหน่วนก็จามทีหนึ่ง ทำจนผ้าแดงคลุมศีรษะปลิวออกไป
เงียบ…
เมื่อนั้นก็เงียบไปทั้งงาน เงียบจนได้ยินกระทั่งเสียงหัวใจเต้นของทุกคน
เจ้าสาวจามทีหนึ่ง กลับจามจนผ้าแดงคลุมศีรษะปลิวได้?
ผ้าแดงคลุมศีรษะมิควรให้เจ้าบ่าวเปิดออกหรือ?
นี่ๆๆๆ…
ผ้าแดงคลุมศีรษะนี้ตกไปแล้ว ยังจะไหว้ฟ้าดินอะไรอีก?