อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่ 32 ข้ารักษาเจ้า เจ้าปล่อยข้าไป
กู้ชูหน่วนรีบหลบออกไป แต่มือใหญ่นั้นเป็นเหมือนเงา ไม่ว่านางจะหลบยังไง ก็ยังหลบไม่ได้เสียที
ไม่มีทางเลือก กู้ชูหน่วนจึงต้องกลิ้งตัวออกไปเหมือนปลาไหล กลิ้งไปข้างๆด้วยท่าทีที่สุดจะทรหด ถึงหลบการโจมตีของเขาได้
เมื่อกี้ นางรู้สึกเหมือนความตายเข้ามาเยือนจิตใจ
ชายผู้นี้ ถ้าอยากฆ่านางจริงๆ ฝ่ามือพิฆาตเมื่อกี้เอาชีวิตของนางได้เลยนะ
นางหัวเราะแหะๆ “ท่านอ๋องผู้สูงส่ง ปรารถนาในสิ่งใดก็สมหวังในสิ่งนั้น คงไม่รังแกหญิงสาวไร้ทางสู้อย่างข้าหรอก จริงไหมเพคะ”
“หญิงสาวไร้ทางสู้งั้นเหรอ?”
เหอะ
นางเป็นหญิงอ่อนแอเหรอ?
ขนาดผู้ชายยังกล้าข่มขื่น นี่ยังเรียกว่าหญิงอ่อนแองั้นเหรอ?
“แน่นอนเพคะ ท่านดูสิ แขนขาของข้าทั้งเล็กทั้งบาง จะสู้กับท่านได้อย่างไร เรื่องเมื่อก่อนข้ารู้ตัวว่าผิดไปแล้ว ท่านโปรดเมตตา ให้อภัยหม่อมฉันด้วยเถิด หม่อมฉันรับรองว่าต่อไปจะไม่กล้าเอาเปรียบท่านอีกแล้ว……”
ฟึ่บ……
อุณหภูมิภายในรถม้าลดลงอย่างเห็นได้ชัด
สีหน้าของเย่จิ่งหานดำเป็นก้อนถ่าน พลังอาฆาตแผ่ซ่านออกมาจากรอบกายของเขา
กู้ชูหน่วนคิดในใจว่าไม่ได้การแล้ว รีบพูดก่อนที่เย่จิ่งหานจะโมโหไปมากกว่านี้
“ท่านอ๋อง ยังไงข้าก็เคยช่วยชีวิตของท่านไว้ พวกเราหยวนๆกันดีไหม”
“เจ้าคิดว่าไงล่ะ”
กู้ชูหน่วนขนลุกซู่ไปทั้งตัว
นางรู้สึกว่าเรื่องราวไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
“พวกเรามาตกลงเงื่อนไขกันไหม”
“เหอะ……อย่างเจ้าน่ะเหรอ?” เย่จิ่งหานมองนางด้วยมาดหยิ่งผยอง เหมือนกำลังมองมดตัวหนึ่งที่แสนจะต่ำต้อย
“ใช่ ข้านี่แหละ ข้า……”
“เอี๊ยด……”
ทันใดนั้นรถม้าก็เบรกกะทันหัน กู้ชูหน่วนไม่ทันตั้งตัว นางล้มไปข้างหน้าอย่างแรง
แต่ตรงหน้าของนางมีเย่จิ่งหานนั่งอยู่ ถ้านางล้มลงไป คงต้องกระโจนเข้าหาตัวเขาแน่
สองครั้งก่อนอาการยาพิษในร่างกายกำเริบ ขยับร่างกายไม่ได้ แต่ครั้งนี้……
กู้ชูหน่วนไม่ลังเลเลยสักนิด ถ้าครั้งนี้กระโจนเข้าหาตัวเขาอีก เย่จิ่งหานคงได้ฆ่านางโดยไม่ลังเลแน่
“ฟิ้วๆๆ……”
ธนูหลายร้อยลูกพุ่งมาเหมือนสายฟ้าแสบ ทะลุเข้ามาในรถม้าที่เย่จิ่งหานนั่งอยู่
กู้ชูหน่วนกะพริบตา มือขวาพยุงโต๊ะไว้ กระโดดขึ้นตีลังกา รับลูกธนูที่ยิงไปที่เย่จิ่งหานเอาไว้
ในขณะเดียวกัน ปลายเท้านางก็เขย่งขึ้น ปกป้องเย่จิ่งหานจากธนูที่ยิงมาหลายร้อยลูก เผชิญหน้ากับความเป็นความตาย นางกลับไม่ถอยเลยสักก้าว
การกระทำของนางเกิดขึ้นจากจิตใต้สำนึก นัยน์ตาสีดำของเย่จิ่งหานก็เปล่งประกายขึ้น มองกู้ชูหน่วนด้วยสายตาที่สับสน
“มีนักฆ่า ปกป้องท่านอ๋อง”
ด้านนอกรถม้า เสียงฆ่าบั่นคอกันดังขึ้น
ภายในรถม้า กู้ชูหน่วนปกป้องอย่างสุดกำลัง อันตรายรอบตัว
แต่ทว่า……
เย่จิ่งหานที่กำลังถูกลอบโจมตีนั้น กลับมีท่าทีสง่างาม ชงชาและจิบชาอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนการลอบสังหารครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับเขาเลย
กู้ชูหน่วนโมโหจัด
ทำไมนางต้องกลายเป็นผู้ปกป้องเขาด้วย
“ฟึ่บ……”
หลังจากเตะธนูลูกสุดท้ายออกไปได้แล้ว กู้ชูหน่วนก็นั่งลงตรงหน้าเขาอย่างเกียจคร้าน แย่งแก้วชาในมือเขามาดื่มรวดเดียว โดยไม่สนใจพลังพิฆาตที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาเลย
“ชานี้ไม่เลวเลยนะ มีอีกไหม? ให้ข้าสักสองสามกิโลสิ”
“……”
กู้ชูหน่วนหัวเราะแหะๆ เปิดม่านชะโงกหัวออกไปดู นัยน์ตาของนางก็หดลงไปทันที
นั่นคือภาพสมรภูมิ ลูกน้องครึ่งหนึ่งปกป้องรถม้าของเย่จิ่งหานไว้ อีกครึ่งก็กลายเป็นนักฆ่าที่สังหารฝ่ายชุดดำ สังหารโดยไร้ซึ่งความปรานี
แม้พวกเขาจะดูวุ่นวาย แต่ทุกคนต่างมีพลังและพร้อมเพรียงกัน ดูแล้วก็เหมือนผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี
นักฆ่าชุดดำแม้จะมีฝีมือชั้นสูง ยังไงก็สู้พวกเขาไม่ได้ ถูกฆ่าไปทีละคนเรื่อยๆ
แล้วดูนักสู้เก่งๆสองคนที่อยู่ข้างเย่จิ่งหานสิ ชิงเฟิง เจี่ยงเสวียสองคน แค่ขี่ม้าคอยปกป้องขนาบสองข้างรถม้า แววตาเกรี้ยวกราดอยู่ในสงคราม
กู้ชูหน่วนเข้าใจแล้วล่ะ
เมื่อกี้ตอนที่ธนูยิงเข้ามาในรถม้า นางคอยปกป้องสุดกำลัง เป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ แค่นักฆ่าพวกนี้จะทำอะไรเย่จิ่งหานได้งั้นเหรอ
เจ้าหมอนี่ ตั้งใจหัวเราะเยาะนางสิท่า
นักฆ่าถูกสังหารจนหมด ความเร็วของรถม้าก็ไม่ลดลงเลย ยังคงมุ่งหน้าต่อไป เหมือนเรื่องเมื่อกี้ไม่เคยเกิดขึ้น หรือพวกเขาอาจจะชินแล้วก็ได้
ภายในจวนอ๋องหาน
เย่จิ่งหานนั่งอยู่ตำแหน่งหลัก จิบชาด้วยท่าทีที่สง่างาม รอบกายแผ่ซ่านไปด้วยความเยือกเย็นที่ไม่อาจละสายตาได้
กู้ชูหน่วนเป็นเหมือนนักโทษที่ยืนอยู่ด้านล่าง รอการสอบปากคำจากคนด้านบน
นางเบะปาก ถ้าไม่ใช่เพราะนางผิด นางไม่มีทางยอมอยู่แบบนี้หรอก
นางเลื่อนเก้าอี้ออกมาเอง แล้วนั่งไขว่ห้างลงไป จากนั้นก็พูดว่า “ชิวเอ๋อร์ ไปชงชามาให้ข้าทีสิ”
ชิวเอ๋อร์เดินเซ เกือบล้มหน้าทิ่มลงไปบนพื้น
นี่เป็นจวนอ๋องหานเชี่ยวนะ นางจะกล้าไปยกชามาได้ยังไง อีกอย่าง อ๋องหานยังไม่ได้พูดอะไรเลย
ชิงเฟิงกับเจี่ยงเสวียก็มองผู้หญิงตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ผู้หญิงคนนี้หรือว่าจะเป็นผู้หญิงที่เอาเปรียบท่านอ๋องของพวกเขาในวันนั้น?
นอกจากนาง พวกเขาก็คิดไม่ออกแล้วว่า ยังมีใครที่กล้าทำตัวโอหังต่อหน้าท่านอ๋องอีกแล้ว
“ยังนิ่งอยู่ใบ รีบไปสิ”
ชิวเอ๋อร์กะพริบตา สองมือพยายามโบกไปมา ขาก็สั่นพั่บๆไม่ไหว เหมือนจะล้มหน้าทิ่มได้ทุกครั้ง
กู้ชูหน่วนหมดคำจะพูด เทพสงครามน่ากลัวขนาดนั้นเชียวเหรอ?
“ท่านอ๋องรูปหล่อใจดีแถมยังอ่อนโยนใจกว้างอีก แม้พวกเราจะขัดใจเขา คิดว่าเขาคงไม่ว่าอะไรพวกเราหรอก เจ้ากลัวอะไร”
ทุกคนที่อยู่ในนั้นเกือบกัดลิ้นตัวเอง
ท่านอ๋องรูปหล่อใจดีแถมยังอ่อนโยนใจกว้างงั้นเหรอ?
นางแน่ใจนะว่านางพูดออกมาจากใจจริง?
กู้ชูหน่วนกะพริบตาอย่างบริสุทธิ์ใจ จนกระทั่งขยับไปที่หน้าโต๊ะเย่จิ่งหาน แล้วหัวเราะแหะๆ “ท่านอ๋อง พวกเรามาตกลงเงื่อนไขกันเถอะ”
ชิงเฟิงกับเจี่ยงเสวียสะดุ้ง เป็นห่วงผู้หญิงคนนี้ขึ้นมา
คนที่กล้าเข้าใกล้ท่านอ๋องก่อน คงถูกประหารไม่ก็ถูกห้าม้าแยกร่าง นางไม่กลัวตายบ้างหรือไง?
สิ่งที่พวกเขาแปลกใจก็คือ ท่านอ๋องยังไม่ลงมือฆ่านาง
“เจ้ารู้หรือไม่ คนที่ตกลงเงื่อนไขกับข้าสุดท้ายแล้วจะเป็นยังไง?”
“รู้ ตายไง”
“เหอะ เจ้ารู้ดีนักนะ”
“พวกเขาคือพวกเขา ข้าคือข้า และความนับถือที่ข้ามีต่อท่านอ๋องเป็นเหมือนดั่งสายน้ำที่ไหลออกมาไม่หยุด เป็นเหมือนแม่น้ำเหลืองที่กว้างใหญ่ จนไม่อาจเก็บไว้ในใจได้”
เย่จิ่งหายที่เย็นชาแค่ไหนก็อดกระตุกยิ้มมุมปากไม่ได้
ผู้หญิงคนนี้ พูดโกหกได้โดยไม่เขินอาย นางไม่กลัวจะโดนตัดลิ้นหรือไงกัน
“ข้าให้โอกาสเจ้าโน้มน้าวไม่ให้ข้าฆ่าเจ้า”
“เจ้าปล่อยข้าไป ข้าช่วยเจ้ารักษาพิษในร่างกาย และรักษาสองขาของเจ้าด้วย ส่วนเรื่องการแต่งงาน พวกเราก็เป็นแค่สามีภรรยากำมะลอ ไม่ยุ่งเกี่ยวต่อกัน เป็นยังไง?”
ชิงเฟิงกับเจี่ยงเสวียตาเป็นประกาย “เจ้าสามารถรักษาพิษของท่านอ๋องได้เหรอ?”
หมอเก่งๆมากมายต่างก็หมดหนทางในการรักษา นางเป็นแค่เด็กสาวอายุน้อย จะรักษาได้ยังไง?
“ได้อยู่แล้ว ถ้าข้ารักษาไม่ได้ เจ้าค่อยฆ่าข้าก็ไม่สาย ยังไงข้าก็หนีไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว”
ชิวเอ๋อร์แทบจะร้องไห้
คุณหนูรักษาเป็นที่ไหนล่ะ นี่มันรนหาที่ตายชัดๆ?
ชิงเฟิงเจี่ยงเสวียเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
เย่จิ่งหานเคาะเก้าอี้ด้วยนิ้วมือเรียวยาว ดวงตายาวเฉียบนั้นหรี่ตาลงเล็กน้อย เหมือนกำลังครุ่นคิดว่าสิ่งที่นางพูดนั้นจริงไหม
บรรยากาศแปลกขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังตัดสินใจจะทำอะไร
สักพักใหญ่ เขายิ้มเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ถ้ารักษาไม่ได้ เจ้าก็ดูฝีมือของลูกน้องข้าว่าดีหรือไม่แล้วกัน”
กู้ชูหน่วนอึ้ง ถึงเข้าใจว่าเขาพูดถึงฝีมือในด้านไหน
เจ้าหมอนี่ ขี้เหนียวจังเลยนะ แค่คำพูดเดียวก็แค้นมาถึงตอนนี้เลย
“เพคะๆๆ”