อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่ 351 เพลี่ยงพล้ำทั้งสองฝ่าย
อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 351 เพลี่ยงพล้ำทั้งสองฝ่าย
ฮองเฮาฉู่กับเย่เฟิงไม่ยอมจากไป กู้ชูหน่วนทุ่มกำลังมากมายถึงส่งพวกเขาทั้งสองไปได้
กลางเวหามีเสียงโครมครามดังไม่ขาดสาย หมุนเกลียวไม่หยุดดุจวายุคลั่งท้องนภา
ทั่วทั้งภูเขาน้ำเต้าโลหิตสั่นสะเทือนตลอดเวลา ยอดเขาสะเทือนรุนแรงมาก ทำให้หินหลอมเหลวเดือดพล่านขึ้นมา แผ่ขยายไปถึงโขดหิน สงสารแต่ต้นไม้ใบหญ้าบนโขดหินต้องถูกกลบมิด
นี่ต้องเป็นมหาสงครามที่มีแต่ยอดฝีมือแห่งยุคถึงกระทำได้
กู้ชูหน่วนเงยหน้า กลับเห็นกลางเวหามีมังกรไฟสีทองอาบโลหิตตัวหนึ่งดีดดิ้นกรีดร้องไม่หยุด
ครั้นหางมังกรขนาดใหญ่สะบัด ยอดเขาสองสามลูกละแวกนี้ก็ราบเป็นหน้ากลอง
ที่ชวนให้ระทึกยิ่งกว่าคือ มันพ่นลูกไฟออกมา อาณาบริเวณลามออกไปครึ่งภูเขาน้ำเต้าโลหิต คล้ายจะหลอมภูเขาน้ำเต้าโลหิตทั้งหมดให้เป็นเถ้าถ่าน นอกจากมังกรไฟแล้ว ยังมีผู้เฒ่าที่ผมขาวโพลนอีกสี่คน
ฝูกวงเอ่ย “นายหญิงกู้ สี่สุดยอดผู้อาวุโสมาขอรับ วิทยายุทธ์สูงส่งมาก พวกเขาเก็บตัวหลายปี แทบไม่ถามไถ่เรื่องภายนอก คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้ เผ่าเทียนเฟิ่นจะถึงกับส่งสุดยอดผู้อาวุโสทั้งสี่มา”
“ฝีมือร้ายกาจมาก ร้ายกาจแค่ไหน? เทียบกับเย่จิ่งหานแล้วเป็นอย่างไร?”
“น่าจะด้อยกว่าเทพสงครามหน่อยหนึ่งขอรับ แต่หากทั้งสี่ร่วมมือกัน เทพสงครามย่อมไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ เจ้าสำนักทั้งสองท่านของสำนักอสุราล้วนตายด้วยน้ำมือสุดยอดผู้อาวุโสเหล่านี้ขอรับ”
“เช่นนั้น สุดยอดผู้อาวุโสของเผ่าเทียนเฟิ่นพวกนี้ก็ไม่ใช่คนดีอะไรนะสิ?”
“แน่นอนขอรับ พวกเขาประดาเสีย เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา ผู้บริสุทธิ์ไม่รู้เท่าไรของสำนักอสุราล้วนตายด้วยน้ำมือพวกเขาขอรับ”
กู้ชูหน่วนลูบคาง
ถ้าพวกเขาไม่ใช่คนดีอะไร เช่นนั้นนางยิ่งไม่มีอะไรให้คำนึงแล้ว
“นายหญิงกู้ ตอนนี้เราจะทำอย่างไรดีขอรับ?”
“ยังจะทำอะไรอีก ก็ต้องนั่งลงสิ ดูเรื่องสนุกอย่างสงบ เจ้าเข้ามาหน่อย ระวังหินหลอมเหลวที่ล้นออกมาจะลวกเจ้า”
ฝูกวงตะลึงงัน
นายหญิงกู้ขีดๆ เขียนๆ บนพื้นนานขนาดนั้น ก็เพื่อนั่งดูเรื่องสนุกตรงนี้?
น่าจะเป็นไปไม่ได้กระมัง
“ครืนๆ…”
มหาสงครามกลางเวหาดุเดือดขึ้นทุกที พวกเขานั่งอยู่กลางภูเขา ร่างกายสั่นคลอนตามอย่างห้ามไม่อยู่
ฝูกวงขมวดคิ้ว
เป็นค่ายกลสี่เสมือนที่เลื่องชื่อลือชาของเผ่าเทียนเฟิ่น ค่ายกลนี้แม้นผู้ที่อยู่ระดับเจ็ดก็ไม่แน่ว่าจะทลายได้ อสูรมังกรตัวนั้นกลับทัดทานขึงขัง กระทั่งยิ่งสู้ก็ยิ่งดุเดือด ยิ่งสู้ก็ยิ่งหนัก
เคราะห์ดีที่คนสำนักอสุราของพวกเขาทำตามคำสั่งของนาย ไม่ออกไปโดยพลการ และไม่ไปชิงมุกมังกรโดยตรงด้วย
มิเช่นนั้นพวกเขายังมิต้องบาดเจ็บหนักหรือ?
“อุ๊บ…”
ค่ายกลสี่เสมือนหายไปแล้ว
สุดยอดผู้อาวุโสทั้งสี่ของเผ่าเทียนเฟิ่นล้มลงพื้นเพราะบาดเจ็บหนักช้าๆ กระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง กำลังล้อมโดยรอบลดฮวบ
“สุดยอดผู้อาวุโสทั้งสี่แพ้แล้ว กำลังโจมตีของมังกรไฟครั้งนี้รุนแรงนัก คาดว่าสุดยอดผู้อาวุโสทั้งสี่ไม่น่าเหลือกำลังรบเท่าไรแล้ว นายหญิงกู้ ตอนนี้เราไปจัดการอสูรมังกรไหมขอรับ หรือว่าฉวยโอกาสกำจัดสุดยอดผู้อาวุโสทั้งสี่นั่น?”
“รีบอะไร อูฐผอมตายยังตัวใหญ่กว่าม้า ถึงเขาเป็นเยี่ยงนั้นก็ยังมีฝีมือ เจ้าไปตอนนี้ มั่นใจว่าจะเอาชีวิตไอ้แก่สี่คนนั่นหรือ? มังกรไฟนั่นอีก ถึงจะบาดเจ็บ ข้าเห็นมันยังมีแรงดีอยู่เลย”
“อ้าว…เช่นนี้ตอนนี้เราจะทำอะไรล่ะขอรับ?”
“ยังทำอะไรได้อีก? แทะเม็ดแตงดูเรื่องสนุกสิ”
ไม่นาน กลางอากาศก็เกิดมหาศึกอีกครั้ง นั่นเป็นภาพมหาศึกของหัวหน้ากองธงหลายคนของเผ่าปีศาจกับอสูรมังกร
สุดยอดผู้อาวุโสทั้งสี่ล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอสูรมังกร หัวหน้ากองธงกล้วยไม้และหัวหน้ากองธงโบตั๋นยิ่งไม่ใช่ แต่นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมียอดฝีมืออีกสองนาม ฝีมือไม่ด้อยไปกว่าพวกเขา ระดับความร่วมมือของพวกเขาเข้ากันดีมาก แม้ฝีมือไม่ดีเท่าสุดยอดผู้อาวุโสทั้งสี่ แต่กลับซัดอสูรมังกรจนสะบักสะบอม
“โฮรก…”
“กรร…”
“เอื๊อก…”
อสูรมังกรและเหล่าหัวหน้ากองธงของเผ่าปีศาจต่างเจ็บหนัก
ครั้งนี้เพลี่ยงพล้ำทั้งสองฝ่าย
“นายหญิงกู้ สองคนนั้นเป็นหัวหน้ากองธง หัวหน้ากองธงดอกท้อถูกอสูรมังกรทำให้บาดเจ็บสาหัส อีกทั้งบาดแผลยังอยู่ในจุดถึงชีวิต เกรงว่าไม่อาจรอดแล้ว ครั้งนี้อสูรมังกรบาดเจ็บไม่น้อย กรงเล็บมังกรหักไปหนึ่งกีบ นายหญิงกู้ ตอนนี้เราจะไปกันหรือยังขอรับ?”
“เจ้ารีบไปเกิดใหม่หรือ? รีบอะไร?”
“แต่หากเรายังไม่ไปอีก เกิดมุกมังกร…”
“ถ้ามุกมังกรชิงมาได้โดยง่ายเช่นนี้ พวกเจ้าก็ได้มานานแล้ว ยังต้องรอถึงตอนนี้หรือ? เสี่ยวฝูกวง ข้าว่าปกติเจ้ามีไหวพริบดี ไยเรื่องที่เกี่ยวกับมุกมังกร เจ้ากลับเขลาไปแล้วเล่า?”
ก็ต้องเขลาอยู่แล้ว
เขาไม่ร้อนรนได้หรือ?
คนทั้งเผ่าต่างหวังว่ามุกมังกรจะสามารถแก้คำสาปโลหิตได้ นั่นเป็นชีวิตนับพันนับหมื่นเชียวนะ!
“เจ้าดูนะ ประเดี๋ยวพวกเขาจะเริ่มการโจมตีอีกรอบแล้ว”
ดังที่กู้ชูหน่วนคาดการณ์ คนของเผ่าปีศาจและเผ่าเทียนเฟิ่นร่วมมือกัน เริ่มโจมตีอีกครั้ง สู้จนมืดฟ้ามัวดิน ตะวันจันทราอับแสง
กู้ชูหน่วนหาวฟอดหนึ่ง พิงโขดหินหลับ ปากก็ว่า “เสี่ยวฝูกวง ข้างีบสักเดี๋ยว ประเดี๋ยวพวกเขาสู้กันเสร็จแล้วเจ้าค่อยเรียกข้า”
ฝูกวงตาค้าง
นี่มันยามไหนแล้ว นายหญิงกู้ยังนอนได้อีก!
ที่ฉงนฉงายยิ่งกว่านั้นคือ พอนางบอกว่าหลับก็ส่งเสียงกรนมาทันที
มุมปากฝูกวงกระตุก อยากกล่าวอะไรบางอย่าง เห็นสีหน้ากู้ชูหน่วนขาวซีด ทั่วสรรพางค์กายอ่อนล้าจึงทำใจกล่าวอีกไม่ได้ ได้แต่ให้นางพักผ่อนดีๆ สักครู่
ส่วนตนก็จับตามหาศึกกลางเวหาอย่างติดๆ
เพลี่ยงพล้ำทั้งสองฝ่ายเป็นครั้งๆ ทั้งยังร่วมมือกันต่อสู้เป็นครั้งๆ เผ่าปีศาจกับเผ่าเทียนเฟิ่นไม่รู้ว่าต่อสู้สักกี่ครั้งและหยุดกี่ครั้งแล้ว
ทุกครั้งขณะที่ทั้งสองฝ่ายกระทำการต่อไม่ไหว มหาสงครามก็ปะทุอีกครั้ง
ยืดเยื้อนี้กินเวลาไปหนึ่งวันเต็มๆ
หนึ่งวันให้หลัง ไม่ว่าเผ่าเทียนเฟิ่นหรือเผ่าปีศาจต่างสูญเสียมาก ไร้กำลังต่อสู้อีก
ฝูกวงกำลังตั้งท่าเรียกกู้ชูหน่วน อย่างทันทีทันใด กลางอากาศมีเสียงสงครามใหญ่ดังมาอีก
ฝูกวงเงยหน้ามอง กลับเห็นที่สู้กับอสูรมังกรมิใช่เผ่าเทียนเฟิ่น และมิใช่เผ่าปีศาจ
แต่เป็นหุบเขาตันหุย ในที่สุดคนของหุบเขาตันหุยก็นั่งไม่ติดแล้วหรือ?
กู้ชูหน่วนหาวฟอดหนึ่ง ตื่นขึ้นมาอย่างเนือยๆ
“พลังชีวิตของอสูรมังกรตัวนี้ช่างทนนัก หากสยบเป็นแท่นนั่งได้ ก็เป็นทางเลือกที่ดี อย่างน้อยก็ไม่ด้อยไปกว่าเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ อย่างน้อยก็ไม่ตะกละ”
“ซี่ๆ…”
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ประท้วงอย่างไม่พอใจ
มันตะกละที่ไหน?
นายหญิงบอกว่าจะให้มันกิน แต่ทุกครั้งก็ผิดคำพูด
“ทำไมเจ้ายังนั่งอยู่ที่นี่ ยังไม่รีบไปช่วยเย่จิ่งหานขจัดพิษอีก?”
“ซี่ๆ…”
หลังจากเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เปล่งเสียงสองสามหนแล้ว ก็จากไปอย่างคับอกไม่สมัครใจ
คนของเผ่าเทียนเฟิ่นและเผ่าปีศาจเจ็บหนัก ถึงพวกเขาอยากได้มุกมังกรเพียงไร ก็ไม่มีประโยชน์อันใด
คนของพวกเขาน้อยเกินไป ได้แต่ลงเขาไปหาคนช่วยอย่างคอตก หวังเพียงคนของหุบเขาตันหุยได้มุกมังกรแล้ว พวกเขาจะชิงกลับมาได้
ครั้นนึกถึงหุบเขาตันหุย เผ่าเทียนเฟิ่นและเผ่าปีศาจก็มีไฟอยู่เต็มทรวง
หน้าไม่อายเกินไปแล้ว
ทั้งที่มีฝีมือสู้กับอสูรมังกร แต่กลับรอพวกเขาทั้งสองแพ้พ่ายแล้วถึงมาฉวยโอกาส
พวกเขาช่างเป็นพวกเก็บเกี่ยวผลประโยชน์
กู้ชูหน่วนศอกกับแขนของฝูกวง “พักพอแล้ว ควรเริ่มงานได้แล้ว”
“หา…”
เริ่มงานอะไร?
“เจ้าหลบไปก่อน รอไว้ข้าต้องการ ข้าจะเรียกเจ้าอีกที”
กู้ชูหน่วนกล่าวพลางเดินไปเอาโคลนจำนวนหนึ่งจากพื้นขึ้นละเลงหน้าตัวเอง ในดวงตาเต็มไปด้วยแผนการและความมั่นใจ