อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่ 364 หัวหน้ากองธงกล้วยไม้มีพลังมาร
อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 364 หัวหน้ากองธงกล้วยไม้มีพลังมาร
“ไปตายเสียเถอะ!”
ความแค้นบนใบหน้าคมสันเย็นเยียบของเย่เฟิงประดาเขาท่วมสมุทร เขาดึงกระบี่ออกพรวด เลือดสดของหัวหน้ากองธงกล้วยไม้กระเซ็นออกมาเฉกเช่นหยาดฝนทั่วนภา เลือดสดร้อนสาดใส่ใบหน้าขาวซีดของเย่เฟิง ทำให้เส้นสายตาเขาพร่าเบลอ
แต่นาทีนี้ เย่เฟิงกลับแจ่มชัดมากกว่าผู้ใด ดวงตาทั้งคู่ของเขาที่มีความแค้นเนืองแน่นล้วนสะท้อนใบหน้าเหลือเชื่อใบนั้นของหัวหน้ากองธงกล้วยไม้
“เจ้าถึงกับกล้าฆ่าข้า…เจ้าเป็นคนที่ข้าชุบเลี้ยงแต่เล็กจนโต เจ้ากล้าฆ่าข้าได้อย่างไร? อั๊ก…”
ที่ตอบกลับหัวหน้ากองธงกล้วยไม้คือการแทงเข้าอีกครั้งอย่างไร้ไมตรี
หัวหน้ากองธงกล้วยไม้ถูกแทงติดกันสองครั้ง ความเจ็บปวดที่ราวกับปอดฉีกหัวใจแหลกลาญในกาย แต่เขากลับไม่รู้สึก เพียงแต่จับจ้องเย่เฟิงด้วยความเดือดดาล
จากความเหลือเชื่อในแรกเริ่ม จนเป็นความผิดหวัง แล้วเป็นความโกรธ
เย่เฟิงหัวเราะเย็นเสียงหนึ่ง “ข้าเป็นคนที่เจ้าชุบเลี้ยงแต่เล็กจนโต? เลี้ยง? เฮอะ… ‘เลี้ยง’ ของเจ้าก็คือทรมานข้าไม่เว้นทิวาราตรี ฤดูหนาวให้ข้าเปลือยกายคุกเข่าบนพื้นหิมะรับทุกขเวทนา ฤดูร้อนเอาข้าแขวนใต้ดวงตะวันไม่กินไม่ดื่มหลายคืนหลายวัน ยังแล้วลงทัณฑ์หนัก เจ้าควักหัวใจออกมาดู เจ้าเห็นข้าเป็นคนอยู่ไหม? ในใจเจ้า ข้ายังมิสู้สุนัข สุนัขยังเลือกตายได้ สุนัขยังมีเศษขนมข้าวเหลือ ข้าล่ะ? ข้ามีอะไร…?”
“เจ้ารู้ว่าข้าอดทนอย่างไรไหม? ตอนที่ข้าถูกขังอยู่ในหอฉิวเฟิ่ง อาศัยน้ำฝนน้อยนิดทนมีลมหายใจต่อ ตอนที่ข้าหิวจนทนไม่ไหว กัดเลือดเนื้อตัวเองเป็นอาหารทั้งเป็น ข้าโขกศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงแลกเศษข้าวคำหนึ่งมาได้”
“ตอนเจ้าอารมณ์ก็ตี อารมณ์ไม่ดีก็ตี เจ้าเคยสนใจทุกข์สุขของข้าหรือไม่?”
หัวหน้ากองธงกล้วยไม้เอ่ยด้วยโทสะ “ข้าให้ความรุ่งโรจน์หาที่เปรียบไม่ได้กับเจ้า ให้เจ้าเป็นทาสบำเรอที่สูงส่งที่สุดในเขาสูบวิญญาณ”
เย่เฟิงโต้กลับอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย “นั่นเป็นข้าอาศัยเลือดเนื้อตัวเอง อาศัยร่างกายตัวเองแลกมา ตอนเด็กข้าแค้นเจ้า โตมาแค้นเจ้า ตอนนี้ยิ่งแค้นเจ้า ร่างกายข้า หัวใจของข้า กระทั่งเลือกเนื้อกระดูกวิญญาณของข้าก็แทบอยากหักกระดูกเจ้า กินเลือดเจ้า ถลกหนังเจ้า กระชากเส้นเอ็นเจ้า!”
ทุกครั้งที่ได้ยินหนึ่งประโยค จิตใจหัวหน้ากองธงกล้วยไม้ก็เย็นไปหนึ่งส่วน
ถ้อยคำเหล่านั้น ตอนนั้นเย่เฟิงก็เคยพูดกับเขาแล้วหนหนึ่ง เขาเพียงรู้สึกโกรธ ทว่าตอนนี้ เขากลับรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
อดีตของเขา ทรมานเขาเป็นสุขจริง แต่ความรู้สึกที่เขามีต่อเย่เฟิง กลับไม่อาจเทียบได้กับทาสบำเรอคนอื่นๆ
เขาบอกจะส่งเย่เฟิงให้หัวหน้ากองธงโบตั๋น ให้คนอื่น ก็เพียงพูดแต่ปากเท่านั้น เขาไม่มีทางมอบเย่เฟิงให้คนอื่นจริงๆ
สำหรับการฆ่าเย่เฟิง เขาฆ่าได้ แต่คนอื่นกลับห้ามทำร้ายเขาแม้ปลายก้อย
เขาไม่รู้ว่าตัวเองมีความรู้สึกอย่างไรต่อเย่เฟิง แต่เขาแทงเขาสองครั้งติดกัน และสองครั้งนี้ก็เป็นบาดแผลถึงชีวิต
เย่เฟิง…ไม่คิดให้เขามีชีวิตอยู่ต่อ
เขาจะไม่ผิดหวังได้อย่างไร?
“หากข้าไม่รุนแรงกับเจ้าสักหน่อย เจ้าจะจำข้าได้อย่างไร? หากเจ้าไม่ชอบให้ข้าใช้รูปแบบนี้กับเจ้า ข้าก็เปลี่ยนรูปแบบ…ซี้ด…”
กระบี่ในมือเย่เฟิงแทงลึกเข้าไปอีกหลายนิ้ว เขาแทบเค้นประโยคหนึ่งออกมาจากร่องฟัน “เจ้าช่างน่าขยะแขยงนัก ข้าเย่เฟิง ไม่ใช่ทาสบำเรอที่เรียกก็มา โบกมือก็ไปของเจ้าอีก!”
“เจ้าอยากฆ่าข้าจริงหรือ?”
เย่เฟิงไม่ตอบกลับ แต่จากกำลังที่เพิ่มไม่หยุด ท่าทางที่แทบอยากทำให้กระบี่เข้าไปอยู่ในตัวเขามิด เย่เฟิงอยากเอาชีวิตเขาเสียเดี๋ยวนี้
หัวหน้ากองธงกล้วยไม้ถูกกระตุ้นโดยสมบูรณ์แล้ว
เขากำกระบี่ยาวแน่น สกัดกระบี่ยาวที่ลึกมากขึ้นทีละนิด มืออันหนาใหญ่แทบถูกกระบี่เฉือนขาด เลือดสดไหลติ๋งๆ
“ในเมื่อเจ้าอยากให้ข้าตายขนาดนั้น เช่นนั้นเราก็ตายด้วยกันเถอะ”
ว่าแล้วหัวหน้ากองธงกล้วยไม้ก็ปล่อยมือพลัน ปล่อยให้กระบี่ยาวเข้าสู่ร่างกายตนเอง พลิกมือขวา มีดสั้นเป็นประกายเล่มหนึ่งอยู่ในมือเขา
มุมปากเขาคลี่รอยยิ้มอำมหิตและมีเล่ห์เสน่ห์ ทันใดนั้นก็เสือกเข้าทรวงอกของเย่เฟิงแบบใกล้ชิดด้วยความเคยชิน
พร้อมกันนั้น กู้ชูหน่วนปลดสายรัดเอว รวมกำลังภายในไว้ที่สายรัดเอว ราวกับอสรพิษน้อยมีจิตวิญญาณเข้าพันเอวของเย่เฟิง ออกแรงฉุดทีหนึ่ง ดึงเย่เฟิงมาถึงข้างกายตน รอดพ้นจากมีดสั้นที่เสือกมาอย่างหวุดหวิด
การโจมตีของหัวหน้ากองธงกล้วยไม้ไม่ถูกเป้า ก็โจมตีอีกครั้ง เขารวมพลังไว้ที่กลุ่มมุก มุกสีแดงเพลิงแต่ละเม็ดล้วนพกพาพลังการเผาไหม้และกัดกร่อน
เมื่อถูกมุกอัคคี ต้องกลายเป็นเพลิงลุกโชนก้อนหนึ่ง เผาไหม้จนตาย หรือเป็นศพที่เน่าเปื่อย
เย่เฟิงเก็บจากพื้น เก็บขลุ่ยหยกเขียวของอี้เฉินเฟย วางไว้ริมฝีปากเป่าท่วงทำนองขึ้นมา
วรยุทธ์เขาธรรมดา เสียงโจมตีกลับร้ายกาจมาก เสียงขลุ่ยกลายเป็นปราการป้องกันตัว ทั้งยังขวางมุกอัคคีเหล่านั้นให้อยู่ข้างนอกได้ทั้งหมด ไม่ว่ามุกอัคคีจะกระแทกอย่างไรก็เข้ามาไม่ได้
กู้ชูหน่วนพยายามช่วยอี้เฉินเฟยควบคุมอาการบาดเจ็บ ในปากอดด่าแช่งไม่ได้ “หัวใจก็โดนแทงไปสองครั้งแล้ว ทำไมยังไม่ตายเนี่ย?” แล้วยังมีพลังแข็งแกร่งขนาดนั้นอีก
หัวหน้ากองธงกล้วยไม้มองพวกเขาเหมือนมองมดปลวก “ลืมบอกพวกเจ้าไป หัวใจเข้าไม่ได้อยู่ทางซ้าย แต่เป็นทางขวา ฉะนั้นสองกระบี่นั้นเป็นแผลถึงตายของคนอื่น ครั้งเดียวก็ตายได้ กลับไม่ใช่กับข้า”
ว่าแล้วหัวหน้ากองธงกล้วยไม้ก็ไม่รู้ว่าทำได้อย่างไร หลุมเลือดสองหลุมทางซ้ายกลับสมานอย่างรวดเร็วด้วยตาเนื้อมองเห็นได้
สีหน้าพวกของกู้ชูหน่วนตึงเครียด
อี้เฉินเฟยเอ่ย “พลัง…พลังชั่วร้ายที่เขาฝึก นอกเสียจากพบจุดอ่อนของเขา หาไม่แล้ว…แผลของเขา…ก็จะสมานอีกครั้ง”
คิ้วหมึกอี้เฉินเฟยขมวดนิดๆ
ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน หัวหน้ากองธงกล้วยไม้กลับบรรลุพลังมาร
แต่เมื่อครู่…
ขณะเผชิญกับความเป็นความตาย เขาไม่ยอมเผยพลังมารสักนิด
หากเขาเดาไม่ผิด ที่เขาซ่อนเร้นพลังที่แท้จริงมาตลอด เพราะต้องการขึ้นเป็นเจ้าแห่งเผ่าปีศาจ แทนที่จอมมารกระมัง?
คนผู้นี้น้ำนิ่งไหลลึก
หากไม่ใช่เพราะเย่เฟิงฆ่าเขา บีบคั้นเขา ก็ไม่รู้ว่าเขายังจะซ่อนเร้นพลังถึงเมื่อไร
อานุภาพของมุกอัคคีมากขึ้นทุกที เสียงขลุ่ยกลับอ่อนลงทุกที รู้สึกเหมือนยืนหยัดต่อไม่ได้นิดๆ
กู้ชูหน่วนเอ่ย “รีบไป ไปจากที่นี่”
เย่เฟิงขวางขลุ่ยหยกเขียว ทุ่มกระบวนท่าที่ตกตายพร้อมกัน ดาหน้าไปทางหัวหน้ากองธงกล้วยไม้
แต่ละกระบวนท่าไม่ยั้งมือแม้แต่น้อย ต้องการแต่ประหารศัตรู ไม่ป้องกันตนเอง หัวหน้ากองธงกล้วยไม้จนปัญญากับเขาชั่วขณะ
ใช้ไม้หลอกฉับพลัน ให้เย่เฟิงติดกับ ตนค่อยซัดไปฝ่ามือหนึ่ง
“อั๊ก…” เย่เฟิงบาดเจ็บ
แต่เขาไม่ยี่หระ เพียงแต่ลงมือหนักขึ้นเรื่อยๆ เร็วขึ้นเรื่อยๆ
กู้ชูหน่วนจี้จุดของอี้เฉินเฟยปักๆๆ กระซิบ “ท่านพักผ่อนปรับลมหายใจก่อน ข้าจะไปช่วยเย่เฟิง เดี๋ยวกลับมา”
ไม่รอให้อี้เฉินเฟยตอบกลับ กู้ชูหน่วนก็เข้าร่วมสนามรบแล้ว
แม้นางอยู่แค่ระดับหนึ่งระยะกลาง แต่พลังกลับแกร่งยิ่งกว่าขั้นสอง อีกทั้งความเร็วในวิชาตัวเบาของนาง มือเท้าว่องไว ร่างกายคล้ายปลาไหล ลื่นจนทำให้หัวหน้ากองธงกล้วยไม้จับนางไม่ได้ ซ้ำยังถูกนางลอบทำร้าย
กู้ชูหน่วนร่วมมือกับเย่เฟิง เข้าขากันรู้ใจเป็นพิเศษ หัวหน้ากองธงกล้วยไม้อยากปลิดชีพพวกเขา แต่ทำไม่ได้ชั่วขณะ
“ปัง…”
ขณะประมือ มุกมังกรในดอกไม้บานสะพรั่งโอนเอนกลิ้งลงไปฉับพลัน กลิ้งลงสู่ทะเลโลหิตริมหน้าผา