อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่ 38 กระดิ่งทลายวิญญาณ
กู้ชูหน่วนกัดแอปเปิล มือข้างหนึ่งพยุงโต๊ะไว้แล้วกระโดดออกมาขวางทางไว้
“ช้าก่อน กงกง น้องห้าถูกกระตุ้นหนักเกินไป สมองไม่ค่อยปกติ นางพูดอะไรนางยังไม่รู้ตัวเลย ทำไมเราต้องถือสาคนไร้สติด้วยเล่า”
เห็นเป็นกู้ชูหน่วน หม่ากงกงก็พูดด้วยรอยยิ้มอย่างเกรงใจว่า “ที่แท้ก็เป็นคุณหนูสามนี่เอง ครั้งนี้ดูหมิ่นคุณหนูสามในที่โจ่งแจ้ง คุณหนูสามกลับเอาบุญคุณตอบแทนแค้น น่าชื่นชมเสียจริงนะขอรับ”
“เป็นพี่น้องกัน ใครไม่เคยทะเลาะกันบ้างล่ะ เดี๋ยวผ่านไปก็จะดีเอง ไม่ทราบว่ากงกงจะยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปหรือเปล่า”
คำพูดเดียว ทำเอาความประทับใจของพวกขุนนางทั้งหลายที่มีต่อกู้ชูหน่วนเปลี่ยนไปเยอะมาก
คุณหนูกู้สามแม้จะเป็นแค่ไก่อ่อน หน้าตาขี้เหร่หน่อย แต่อย่างน้อยก็เป็นคนมีเมตตา
หม่ากงกงกลอกตาไปมา ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ เขาพูดตอบอย่างเคารพว่า “ในเมื่อคุณหนูสามพูดแล้ว งั้นข้าก็ยอมปล่อยนางไปก่อน ทหาร นำตัวนางลงไป”
คำว่าประหารเมื่อกี้ทำเอากู้ชูหลันขาอ่อนทรุดลงไป ตอนนี้ก็ต้องยอมให้ทหารลากตัวเองออกไปแต่โดยดี
นางรู้ดีว่า ชาตินี้ของนางจบสิ้นแล้วล่ะ
กู้ชูหยุนฉลาดกว่านาง รู้ว่าถ้าสร้างปัญหาต่อไป คนที่เสียหน้าก็มีแต่พวกนาง จึงต้องตามทหารออกไปอย่างไม่พอใจและเจ็บปวดใจ
กู้ชูหน่วนกัดแอปเปิลกินอย่างเอร็ดอร่อยแล้วนั่งกลับไปที่เดิม
เซียวหยู่เซวียนขยับเข้ามาใกล้ “ยัยขี้เหร่ เจ้าไปขอร้องทำไม?”
กู้ชูหน่วนมองบน เบะปากแล้วพูดว่า “นางตายแล้ว ข้าจะไปเอาเงินสามแสนที่ใคร”
ให้ตายสิ เขารู้อยู่แล้วว่ายัยขี้เหร่ไม่ได้ใจดีขนาดนั้น
ใบหน้าของกู้เฉิงเซี่ยงดำจนเหมือนถ่าน อยากจะให้งานชุมนุมแข่งขันบุ๋นนี้จบไปเร็วๆ
ด้านซ้ายของกู้ชูหน่วนคืออ๋องเจ๋อ ด้านขวาคือเย่เฟิง นางเอียงหัวครุ่นคิด ขยับเข้าไปใกล้เย่เฟิง แล้วเอียงหัวถามว่า
“ทำไมเจ้าต้องมาแข่งงานชุมนุมแข่งขันบุ๋นด้วย เพื่อชื่อเสียง? หรือเพื่อเป็นขุนนาง?”
เย่เฟิงนั่งหลังตรง ไม่พูดตอบใดๆ
กู้ชูหน่วนรู้ว่าไม่มีประโยชน์ จึงนั่งกลับไปที่เดิมของตัวเอง
“คณะทูตแคว้นฮั่วมาถึงแล้ว……”
“คณะทูตแคว้นฉู่มาถึงแล้ว……”
“คณะทูตแคว้นจ้าวมาถึงแล้ว……”
ขุนนางทุกคนต่างลุกขึ้นต้อนรับ
กู้ชูหน่วนหาวง่วง นั่งอยู่ที่เดิม เอียงหัวมองดูพวกคณะทูตจากแต่ละแคว้น
คณะทูตแต่ละแคว้นรวมๆแล้วมีแค่ห้าถึงหกคน ชายหญิงคนแก่หนุ่มสาวมีหมด
นางรู้สึกถึงสายตาที่มองมาที่นางลางๆเป็นระยะ
นางเงยหน้าขึ้น กลับเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ไม่รู้ว่าทำไม พอเห็นแววตาคู่นั้นแล้ว กู้ชูหน่วนกลับรู้สึกอบอุ่นหัวใจ และผ่อนคลายลงมาทั้งตัว เป็นความรู้สึกสบายใจ
แล้วดูผู้ชายคนนั้น น่าอายุยี่สิบกว่า
สวมเสื้อสีเขียวอ่อนคอเสื้อตรง ชายเสื้อปักด้วยไม้ไผ่สีเขียวสองสามต้นที่ยืนรับลม บุคลิกดูอ่อนโยนสง่างาม และมีมารยาทอ่อนน้อมถ่อมตน
ผมสีดำสละสลวยของเขาแค่รวบขึ้นโดยไม่ตั้งใจ เป็นธรรมชาติ ดูเท่และอิสระ
บุคลิกบนตัวของเขาคล้ายกับซ่างกวนฉู่เล็กน้อย แต่ซ่างกวนฉู่ชั่วร้าย สายตาหยั่งลึกจนคาดเดาไม่ได้ นางดูไม่ออกจริงๆว่าซ่างกวนฉู่เป็นคนยังไง
แต่ทว่าชายตรงหน้านี้ บุคลิกบนตัวของเขาที่แผ่ซ่านออกมาทำให้นางรู้สึกหลงใหลมาก ให้ความรู้สึกเหมือนถูกโอบกอดไว้บนฝ่ามือ
รับรู้ถึงรอยยิ้มนั้น กู้ชูหน่วนก็อดไม่ได้ยิ้มออกมา
“เสี่ยวเซวียนเซวียน หนุ่มที่สวมชุดสีเขียวอ่อนนั่นใครเหรอ?”
“เจ้าไม่รู้จักเขาเหรอ? เซียนอวีอี้เฉินเฟยไง ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงหน้าด้านเช่นนี้ เป็นเซียนกวีที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วใต้หล้าอยู่แล้ว แต่กลับมางานชุมนุมแข่งขันบุ๋นที่นี่ นี่มันตั้งใจรังแกผู้อื่นชัดๆ?”
ที่แท้เขาก็เป็นเซียนกวีนี่เอง ดูหนุ่มและดูรูปหล่อจัง
“เขามาที่นี่อาจจะไม่ได้มาเพื่อที่หนึ่งก็ได้”
พอพูดจบ กู้ชูหน่วนก็อึ้ง ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงพูดแทนเขา
“เขาเดินทางมาจากแคว้นจ้าวอันห่างไกลจนมาถึงแคว้นเย่ เจ้าว่าเขาไม่ได้มาเพื่อที่หนึ่งเหรอ ยัยขี้เหร่ สมองเจ้าคงไม่ได้ถูกม้าเตะมาหรอกนะ?”
“ทำไมพูดงั้นล่ะ” กู้ชูหน่วนมองค้อนเขา
เซียวหยู่เซวียนพูดพึมพำ “แปลกจัง แคว้นจ้าว แคว้นฉู่ แคว้นฮั่วคนที่เชิญมาในครั้งนี้ ทำไมถึงไม่มีนักเรียนที่โด่งดังไปทั่วพระนครนะ”
“หมายความว่าไง?”
เซียวหยู่เซวียนชี้ไปบนที่นั่งคณะทูตทั้งหลาย แนะนำทีละคนว่า “นั่นไง เจ้าดูสิ แคว้นจ้าวเชิญมาสามคน คนหนึ่งคือเซียนกวี ความสามารถของเขานั้นทุกคนต่างก็รู้ดีกันหมด งานชุมนุมแข่งขันบุ๋นในสิบปีก่อน เขาเลือกแต่พวกคนเก่งๆทั่วพระนคร ไม่เคยแพ้เลยสักครั้งเดียว อีกสองคนก็เป็นคนเก่งๆที่มีชื่อเสียงในแคว้นจ้าว”
“แคว้นฉู่ คนหนึ่งคือเทพหมากกระดาน คนหนึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่แห่งวิทยาลัยนครแคว้นฉู่ อีกคนคือจอหงวนคนปัจจุบันแห่งแคว้นฉู่”
“แล้วดูแคว้นฮั่วนะ ให้ตายสิ สามคนนั้น เป็นจอหงวนสามคนก่อนแห่งแคว้นฮั่วไม่ใช่เหรอ? แคว้นฮั่วหน้าด้านไม่รู้จักยางอาย เอาจอหงวนสามคนก่อนมาได้ยังไงกัน”
กู้ชูหน่วนเอียงหัว มองไปที่คณะทูตทั้งสามแคว้นที่ทักทายกัน แววตาประกายไปด้วยความเย็นชาที่ยากจะสังเกตได้
ก็แค่งานชุมนุมแข่งขันบุ๋นเล็กๆ ต้องเอานักเรียนเก่งๆมามากมายขนาดนี้เชียวเหรอ
งานชุมนุมแข่งขันบุ๋นปีนี้เกรงว่าจะมีอะไรไม่ชอบมาพากล
ด้านหลังเป็นเสียงซุบซิบของคนราชวิทยาลัย
“แปลกจัง งานชุมนุมแข่งขันบุ๋นในทุกปี จะคัดเลือกคนจากหนุ่มสาวนี่? ทำไมแคว้นฉู่ แคว้นฮั่ว แคว้นจ้าวถึงเลือกคนปรมาจารย์ที่โด่งดังขนาดนี้มาล่ะ?”
“นั่นน่ะสิ ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยได้ข่าวว่าทั้งสามแคว้นจะส่งคนเก่งๆแบบนี้มา ข้าว่านะแคว้นเย่ของพวกเราแพ้แน่นอน กู้ชูหน่วนเป็นไก่อ่อน เย่เฟิงเป็นแค่ชาวบ้านทั่วไป อ๋องเจ๋อถึงแม้จะเก่งแค่ไหน แต่ก็เทียบกับพวกเขาไม่ได้อยู่ดี?”
“คุณพระ ข้าเดิมพันให้อ๋องเจ๋อตั้งหนึ่งพันตำลึงแน่ะ ทำยังไงดี?”
“ข้าก็เดิมพันไปตั้งสองพัน”
“พวกเขาหน้าด้านจริงๆ เป็นถึงจอหงวนแห่งราชอาณาจักรยังมีหน้ามางานชุมนุมแข่งขันบุ๋นอีก”
ทันใดนั้น ขันทีกงกงก็ตะโกนเสียงดังว่า “ฮ่องเต้เสด็จ……”
ทุกคนต่างลุกขึ้นต้อนรับ ขุนนางและทุกคนในราชวิทยาลัยแห่งแคว้นเย่ต่างคุกเข่าลงไปกันหมด
“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นปีหมื่นหมื่นปี……”
ทุกคนคุกเข่ากันหมด กู้ชูหน่วนไม่คุกเข่าก็เลยดูโดดเด่นกว่าใคร
ให้นางไปคุกเข่าให้คนอื่น นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
กู้ชูหน่วนจึงนั่งย่องๆ เพื่อไว้หน้าเขาและทำความเคารพเขา
ฮ่องเต้อายุแค่สิบห้าสิบหก ใบหน้าแหลมคม ดูรูปหล่อมาก สวมชุดมังกรสีเหลืองอร่ามนั่งลงบนที่นั่งหลัก
เขากวาดตามองทุกคน แล้วพูดว่า “ลุกขึ้นนั่งเถอะ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
“คณะทูตทุกท่านเดินทางมาแต่ไกล เหนื่อยหน่อยนะ” เย่หวงแสยะยิ้ม คนที่แต่ละแคว้นส่งมาเก่งกาจกันทั้งนั้นเลยนะ
คณะทูตแคว้นฮั่วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเรามาจากแคว้นฮั่ว ตลอดทางก็ได้สัมผัสถึงความกว้างใหญ่ไพศาลของแคว้นเย่ หรูหราอร่ามไปทั่ว น่าอยู่จริงๆนะพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดของคณะทูตแคว้นเย่ทำเอาเย่หวงอารมณ์ดีมาก ทำให้อึมครึมเมื่อกี้หายไปเป็นปลิดทิ้ง
เขาปัดมือออก แล้วพูดว่า “งานชุมนุมแข่งขันบุ๋นครั้งนี้จัดขึ้นที่แคว้นเย่ เป็นเกียรติแก่แคว้นเย่มาก ดังนั้น ครั้งนี้ถ้าได้ที่หนึ่ง นอกจากรางวัลทองคำห้าพันตำลึงแล้ว ไข่มุกของล้ำค่าสิบสองกล่อง หากเป็นชายแคว้นเย่ สามารถเข้ารับราชการได้ทันที และได้อวยยศเป็นขุนนางขั้นที่สาม หากเป็นหญิง จะได้เป็นฮูหยินตรงตั้งชั้นสาม หากเป็นคนของแคว้นฉู่ แคว้นฮั่ว แคว้นจ้าวที่ได้ที่หนึ่ง ก็จะได้เป็นแขกคนสนิทของแคว้นเย่”
ทุกคนต่างตะลึงกันไปหมด และมีคนไม่น้อยต่างซุบซิบกันใหญ่
ขุนนางขั้นสาม นั่นเป็นยศที่สูงมากเลยนะ
และ……ยังให้รางวัลเยอะมากด้วย?
เมื่อก่อนอย่างมากก็ให้แค่รางวัลทองคำหนึ่งพันตำลึง ไข่มุกของล้ำค่าอีกแค่หกกล่อง
ไม่รอพวกเขาซุบซิบจบ เย่หวงก็พูดอีกประโยค ทำเอาบรรยากาศในงานตึงเครียดทันที
“และ ข้าจะให้กระดิ่งทลายวิญญาณมรดกแห่งแคว้นเย่กับคนผู้นั้นด้วย”