อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่ 442 หาเนตรเข็มทิศเปิดฟ้าพบแล้ว
ไทเฮาหน้ายิ้มใจไม่ยิ้ม “ตังตังก็บอกแล้ว สร้อยเส้นนี้เป็นสิ่งอัปมงคล เกิดเจ้าเอาไปแล้ว เกิดเรื่องอะไร เทพสงครามจะไม่เอาเรื่องข้าหรือ ข้าว่า เปลี่ยนเครื่องประดับที่ดีหน่อยเถอะ”
“ขอบพระทัยไทเฮาที่ปรารถนาดีเพคะ แต่คนเนี่ยนะ รู้จักพอใจเป็นสุข ข้ามีเส้นนี้ก็พอแล้วเพคะ”
ไทเฮาแทบโกรธจะตายแล้ว
กู้ชูหน่วนดื้อดึง ทั้งที่หมายตาสร้อยคอเส้นนี้แต่แรกแล้ว ยังแสร้งทำท่าทำทางอยู่ที่นี่ ช่างน่ากลุ้มใจเสียจริง
นางเตือนหลายหน กู้ชูหน่วนก็จะเอาแต่เส้นนั้นให้ได้ ยังว่านางดวงแข็ง ทำจนนางร้อนใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
เดิมสถานการณ์ก็ย่ำแย่อยู่แล้ว ที่แย่ยิ่งกว่าคือองค์หญิงตังตังยังสอดปากประโยคหนึ่ง “ไอ้หยา เสด็จแม่ ในเมื่อนางต้องการสร้อยคอสับปะรังเคเส้นนั้น ก็ให้นางไปเถอะเพคะ ถึงอย่างไรเราก็เตือนแล้ว นางดื้อรั้นจะเอา ต่อไปเกิดเรื่องอะไร ก็โทษพวกเราไม่ได้เพคะ”
ไทเฮาถลึงตาใส่องค์หญิงตังตังทีหนึ่ง
นางให้กำเนิดบุตรสาวไร้มันสมองพาครอบครัวล่มจมโดยแท้
หยกเสี้ยวจันทร์ถูกกู้ชูหน่วนหลอกไปแล้ว
แม้แต่จี้รูปหัวใจก็ยังจะถูกกู้ชูหน่วนหลอกไปด้วยหรือ?
นี่เป็นสมบัติล้ำค่าอย่างยิ่งยวด
แม้แต่ฮ่องเต้นางยังไม่ยอมให้ เก็บไว้ให้เพียงบุตรสาวคนเล็ก
กำชับตังตังหนักหนามาตลอด ต้องเก็บรักษาสร้อยคอเส้นนี้ให้ดี ห้ามหายเด็ดขาด
แต่นางกลับหน้าไหว้หลังหลอก ทิ้งไว้ในซอกหลืบ?
ที่นางกลัวที่สุด ก็คือกู้ชูหน่วนเอาสร้อยคอเส้นนั้นไปอย่างราบรื่น คิดไม่ถึง ยังถูกนางหาพบอีก
เนื่องจากฮ่องเต้เย่รู้ว่ากู้ชูหน่วนต้องการสร้อยคอจี้รูปหัวใจเส้นนั้น อีกทั้งเห็นสร้อยคอเส้นนี้ธรรมดาไร้ความพิเศษ กระทั่งยังน่าเกลียดอยู่มาก นึกว่าเสด็จแม่เป็นห่วงว่ากู้ชูหน่วนจะเป็นอะไรไป
จึงเกลี้ยกล่อมด้วย “เสด็จแม่ ช่างเถอะพ่ะย่ะค่ะ นางอยากได้ก็ให้นางเถอะ ดั่งว่าปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ล้วนมีความชอบต่างกัน”
ไม่รอให้ไทเฮาเอ่ย กู้ชูหน่วนก็เก็บจี้รูปหัวใจเข้าแหวนมิติ ขึ้นเสียงดังเอ่ย “ขอบพระทัยไทเฮา ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอบพระทัยองค์หญิง ทุกพระองค์ล้วนเป็นวิญญูชนรักษาสัจจะทั้งสิ้น หม่อมฉันนึกว่าทุกพระองค์จะรังแกหม่อมฉัน ขอเพียงเป็นสิ่งที่หม่อมฉันชอบก็จะปฏิเสธให้ ดูท่าหม่อมฉันคิดมากเกินไป ต้องขออภัยทุกพระองค์ด้วยเพคะ”
ถ้อยคำนี้ เสียงดังมากเป็นพิเศษ อย่าว่าแต่ทุกคนในห้องเก็บสมบัติ แม้นเป็นคนด้านนอกก็ได้ยินหมด อีกทั้งด้านนอกยังมีขุนนางใหญ่อีกเป็นจำนวนมาก
ไทเฮาโกรธเกรี้ยวจนแทบหายใจไม่ออก
สมบัติล้ำค่าที่อดีตฮ่องเต้ทิ้งไว้ ถูกกู้ชูหน่วนหลอกเอาไปได้ง่ายดายเช่นนี้ ส่วนนาง ได้แต่ร้อนรน ถลึงตา มองแต่ทำอะไรไม่ได้
โลกนี้ไม่มีเรื่องใดคับใจกว่านี้อีกแล้ว!
ฮ่องเต้เย่ตามออกมาอยู่ด้านหลังกู้ชูหน่วน องค์หญิงตังตังเห็นสีหน้าไทเฮาไม่สู้ดี อดถามขึ้นไม่ได้ “เสด็จแม่ ทรงเป็นอะไรไปหรือเพคะ ทำไมสีพระพักตร์จึงแย่เช่นนี้?”
เพี๊ยะ—
ไทเฮาง้างมือตบนางไปฉาดหนึ่ง
“ทำไม? เจ้ายังมีหน้าถามว่าทำไม เมื่อก่อนข้าสั่งกับเจ้าอย่างไร? ข้าบอกเจ้าหลายครั้งหลายหน สร้อยคอเส้นนี้มิใช่สร้อยคอธรรมดา เจ้าต้องรักษาไว้ให้ดี ห้ามให้ผู้อื่นเด็ดขาด และห้ามทำหายด้วย เจ้าดูสิว่าเจ้าทำเรื่องดีอะไรลงไป? เจ้าเอามันใส่ไว้ในหีบเน่าๆ เห็นเป็นของตกระดับทิ้งไว้ในมุมในหลืบ เจ้า…เจ้าอยากให้ข้าโมโหตายหรืออย่างไร?!”
องค์หญิงตังตังถูกตบจนมึน
“เสด็จแม่ ทรงตบหม่อมฉันอีกแล้วนะเพคะ!”
“ข้า…ข้า…”
ไทเฮาง้างมือ จะตบนางอีกฉาด
แต่ครั้นเห็นพวงแก้มนางบวมขึ้นมา รอยดัชนีทั้งห้ากระจะ รวมถึงดวงตาวาวจะร้องไห้ของตังตังแล้ว มือของไทเฮาก็สั่นไม่หยุด แต่ก็ลงมือไม่ลง ได้แต่ทั้งโมโห ทั้งร้อนใจ ทั้งโกรธ
“สร้อยคอเส้นนั้นมีอะไรดีเพคะ? หม่อมฉันอยากทิ้งไปตั้งนานแล้ว หากไม่ใช่เพราะสร้อยเส้นนี้ เสด็จพ่อจะสวรรคตได้อย่างไร? หากไม่ใช่เพราะมัน หม่อมฉันจะถูกลอบทำร้ายสามครั้งจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดได้อย่างไร? หากไม่ใช่เพราะมัน เสด็จพี่หญิงจะต้องสิ้นพระชนม์เพราะช่วยหม่อมฉันได้อย่างไร? หม่อมฉันเกลียดสร้อยคอเส้นนี้! เกลียดมากๆ เพคะ!”
เรื่องระทมในอดีตปรากฏขึ้นในหัวใจทีละเรื่องๆ หัวใจไทเฮาปวดขึ้นพลัน
“อา…”
นางที่ไม่รู้ว่าไม่เคยหลั่งน้ำตามานานเท่าใด กลับหลั่งน้ำตาหยดหนึ่ง
องค์หญิงตังตังลนลานแล้ว กอดไทเฮา ปาดน้ำตา เอ่ยด้วยความตื่นตระหนก “เสด็จแม่ ทรงเป็นอะไรไปเพคะ? หม่อมฉันผิดไปแล้ว หม่อมฉันไม่ควรพูดเรื่องเศร้าเหล่านั้น เสด็จแม่ ทรงอย่าเสียพระทัยได้ไหมเพคะ ฮือๆ…”
“เด็กโง่ เจ้ารู้ไหมว่าสร้อยคอเส้นนั้นคืออะไร?”
“ไม่ทราบเพคะ หม่อมฉันรู้แต่ว่าหม่อมฉันเกลียดมัน มันทำให้หม่อมฉันสูญเสียเสด็จพ่อกับเสด็จพี่หญิง” แม้ไม่ใช่พระเชษฐภคินีร่วมมารดากับนาง แต่ดีกับนางมากกว่าพระเชษฐภคินีร่วมอุทร
“สร้อยคอเส้นนั้นเป็นสิ่งที่เสด็จพ่อเจ้าชิงมาด้วยชีวิต คิดจะมอบให้เผ่าหยก แต่น่าเสียดาย เผ่าหยกตัดขาดโลกภายนอก หลายปีมานี้ก็ไม่เคยปรากฏสักครั้ง”
พละกำลังทั้งตัวของไทเฮาราวกับถูกสูบไปหมด
นางรอมานานหลายปีขนาดนั้น ก็เพื่อต้องการนำมันมอบให้เผ่าหยกอย่างไม่บุบสลาย
แต่คนใกล้ชิดนางกลับต้องตกตายเพราะสร้อยคอเส้นนั้น ทุกครั้งที่เห็น นางก็อดเสียใจไม่ได้
และเพราะเช่นนี้ หลายปีขนาดนี้ นางจึงไม่อยากถามถึงเรื่องสร้อยคอเส้นนั้นอีก
องค์หญิงตังตังอึกอักเอ่ย “เผ่าหยกคืออะไรเพคะ?”
“ช่างเถอะ เป็นเรื่องในอดีตผ่านมาแล้ว ผ่านไปนานขนาดนี้ บางทีเผ่าหยกอาจสูญสิ้นไปแล้ว มิเช่นนั้นเหตุจึงไม่เคยปรากฏ เวลานี้มาพูดเรื่องนี้ก็เปล่าประโยชน์”
“ถ้าหากสร้อยคอเส้นนั้นสำคัญขนาดนั้นจริงๆ หม่อมฉันจะไปเอามาจากกู้ชูหน่วน ไม่ว่าอย่างไรก็จะเอากลับมาให้ใด้เพคะ”
“บางทีเป็นเพราะสวรรค์จงใจให้สร้อยเส้นนั้นตกอยู่ในมือกู้ชูหน่วนล่ะมัง”
“เช่นนั้นเราจะไม่เอากลับคืนมาหรือเพคะ”
“ไม่แล้ว เอากลับมาแล้วอย่างไร? คนที่ข้าห่วงใยหวนคืนมาได้หรือ? มหันตภัยเผ่าหยก ก็ไม่ใช่สร้อยเส้นเดียวก็เปลี่ยนแปลงได้”
ไทเฮาจากไปอย่างท้อแท้
องค์หญิงตังตังฟังจนสับสนมึนงงไปหมด ไม่รู้ว่าไทเฮาพูดอะไรกันแน่
นางรู้แต่เพียง นางเหมือนทำของชิ้นสำคัญมากๆ หายไป
เมื่อก่อนหยกเสี้ยวจันทร์ถูกนางทำหลุดมือไป เสด็จแม่ก็กริ้วมาก
ตอนนี้สร้อยคอก็ถูกนางทำหลุดมือไป แต่เสด็จแม่กลับเสียพระทัย
หลังจากกู้ชูหน่วนออกมาจากพระราชวัง ก็ไม่ได้กลับจวนอ๋องหาน แต่ไปที่ราชวิทยาลัยโดยตรง
ในความคิดนาง ราชวิทยาลัยปลอดภัยมากกว่าจวนอ๋องหาน อย่างน้อยที่นี่ก็ไม่มีคนจับจ้องนางมากเกินไป
ในอาคารหนึ่งของราชวิทยาลัย หลังจากกู้ชูหน่วนมั่นใจว่าปลอดภัยแล้วก็เอ่ยเสียงหนัก “ฝูกวง”
“ข้าน้อยอยู่นี่ขอรับ”
“ดูลาดเลาข้างนอก ไม่ว่าผู้ใดเข้าใกล้ก็ต้องรายงานข้าทั้งหมด”
“ขอรับ”
กู้ชูหน่วนหยิบเข็มทิศเปิดฟ้าและจี้รูปหัวใจจากแหวนมิติออกมา
นางนำจี้รูปหัวใจวางใส่ร่องของเข็มทิศเปิดฟ้าด้วยมือที่สั่นระริก
แกรกเสียงหนึ่ง
เข็มทิศเปิดฟ้ากลับขยับหมุนขึ้นมา
หนึ่งรอบ สองรอบ สามรอบ สิบรอบ ห้าสิบรอบ หนึ่งร้อยรอบ…
ความเร็วถี่ขึ้นทุกที
ลวดลายของเข็มทิศเปิดฟ้าบังเกิดความเปลี่ยนแปลง อีกทั้งยังกลายเป็นสีเหลืองอร่าม
กู้ชูหน่วนดีใจพลัน
นางเดาถูก
สร้อยคอจี้รูปหัวใจเส้นนี้ก็คือเนตรเข็มทิศเปิดฟ้า
ความเร็วนั้นเร็วจนเหนือคาด กู้ชูหน่วนดูได้ไม่ชัดเจน ได้แต่มองประกายทองที่สว่างขึ้นเรื่อยๆ
ยังดีที่ตอนนี้เป็นกลางวัน มิเช่นนั้นความเคลื่อนไหวประหลาดมากเช่นนี้ ต้องถูกคนอื่นพบเป็นแน่