อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่ 449 ยิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่ง
อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 449 ยิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่ง
เพียงแต่ไม่เปิดปากถาม
ทุกคนเงยหน้ามองไป แต่เห็นเพียงซ่างกวนฉู่อ่านหนังสือด้วยความสบายอารมณ์ ราวกับไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องของกู้ชูหน่วน สราญรมย์ มิช่วงชิงสิ่งใดเหมือนเช่นเคย
แต่หากพินิจโดยละเอียด ก็จะมองออกว่ามือที่เขาพลิกเปิดหน้าวุ่นวายเล็กน้อย
ด้วยการเกลี้ยกล่อมอย่างไม่หยุดหย่อนของทุกคน กู้ชูหน่วนที่แต่ไรมาไม่ฟังผู้ใดกลับรับปากเขียนต่อ
เพียงแต่ นางไม่ได้เขียนเอง แต่เรียกให้ชิงเฟิงมาเขียนแทนนาง
ชิงเฟิงตะลึง “พระชายา เหตุใดจึงให้เป็นข้าน้อยล่ะพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยเขียนหนังสือได้ไม่ดี”
“ก็เพราะเจ้าเขียนไม่ดีถึงให้เข้าฝึกมากหน่อยอย่างไร อีกอย่างเย่จิ่งหานก็อยากอ่านต่อมากไม่ใช่หรือ? เจ้าที่เป็นลูกน้องไม่ต้องแบ่งเบาความกังวลของนายหรืออย่างไร?”
ชิงเฟิงพูดไม่ออกโดยพลัน
แกล้งเขาชัดๆ ยังพูดเป็นเหตุเป็นผลอีก
“พระชายา ข้าน้อยยังมีธุระ ขอตัวกลับก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าเจ้าไป เช่นนั้นเรื่องนี้ก็หยุดที่ตรงนี้แล้วกัน ต่อไปข้าจะไม่เขียนอีก”
ครั้นถ้อยคำนี้ออกมา คนในวิทยาลัยจะให้ชิงเฟิงไปได้ที่ไหน แต่ละคนขวางทางไปของเขาจนหมด
หากมิใช่คนสนิทของเทพสงคราม พวกเขาก็กดศีรษะชิงเฟิงนานแล้ว ใช้กำลังบีบบังคับ
ชิงเฟิงฉุนเล็กๆ “ทำไมทุกครั้งต้องเป็นข้าน้อยด้วยพ่ะย่ะค่ะ?!”
กู้ชูหน่วนกินผลไม้ของว่างไป ก็หัวเราะเอ่ยไป “ใครให้เย่จิ่งหานเร่งขนาดนั้นเล่า?”
“ฝ่าบาทก็ส่งเสียวหลี่จือมาเร่ง แล้วฝ่าบาทยังให้เสียวหลี่จือมาแจ้งให้พระชายาแก้บทเหมือนกัน”
“แต่คนที่มาเป็นคนแรกคือเจ้า ถ้าท่านอ๋องของเจ้าไม่เริ่ม ฮ่องเต้เย่จะส่งเสียวหลี่จือมาถ่ายทอดรับสั่งหรือ?”
เสียวหลี่จือปาดเหงื่อไม่หยุด
ค่อยยังชั่ว ดีที่ระหว่างทางเขามีเรื่องนิดหน่อย จึงทำให้การเดินทางล่าช้า มิเช่นนั้นวันนี้คนที่ถูกจับมาเขียนแทนก็คือเขา
หากสอดคล้องกับความชอบของฝ่าบาทยังพอทำเนา แต่หากพระชายาเขียนเนื้อเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับความชอบของฝ่าบาท เช่นนั้นที่โชคร้ายก็มีเพียงพวกเขาเหล่านี้ที่เป็นลูกน้อง
คำพูดเดียวของกู้ชูหน่วน กลับทำให้ชิงเฟิงไร้คำพูดโต้แย้ง ได้แต่อดกลั้นจนหน้าแดงก่ำ
กลับเห็นกู้ชูหน่วนจู่ๆ ก็ทำหน้าขึงขัง “ให้เจ้าเขียนก็เขียน พูดพล่ามมากทำไม? เสียเวลา!”
“พ่ะย่ะค่ะ” ชิงเฟิงฝืนใจสุดๆ
ให้เขาวิวาทยังดี แต่ให้เขียนหนังสือกลับทรมานยิ่งกว่าอาบเลือดในสงคราม
กู้ชูหน่วนกระดิกขาไขว่ห้าง ปากก็พูดออกมายาวเหยียด
ชิงเฟิงร้อนใจเอ่ย “พระชายาช้าหน่อยพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยไม่ทัน”
“ไม่ทันมันเรื่องของเจ้า ถึงอย่างไรเรื่องต่อจากนั้นที่ข้าควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว”
ในมุมที่คนอื่นมองไม่เห็น ซ่างกวนฉู่ลูบปิ่นระย้าหยกขาว ยกมุมปากน้อยๆ
เรื่องถัดจากนี้ แม้เขาไม่ชอบเท่าไร แต่ก็ไม่รู้สึกแย่
หากสามารถเขียนให้หยางฉู่ลั่วลงเอยกับเฟิงหลิงได้ เช่นนั้นจะยิ่งดี
ในวังหลวง
ฮ่องเต้เย่โมโหจนขว้างปาสิ่งของ
“ไม่ใช่ให้เจ้าบอกกู้ชูหน่วนแล้วหรือ ต้องเขียนให้เซวียนหยวนจิ่นเจ๋อมีจุดจบที่ดี ทำไมตอนท้ายเซวียนหยวนจิ่นเจ๋อเสียแคว้นแล้วแขนยังขาดอีก? แล้วถึงขนาดว่าถูกจองจำอยู่ในคุกหลวงเหมือนตายทั้งเป็น ถูกทรมานทุกค่ำคืน?”
เสียวหลี่จือไม่กล้าส่งเสียง ได้แต่ยืนสั่นพั่บๆ อยู่ด้านข้าง
เรื่องพระชายาเป็นคนเขียน ถ้อยคำที่ควรกล่าวก็กล่าวแล้ว พระชายาจะเขียนอย่างนี้ เขาจะทำอะไรได้?
“กู้ชูหน่วนคิดจะทำอะไร? นางจะก่อกบฏหรือ? ในเรื่องนางเขียนว่าเซวียนหยวนจิ่นเจ๋อสิ้นแคว้น หรืออยากเสียดสีอย่างลับๆ ว่าแคว้นเย่ข้าจะล่มสลายแล้ว นี่นางทำผิดมหันต์ ต้องประหารเก้าชั่วโคตร!”
“ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้วพ่ะย่ะค่ะ ไม่ว่าพระชายาหานจะมีความคิดเช่นนี้หรือไม่ เราก็ไม่มีหลักฐานนะพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรนี่เป็นเพียงเรื่องแต่งเท่านั้น”
“เรื่องแต่งสะท้อนจิตใจคน นี่ยังไม่ถือเป็นหลักฐานหรือ?”
“ฝ่าบาท…พระชายาหานน่าจะไม่มีความกล้าเช่นนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ บางทีนางแค่เขียนเรื่องเท่านั้น”
“ใครจะเชื่อ! นางตีวัวกระทบคราดชัดๆ นางกำลังต่อว่าข้า ว่าข้าให้นางแต่งกับอ๋องหาน”
“ถ้าร้ายแรงขนาดนั้นจริง เราค่อยจับกุมพระชายาหานสิพ่ะย่ะค่ะ”
“ปัง…”
ฮ่องเต้เย่จับฎีกาขึ้นมาสองสามฉบับ แล้วโยนไปทางเสียวหลี่จือ
โมโหก่นด่า “เจ้าโง่ คนเบื้องหลังนางคืออ๋องหานเทพสงครามเชียวนะ ถ้ากุมตัวนาง เทพสงครามไม่ต้องเอาเรื่องกับข้าหรือ? ยังจะประหารเก้าชั่วโคตรอะไรอีก ข้ากลัวว่ายังไม่ทันประหารเย่จิ่งหาน ข้าก็ต้องถูกเขาเอาชีวิตก่อนแล้ว!”
“เช่นนั้นเวลานี้เราจะทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ?”
“เจ้าไป ไม่ว่าอย่างไรต้องให้นางเปลี่ยนจุดจบของเซวียนหยวนจิ่นเจ๋อให้ได้ อย่างไรก็เป็นคนไม่เอาไหนเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นข้าจะเสียหน้ามากเกินไป”
“เออ…”
เสียวหลี่จือทำหน้าอีหลักอีเหลื่อ
เขายังกล้าไปพูดที่ไหน?
ทุกครั้งที่เขาพูด พระชายาหานก็จะจงใจเขียนตัวละครตัวนั้นให้อนาถยิ่งกว่าเดิม
ตอนนี้อนาถเช่นนี้แล้ว หากเขาไปพูดอีก เขากลัวว่าพระชายาหานจะเขียนให้เซวียนหยวนจิ่นเจ๋อตายไปเสีย
แต่บัญชาฮ่องเต้ยากจะฝืน เขาจึงได้แต่ประจบวิงวอนกู้ชูหน่วนอย่างต่ำต้อยด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ
ครั้นกู้ชูหน่วนแก้ ก็เปลี่ยนจุดจบของเซวียนหยวนจิ่นเจ๋อ
เพียงแต่…
นางเขียนให้เซวียนหยวนจิ่นเจ๋อตายไปเสียเลย
ฮ่องเต้เย่ถือต้นฉบับอยู่ในมือ สีหน้าประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวขาว
“ตาย…ตายแล้ว? นี่เสียดสีข้าทางลับหรือ? ไปๆๆ ให้นางแก้ใหม่ ต้องเขียนให้ดี!”
“ฝ่าบาท พระชายาหานกล่าวแล้ว ตัวละครนี้ตายแล้ว ตายแล้วก็คือไม่มีแล้ว แก้ไม่ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องนี้มิใช่นางเป็นคนเขียนหรือ? ให้นางดัดแปลงสักหน่อย ให้เซวียนหยวนจิ่นเจ๋อฟื้นจากความตายก็ได้แล้วนี่”
“ฝ่าบาท ข้าน้อยก็เกลี้ยกล่อมแล้ว แต่พระชายาหานกล่าวว่าเซวียนหยวนจิ่นเจ๋อตายแบบจริงแท้แน่นอนแล้ว ฟื้นคืนชีพไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เย่ “…”
ฮ่องเต้เย่กลั้นลม ขึ้นก็ขึ้นไม่ได้ ลงก็ลงไม่ได้ แทบอยากมุ่งหน้าไปจับตาดูนางเขียนใหม่ด้วยตนเอง
แต่ในฐานะที่เขาเป็นประมุขแห่งแว่นแคว้น หากทำเรื่องเช่นนี้จริง วันพรุ่งขุนนางใหญ่ทั้งบุ๋นและบู๊ก็ต้องว่าเขาแน่
เขาจึงได้แต่โมโหเดินวนอยู่ในห้องทรงอักษร
หากรู้แต่แรกก็ไม่อ่านต้นฉบับของนางแล้ว ยิ่งอ่านก็อย่างอารมณ์เสีย
ในจวนอ๋องหาน
สีหน้าอ๋องหานดีกว่าฮ่องเต้เย่ไม่มาก
เขาเดือดพลุ “ไม่ใช่ให้ชิงเฟิงไปบอกนางให้แก้เนื้อเรื่องแล้วหรือ? ทำไมไม่เพียงไม่เปลี่ยนเนื้อเรื่อง ยังเขียนว่าหยางฉู่ลั่วกับฉู่หยู่เฉินสะบั้นสัมพันธ์สามีภรรยา นางหมายความว่าอย่างไร? ต้องการตัดขาดสัมพันธ์กับข้าหรือ?”
เจี่ยงเสวียปาดหน้าผาก “เออ…พระชายาน่าจะแค่แต่งเรื่องไปอย่างนั้นเองกระมังพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องดีกับพระชายาเช่นนี้ พระชายาจะตัดสัมพันธ์กับท่านอ๋องได้ลงคออย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
เย่จิ่งหานพลิกอีหน้า สีหน้าแย่ยิ่งกว่าเดิม
“ลูกของหยางฉู่ลั่วในเรื่องตายแล้ว นางคนนี้คิดจะทำอะไร หรือนางไม่ต้องการลูกในท้องแล้ว? เจี่ยงเสวีย สั่งการลงไป ระยะนี้จับตามองพระชายาให้ดี คุ้มครองพระชายาให้ดี จะให้เด็กในท้องนางเกิดเรื่องไม่ได้เด็ดขาด”
“พ่ะย่ะค่ะ…”
“ยังนี่อีก…นางถึงกับเขียนว่าหลังจากหยางฉู่ลั่วตัดขาดกับฉู่หยู่เฉินแล้ว ต่างฝ่ายต่างไป นางต้องการไปจากข้าหรือ? เฮอะ! นางอยู่เป็นคนของข้า ตาย ก็เป็นผีของข้าได้เท่านั้น!”
เจี่ยงเสวีย “…”
“ทิ้งสามีแล้ว ยังถึงกับรับสมัครหาคู่ แล้วยังรับสมัครไอ้หน้าจืด จงใจเมินฉู่หยู่เฉิน เจี่ยงเสวีย เจ้าไปสืบอีก ข้างกายนางยังมีไอ้หน้าจืดอีกหรือไม่!”