อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่ 484 กินขี้ไก่
อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 484 กินขี้ไก่
กู้ชูหน่วนหยิบกิ่งไม้แห้งกิ่งหนึ่งขึ้นมา ใช้มันวาดลักษณะของภูเขาที่พวกเขาได้เดินทางผ่านมาบนพื้น พลางหาเรื่องไปคุยกับเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์
ส่วนทำไมนางจึงสามารถฟังภาษาของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ได้ จนถึงทุกวันนี้นางเองก็ยังไม่รู้
นอกจากนางแล้ว คนอื่นแทบจะฟังไม่เข้าใจเลย
ยิ่งวาดคิ้วของกู้ชูหน่วนก็ยิ่งขมวดแน่น
ซือโม่เฟยเจ้าคนสารเลว เขานำทางเก่งจริงๆ นำนางเข้ามาในหุบเขาลึก การจะออกจากที่นี่ แม้จะมีเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เป็นพาหนะ ถ้าไม่ใช้เวลาหนึ่งวันคงออกไปไม่ได้แน่
เวลาที่ล้ำค่าทั้งหมดถูกใช้อย่างเปล่าประโยชน์ที่นี่ มันน่าโมโหจริงๆ
“กลิ่นอะไร “นางสูดดม
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์แบะปาก เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “จอมมารซื่อบื้อนั่นย่างไก่จนไหม้แล้ว ทำลายสิ่งมีชีวิตตามอำเภอใจ ไก่กับนกเหล่านั้นน่าสงสารจริงๆ”
จอมมารถือไก่ย่างที่เสียบอยู่บนกิ่งไม้หลายตัว วิ่งเข้ามาอย่างดีใจ “พี่สาว ย่างสุกแล้ว เจ้าลองชิมดูว่าอร่อยหรือไม่”
กู้ชูหน่วนสีหน้าดำคล้ำ
นี่คือไก่ย่างหรือ
นี่คือไก่ไหม้กระมัง
ไก่ย่างทุกตัวล้วนเป็นสีดำไหม้เกรียม บางตัวถูกย่างจนเป็นถ่าน
จะให้กินอย่างไร
ขอทางยังไม่กินเลย
ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะได้เห็นใบหน้าที่แต่ไหนแต่ไรขาวสะอาดของซือโม่เฟยถูกเถ้าถ่านทำให้สกปรก แม้แต่เส้นผมที่นุ่มสลวยดำขลับก็ยุ่งเหยิงไปหมดละก็ กู้ชูหน่วนเกือบจะคิดว่า เขาจะล้อนางเล่นอีกแล้ว
ใบหน้าของซือโม่เฟยงอง้ำ “น่าแปลก ทำไมจึงไม่เหมือนไก่ย่างที่ลูกน้องข้าทำให้นะ ข้าย่างไหม้แล้วใช่หรือไม่”
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ทำเสียงขู่ฟ่องอย่างไม่เกรงใจ
“เจ้าเพิ่งรู้หรือ นี่มันไหม้จนไม่สามารถไหม้ไปกว่านี้ได้แล้ว มันมีฐานะสูงส่งขนาดนั้น ให้หิวตายก็ไม่มีทางกินไก่ไหม้”
“พี่สาว เจ้ารอข้าสักครู่ ข้าจะไปย่างอีก”
กู้ชูหน่วนแสยะยิ้มออกมา “ไม่ต้องแล้ว ไหม้แล้วยิ่งหอม ฉีกหนังของมันออกก็ได้แล้ว”
ว่าแล้ว นางก็เอาไก่ย่างไป ฉีกส่วนที่ไหม้ออก
แต่นางคิดไม่ถึงเลยว่า ข้างนอกไหม้ถึงขนาดนั้น แต่ด้านในกลับ……ยังดิบอยู่……
“เจ้าย่างอย่างไร”
“ไฟนั่นมันเบาเกินไป ข้าใช้พลังภายในย่าง ย่างไปสักพักก็ไหม้แล้ว ข้าว่าข้างในไม่ไหม้ ไม่ไหม้ก็น่าจะกินได้กระมัง”
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ค้อนให้เขาวงใหญ่
เจ้านี่มันเป็นลูกชายของเจ้าโง่หรืออย่างไร
กึ่งสุกกึ่งดิบจะกินอย่างไร เขาไม่กลัวท้องเสียหรือ
ไม่ได้กินอาหารมาหลายคืนหลายวัน กู้ชูหน่วนหิวมาก บวกกับซือโม่เฟยเอาแต่ใช้สายตาที่ตื่นเต้นและกระวนกระวายมองนางอยู่ตลอด
นางถอนหายใจและพูดว่า “กินกินไปก่อนแล้วกัน วันหลังก็ฝึกย่างอีก เดี๋ยวก็เป็นเอง”
ทำไมนางจึงลืมไปได้ ว่าซือโม่เฟยทำอาหารไม่เป็น
โจ๊กรังนกของนางในตอนนั้น เค็มอย่างกับอะไรดี ทำเอานางเกือบจะเป็นพิษ
ไก่นี่ คงไม่เค็มเหมือนโจ๊กนั่นกระมัง
คิดถึงตรงนี้ กู้ชูหน่วนก็ยิ้มเยาะตัวเอง
นางกำลังคิดอะไรอยู่ ในป่าลึกเช่นนี้ ซือโม่เฟยจะไปเอาเกลือมาจากไหน
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ เจ้าจะกินหรือไม่”
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เบือนหน้าอย่างยโส
อาหารหมูมันจะกินได้อย่างไร
มันเป็นหมูหรืออย่างไร
หิวตายมันก็ไม่มีทางกิน
หิวไม่ตายมันก็ไม่กิน
“ไปๆๆ ไก่ย่างตัวแค่นี้ ให้เจ้านายเจ้ากินก่อน เจ้าไปอยู่ข้างนั่นไป”จอมมารพูด
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ทำท่าขู่ฟ่อ
แต่หลังจากที่เห็นแววตาเคร่งขรึมของจอมมารแล้ว มันก็ได้แต่เลื้อยไปอยู่ข้างๆอย่างไร้ความมั่นใจ
ช่างเถอะ งูที่ดีไม่สู้กับคนโง่
ครั้งนี้ให้อภัยเขาแล้วกัน
กู้ชูหน่วนกัดไปหนึ่งคำ เค็มจนนางรู้สึกปวดฟัน
กู้ชูหน่วนรีบยืนขึ้นทันที “ทำไมจึงได้เค็มขนาดนี้ เจ้าใส่เกลือลงไปหรือ”
“ใช่แล้ว ครั้งที่แล้วพี่สาวบอกว่าโจ๊กรังนกอร่อย ข้าก็คิดไว้แล้วว่าครั้งหน้าจะทำให้เจ้ากินอีก ฉะนั้นจึงเอาเกลือใส่ไว้ในแหวนมิติมากมาย ก็เพื่อรอที่จะใช้ในวันนี้”
จอมมารชูแหวนมิติที่อยู่บนนิ้วของตนเองขึ้นมา
ไม่เพียงแต่กู้ชูหน่วนเท่านั้นที่มีแหวนมิติ
เขาก็มี
กู้ชูหน่วนรู้สึกกลัวขึ้นมา
เอาน้ำที่อยู่ในแหวนมิติออกมาดื่มไปไม่น้อย จึงพอจะยับยั้งเอาไว้ได้บ้าง
ให้ตายเถอะ……
ถ้าออกจากที่นี่ได้ นางเองก็ต้องยัดของกินเข้าไปในแหวนมิติบ้างแล้ว
ไม่เช่นนั้นต้องมีสักวัน ที่ต้องถูกซือโม่เฟยเล่นงานจนตาย
“พี่สาว ทำไมสีหน้าของเจ้าจึงดูไม่ดีเลย ไม่ถูกปากหรือ”
“ยังมีไก่ป่าหรือไม่ ข้าจะไปย่างเอง”
“ไม่มีแล้ว ถูกข้าย่างจนหมดแล้ว”
จอมมารชี้ไปยังกองไฟที่ยังมีไก่ป่าถูกย่างอยู่
ไก่ทุกตัวล้วนดำปิ๊ดปี๋
แค่มองดูแวบหนึ่งก็อยากจะอาเจียนออกมา
ทันใดนั้นกู้ชูหน่วนก็รู้สึกอับจนคำพูด
ยิ่งไปกว่านั้นคือ ซื่อโม่เฟยยังคุยโวโอ้อวด
“พี่สาว ข้าร้ายกาจใช่หรือไม่ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าย่างไก่ แม้จะไหม้ไปบ้าง แต่ข้างในไม่ได้ไหม้ไปด้วย ให้ข้าย่างอีกสองสามครั้ง วันหน้าต้องเหมือนไก่ย่างที่ออกมาจากหอจุ้ยเซียนแน่”
รอให้เขาย่างอีกสองสามครั้ง
นางก็คงเป็นพิษตายไปแล้ว
“พี่สาว เสวียซาบอกว่า อยากจะจับหัวใจของหญิงสาวเอาไว้ ก่อนอื่นก็ต้องจับเรื่องการกินของนางให้ได้ก่อน ฉะนั้นข้าคิดไว้แล้ว หลังจากนี้สามมื้อในทุกวัน อาหารทั้งหมดของเจ้าข้าจะรับผิดชอบเอง พี่สาวอยากกินอะไร ข้าก็จะทำให้กินดีหรือไม่”
“ตุ้บ……”
ไก่ย่างที่อยู่ในมือของกู้ชูหน่วนตกไปบนพื้น รู้สึกตกตะลึง
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ตกใจจนร่างหดเล็กลงเท่ากับตะเกียบ ม้วนตัวอยู่บนข้อมือของกู้ชูหน่วน
“พี่สาว เจ้ารู้สึกซาบซึ้งใจมากใช่หรือไม่ ข้ายังรู้สึกซาบซึ้งในตัวเองจนน้ำตาไหลแล้ว โตมาจนป่านนี้ ข้ายังไม่เคยกินอาหารฝีมือตัวเองเลย”
กู้ชูหน่วนยิ้มอย่างฝืนใจ
ซือโม่เฟยกวาดตามองไก่ย่างที่ตกอยู่เกลื่อนพื้น วิ่งไปยังกองไฟเพื่อเอาไก่ย่างอีกตัวมา ใช้พลังภายในทำให้ไก่ย่างเย็นลง จากนั้นก็เลียนแบบกู้ชูหน่วนฉีกส่วนที่ไหม้ออกไป ยื่นให้กู้ชูหน่วนด้วยรอยยิ้ม
“คือว่า……ข้าไม่ค่อยหิว เจ้าเก็บไว้กินเองเถอะ”
“พี่สาวไม่กินอะไรมาสองวันสองคืนแล้ว จะไม่หิวได้อย่างไร อย่างน้อยก็กินสักคำเถอะ อาโม่ย่างอย่างยากลำบาก เจ้าดู มือข้าถูกไฟลวกจนบาดเจ็บ ปวดมาก”
“……”
“พี่สาว เจ้ากินสักคำเถอะ ข้ายุ่งมาครึ่งค่อนวัน เจ้าไม่กินข้าจะปวดใจมาก ก็แค่คำเดียวเท่านั้น”
จอมมาเซ้าซี้ ทั้งออดอ้อนทั้งประจบ
กู้ชูหน่วนกัดฟัน
ช่างเถอะ คำเดียวก็คำเดียว
ใคนใช้ให้นางอยากจะให้ซือโม่เฟยค้นหากุญแจรูปดาวให้เล่า
แม้จะถูกวางยาพิษจนสลบไป นางก็ต้องยอมรับ
กู้ชูหน่วนกัดลงไปอย่างแรงหนึ่งคำ
พอกัดเข้าไป สีหน้าของนางก็ยิ่งคล้ำลงไปอีก รีบคายไก่ย่างที่อยู่ในปากทั้งหมดออกมา แล้วก็บ้วนปากอยู่หลายครั้ง ความโมโหอันล้นหลามปะทุออกมา
“ซือโม่เฟย เจ้าไม่ทำให้ข้าตาย เจ้าไม่พอใจใช่หรือไม่ ข้าไปยั่วโมโหเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
ซือโม่เฟยนิ่งอึ้ง
จะดุขนาดนี้ทำไม
เขาทำอะไรผิด
เห็นสีหน้าไร้เดียงสาของเขา กู้ชูหน่วนยิ่งโมโห ชี้ไปที่ไก่ย่างและพูดว่า “เจ้าไม่ได้จัดการกับเครื่องในหรือ พวกนี้……เป็นขี้ไก่ทั้งหมด”
“เครื่องใน มันคืออะไร ขี้ไก่ ไก่มันมีขี่ได้อย่างไร”
“ให้ตาย……เจ้าไม่เคยกินเนื้อหมู ก็คงเคยเห็นหมูวิ่งกระมัง”
“หมูวิ่งข้าเคยเห็น แต่มันเกี่ยวอะไรกับไก่ย่าง”
“ก่อนย่างไก่ ไม่ต้องจัดการเอาเครื่องในของมันออกมาก่อนหรือ”
“ไก่ย่างที่เสวียซายื่นมาให้ ก็ไม่ได้มีการจัดการกับเครื่องในนี่นา รสชาติก็อร่อยดี”
กู้ชูหน่วนโมโหจนโยนไก่ย่างทิ้งไปอย่างแรง
ชาติที่แล้วนางก่อกรรมอะไรไว้ จึงต้องมารู้จักเจ้าปัญญาอ่อนคนนี้
แม้แต่เครื่องในก็ไม่รู้ว่าคืออะไร
ขี้ไก่ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร
ให้ตายเถอะ……