อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่ 508 นางหลอมยาเป็น
อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 508 นางหลอมยาเป็น
คนจำนวนไม่น้อยต่างตื่นตระหนก กลัวว่าค่ายกลจะทัดทานโรคจิตพวกนั้นไม่อยู่
ต่อสู้กันดุเดือดเกินไป ทำให้บรรดานักหลอมยาไม่อาจรวมสมาธิตั้งใจหลอมยาได้
มีเพียงกู้ชูหน่วนเท่านั้น นางกำลังบดวัตถุดิบยาไม่หยุด ขับเคลื่อนลมปราณของตัวเองเสริมไฟเตาหลอมยา
คนที่สังเกตนางพากันฉงนฉงาย
ไฟด้านล่างเตาหลอม มิใช่ใช้ฟืนหรือ?
เหตุใดนางต้องใช้ลมปราณของตัวเองหลอมยาร่วมด้วย?
นักหลอมยาด้านข้างกู้ชูหน่วนนามหนึ่งเอ่ยอย่างดูถูก “แม่นาง เจ้าหลอมยาครั้งแรกกระมัง? สูตรยาย่อมสำคัญ ฟืนไฟก็สำคัญยิ่ง ต้องเสริมไฟหรือลดไฟตามเวลาและชนิดของยา แต่เจ้าเอาแต่เพิ่มอุณหภูมิไฟเช่นนั้น จะหลอมยาดีได้อย่างไร อีกอย่าง…เจ้ายังถึงกับโง่ใช้ลมปราณของตัวเองเสริมไฟ เจ้าจะโง่เกินไปแล้วกระมัง?”
กู้ชูหน่วนหัวเราะ “พี่ชาย วิธีการหลอมยาของแต่ละคนล้วนต่างกัน รอให้สำเร็จแล้วเราค่อยถกเรื่องไฟหลอมยาเป็นอย่างไร?”
บรรดานักหลอมยาต่างส่ายหน้า
ไม่เข้าใจว่าเจ้าหุบเขาใหญ่น่าหลันให้นางเข้าร่วมได้อย่างไร เพียงเพราะเจ้าหุบน้อยชอบนางกระมัง?
นางผู้หญิงคนนั้นมีปัญหาทางสมองชัดๆ
กลับเห็นกู้ชูหน่วนใส่หญ้าอู๋โยวกอหนึ่งลงไปในเตาหลอม เหล่านักหลอมยาต่างตะลึงเป็นตาเดียว
“ระหว่างการหลอมยา ที่ต้องห้ามที่สุดก็คือการเปิดฝา ทำไมเจ้าถึงเปิดออกเสียล่ะ ยาทั้งเตาหลอมเจ้าคงต้องเสียหมดเป็นแน่แล้ว”
ในสายตาจางอวี่นักหลอมยาอีกคนมีแต่ความหยามเหยียด น้ำเสียงก็ไม่น่าฟังด้วย
“นางหลอมยาไม่เป็นสักหน่อย แต่ก็มาเล่นๆ เท่านั้น ทีแรกก็เป็นรูปร่างไม่ได้อยู่แล้ว เปิดออกแล้วจะอย่างไร?”
เฉินเชาผงะ
แม้เป็นเช่นนั้น แต่หากแม่นางผู้นี้จดจ่อ เกรงว่าสนใจการหลอมยามาก หากชี้แนะสักหน่อยจะช่วยนางได้ เช่นนั้นก็ไม่เลว
“แม่นาง ฝาของเตาหลอมที่ห้ามเด็ดขาดก็คือเปิดก่อนสำเร็จ ต่อไปเจ้าต้องระวังหน่อย ยังมีหญ้าอู๋โยวอีก เป็นแค่วัชพืชเท่านั้น หลอมยาอะไรก็ไม่ได้ ในเตาหลอมหนึ่ง หากใส่หญ้าอู๋โยวลงไป เช่นนั้นยาอื่นไม่ว่าจะระดับสูงเท่าไร ก็ต้องเสียไปหมด”
กู้ชูหน่วนเลิกคิ้ว เบือนหน้ามองชายหนุ่มที่ชี้แนะด้วยความอดทน ถาม “เจ้าชื่ออะไร?”
“ข้าชื่อเฉินเชา”
เฉินเชาหรือ?
นางจำไว้แล้ว
ชายหนุ่มผู้นี้แม้เครื่องหน้าเรียบๆ ท่าทางก็ธรรมดา แต่กลับมีจิตใจดี อย่างน้อยก็ไม่เหมือนคนอื่น แววตาที่มองนางก็ไม่ใช่การดูถูก
กู้ชูหน่วนเอ่ย “ถึงหญ้าอู๋โยวจะเป็นวัชพืช แต่หากร่วมด้วยกับหญ้าจื่อหลันก็จะสามารถทำฤทธิ์ยาทั้งหมดให้เป็นกลางได้ พระตุ้นยาให้ขึ้นรูป แล้วยังขจัดสิ่งแปลกปลอมทั้งหมดของยาได้”
เฉินเชาตะลึงงัน
นี่นางกำลังกล่าวกับเขาหรือ?
นักหลอมยาด้านข้างพากันหัวเราะร่วน รู้สึกเพียงกู้ชูหน่วนทั้งไร้เดียงสาและน่าขัน
ทำฤทธิ์ยาเป็นกลางอะไร ยังขจัดสิ่งแปลกปลอมได้อีก?
พวกเขาหลอมยาหลายปีขนาดนี้ ไยจึงไม่เคยได้ยิน?
นางผู้นั้นไม่รู้แล้วยังแสร้งเป็นรู้กระมัง?
เฉินเชาก็ไม่เห็นพ้อง คิดว่านางพูดเล่นเท่านั้น
“แม่นาง เมื่อครู่ข้าเห็นเจ้าหยิบ…เออ…วัตถุดิบยาออกมาจากแหวนมิติจำนวนไม่น้อย ที่จริงเก้าในสิบส่วนในนั้นล้วนเป็นวัชพืช ไม่ใช่ตัวยา ถ้าเจ้าอยากเรียนหลอมยา ถ้าเจ้าไม่รังเกียจที่ข้าความรู้น้อย ข้าก็สอนเจ้าเล็กน้อยได้”
กู้ชูหน่วนกรอกตาขาวใส่
มาอีกคนแล้ว
คนพวกนี้ ตัวยาที่ตัวเองไม่รู้จักก็คือวัชพืชหรือ?
นางหลอมยาพลางกล่าว “ขอบใจ เจ้าตั้งใจหลอมยาของเจ้าเถอะ ไม่ต้องลำบากชี้แนะหรอก”
จางอวี่มองกู้ชูหน่วนด้วยความเสียดสี กล่าวเตือนเฉินเชา “ช่างเถอะ เจ้าบอกนางมากขนาดนั้นทำไมกัน นางไม่รู้วิชาหลอมยาสักหน่อย”
“เออ…ก็ได้ ประเดี๋ยวหายาข้าขึ้นรูปแล้ว ข้าจะมอบให้นางเม็ดหนึ่ง นางจะได้ไม่เสียใจ”
“เจ้าสนใจตัวเองก่อนเถอะ คิดแล้วถ้าชนะ เราก็จะเข้าแดนต้องห้ามได้ เห็นว่าเข้าแดนต้องห้ามจะได้เรียนวรยุทธ์สูงส่งมากมาย แล้วยังได้เรียนวิชาหลอมยาระดับสูงด้วย”
“อือ ตั้งใจหลอมยา”
เฉินเชาสูดลมหายใจลึกหนึ่งครั้ง เพิ่มฟืนจำนวนหนึ่งกับเตาหลอม
กู้ชูหน่วนไม่รู้จะบรรยายพวกเขาอย่างไรดี
เสียทีที่เป็นนักหลอมยา
วิชาหลอมยา นอกจากทักษะและสูตรยาที่สำคัญแล้ว ไฟก็สำคัญเหมือนกันไหม?
อีกอย่างไฟที่ต่างกันก็หลอมได้ยาที่ต่างกัน มิเช่นนั้นเพลิงสมาธิ เพลิงใจกลางพิภพชั้นสูงอะไรเหล่านั้นจะมีได้อย่างไร?
ไม่รู้จะพูดว่าพวกเขาปัญญาน้อย หรือพูดว่าพวกเขาไม่ฉลาดดี
วิชาควบคุมไฟที่นางเป็นมีไม่มาก จึงได้แต่เลือกวิชาควบคุมไฟที่ตัวเองทำได้ดีที่สุดมาควบคุม
คนทั้งงานต่างงุนงง
เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นคนขับเคลื่อนลมปราณควบคุมไฟ
นางแน่ใจว่าสมองตัวเองไม่มีปัญหาแน่นะ?
ฮัวฉีหลัวมองจนร้อนใจ “พี่ไป๋จิ่น ท่านว่าพี่กู้ใช้ลมปราณควบคุมไฟตลอดเวลา เช่นนั้นนางมิต้องผลาญลมปราณมากหรือ?”
เครื่องหน้างามล่มเมืองของไป๋จิ่นเผยความกังวลเล็กน้อย เอ่ยเรียบ “ลมปราณที่นางใช้ไม่มาก ถ้าข้าเดาไม่ผิด นี่ต้องเป็นวิชาควบคุมไฟอย่างหนึ่งแน่ ถึงจะหลอมยาสิบวันสิบคืน ก็ใช้ลมปราณไม่มากเท่าไร”
“วิชาควบคุมไฟ? วิชาควบคุมไฟอะไร?”
คนที่ได้ยินการสนทนาของพวกนางแล้วก็พากันชันหูฟัง แต่ไป๋จิ่นกลับไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่สายตาที่มองกู้ชูหน่วนพกพารอยยิ้มและความชื่นชมหนึ่ง
ดวงหน้าเย้ายวนมีเสน่ห์ของสีชิ่นมีความภูมิใจเล็กๆ
ก็ต้องเป็นวิชาควบคุมไฟอยู่แล้ว แถมวิชาควบคุมไฟของเจ้าหอพวกนาง ยังไม่ใช่แค่ชนิดเดียวเท่านั้น
พูดถึงการหลอมยา โลกนี้กลัวจะมีแค่ไม่กี่คนที่เทียบกับเจ้าหอได้
เพียงแต่เจ้าหอมักถ่อมตนเสมอ ผู้คนต่างไม่รู้ว่านางเป็นนักหลอมยาระดับแปดที่ชื่อเสียงกึกก้อง
นักหลอมยามีทั้งหมดเก้าระดับ ผู้ที่ถึงระดับแปดได้ โลกนี้นับได้เพียงนิ้วมือ
ถึงเจ้าหอจะสูญเสียความทรงจำ แต่วิชาหลอมยาที่ประทับอยู่ในส่วนลึกของวิญญาณกลับไม่เสียไปทั้งหมด
สีหน้าผู้อาวุโสเจ็ดผิวเผินนิ่งเฉย มองกู้ชูหน่วน แต่ในใจกลับยินดีถึงที่สุด
นางเป็นหัวหน้าเผ่าของพวกเขา
วิชาหลอมยาของหัวหน้าเผ่าคนอื่นอาจไม่รู้ แต่เขารู้ชัดเจนยิ่ง
หลายปีมานี้ หัวหน้าเผ่าไม่ค่อยได้หลอมยาแล้ว แต่ยาที่นางหลอม ใต้หล้านี้ใครบ้างไม่แย่งชิงอย่างบ้าคลั่ง?
สายตาเวินเส้าหยีอบอุ่น บุคลิกในตัวก็เป็นดั่งเทพเซียนละโลกีย์
สันหลังยืดตรง นั่งอยู่ตำแหน่งหลัก แววตาอ่อนน้อมแต่ซับซ้อนเหลือบไปทางกู้ชูหน่วนเป็นครั้งๆ
ในภูเขาน้ำเต้าโลหิต เสื้อผ้าอาภรณ์เขาหลุดลุ่ย ภาพที่กอดกันวนเวียนอยู่ในสมองเขาไม่หยุด
กลิ่นหอมบนเรือนกายนาง ตราบจนวันนี้ก็ยังรายล้อมอยู่ปลายจมูก
พบกันครั้งนี้ เขานึกว่ากู้ชูหน่วนจะเก้อเขินอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
ทว่ากลับไม่
นางคล้ายลืมเรื่องในวันนั้นทั้งหมด สายตาที่มองเขาเรียบดุจธารา ไม่มีคลื่นใด
แต่ถ้ามี เช่นนั้นก็คือความเย็นชาที่เย็นเฉียบ
ความเย็นชา…
นางคล้ายไม่พอใจอะไรกับเผ่าเทียนเฟิ่น
เป็นเพราะเรื่องของเย่เฟิงหรือ?
หรือเพราะเผ่าเทียนเฟิ่นลงมือชิงมุกมังกร?
“เอาจากเตาแล้ว ยาออกจากเตาหลอมแล้ว!” เสียงหนึ่งโหวกเหวกขึ้น ความสนใจของทุกคนถูกดึงดูดไปหมด