อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่ 52 กรงสุนัขก็ไม่เหลือ
ผลการแข่งประลองบทกวีออกมาแล้ว
กู้ชูหน่วนกับเย่เฟิง ในด้านลายมือนั้นฝีมือของทั้งสองพอๆกัน ถือว่าเสมอกัน
การประพันธ์กู้ชูหน่วนเหนือกว่าเย่เฟิงขั้นหนึ่ง ทั้งยังมากกว่าหนึ่งบท ดังนั้น กู้ชูหน่วนจึงเป็นผู้ชนะ
ในการประลองห้าสนาม กู้ชูหน่วนได้ลำดับที่หนึ่งสองสนาม ยังมีสองสนามที่ได้ลำดับหนึ่งร่วมกับเย่เฟิง มองดูทั้งสนามไม่มีใครมีคุณสมบัติท้าประลองนางได้
ในสนามเต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์
“คาดเดาไปมา ไม่ได้ทายเลยว่ากู้ชูหน่วนจะดีดขึ้นเป็นลำดับที่หนึ่งอยู่ผู้เดียว ข้าช่างน่าสงสารเอาทรัพย์สินทั้งหมดในบ้านมาเดิมพันอ๋องเจ๋อ น่ากลัวว่าข้าจะสิ้นเนื้อประดาตัวเสียแล้ว”
“ข้าก็ไม่ต่างกันเท่าไร เข้าลงอ๋องเจ๋อกับกู้ชูหยุนไปหมด กู้ชูหยุนแม้แต่คุณสมบัติในการเข้าประลองยังไม่มี อ๋องเจ๋อ…อ๋องเจ๋อก็ถูกจับแขวนคอ ทำไมข้าถึงรันทดเช่นนี้ ต่อให้เดิมพันฝั่งเย่เฟิงก็คงไม่ถึงกับพ่ายแพ้ได้น่าอนาถเช่นนี้”
“จบสิ้นแล้ว ข้าก็ลงเดิมพันอ๋องเจ๋อทั้งหมดเหมือนกัน ข้ายังนึกว่าอ๋องเจ๋อเปี่ยมไปด้วยความรู้ความสามารถ อย่างน้อยก็ชนะสักสนามสองสนาม ใครจะคาดว่าเขาล้วนได้ที่โหล่ทุกสนาม”
“แล้ว…ไม่มีคนเดิมพันฝั่งกู้ชูหน่วนหรือ?”
“เหมือนจะมีนะ ท่านอาจารย์ซ่างกวนเดิมพันไปหนึ่งพันตำลึง บอกว่าจะให้กำลังใจนักเรียน”
“อ๋องเจ๋อกับกู้ชูหยุนก็เป็นนักเรียนของเขาเหมือนกันไม่ใช่หรือ? หรือท่านอาจารย์ซ่างกวนจะรู้อยู่แล้วว่ากู้ชูหน่วนจะชนะ ถึงได้ลงเดิมพัน?”
“เรื่องนี้…ท่านอาจารย์ซ่างกวนดูแล้วก็ไม่คนตีสองหน้าเช่นนั้นนะ”
“ไม่ว่าท่านอาจารย์ซ่างกวนจะเป็นคนอย่างไร อย่างไรเสีย คนใต้หล้าทั้งหลายล้วนพ่ายแพ้จนต้องร้องหาบิดามารดากันหมดแล้ว”
เซียวหยู่เซวียนดีใจแทบบ้า “นางเด็กตัวเหม็นได้ที่หนึ่งแล้ว? ดูเหมือนว่านางจะใช้เงินของพวกเราไปลงเดิมพันตัวนางเองทั้งหมด สวรรค์ พวกเราได้กำไรสูงลิบเลยใช่หรือไม่?”
“มะ…เหมือนจะใช่…” หลิ่วเยว่กับอวี่ฮุยตกใจจนฟันสั่นกึกๆ
แม้จะคาดเดาผลลัพธ์ได้อยู่ก่อนแล้ว สีหน้าของเย่เฟิงก็ยังดูซีดขาวเล็กน้อยอยู่ดี
เขาไม่รู้ว่ากำลังปิดบังอะไรอยู่ ซ่อนเล็บที่จิกลึกเข้าไปกลางฝ่ามือไว้ในแขนเสื้อ จิกจนฝ่ามือมีเลือดออก แต่เขาก็ยังคงไม่รู้สึกเจ็บ
ดวงตาเยือกเย็นคู่นั้น ปิดลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
นานมาก กว่าจะค่อยๆลืมขึ้นมา
มือที่กำแน่นคู่นั้นก็คลายออกแล้ว สิ่งที่ตามมาติดๆคือเศร้าโศกเบาบาง ก็เหมือนกับบทกวีของเขา ทุกบทล้วนสอดแทรกความเศร้าสร้อยไปบางๆ
กู้ชูหน่วนยิ้มแล้วพูดกับอ๋องเจ๋อ “บอกแล้วว่าอย่าเดิมพันมากขนาดนั้น ท่านก็ไม่ฟัง ดูสิ แม้แต่คอกสุนัขก็ไม่มีจะอยู่แล้ว”
“เจ้าว่าใครเป็นสุนัข?”
“ข้าบอกว่าท่านเป็นสุนัขแล้วหรือ?”
“เจ้าพูดว่าจวนอ๋องของข้าคือกรงสุนัข”
กู้ชูหน่วนถามกลับอย่างจริงจัง “หรือว่าบ้านเจ้าไม่เลี้ยงสุนัข? กรงล้วนขายสิ้นแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าแม้แต่กรงสุนัขก็ไม่มีอยู่แล้วหรอกหรือ”
อี้เฉินเฟยหัวเราะพรืด
เด็กสาวผู้นี้ ตีวัวกระทบคราดชัดๆ
แผ่นอกหวังเจ๋อกระเพื่อมขึ้นลง
ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าคำพูดของนางแปลกๆ?
ไม่รอให้เขาวิเคราะห์ความหมายจากคำพูดของกู้ชูหน่วนอย่างละเอียด ก็เห็นกู้ชูหน่วนยื่นมือมาทางเขาแล้ว
“อะไร?”
“ย่อมต้องเป็นโฉนดบ้านโฉนดที่ดินน่ะสิเพคะ ทำไม ท่านคงไม่ได้คิดจะเบี้ยวหนี้หรอกนะเพคะ?”
อ๋องเจ๋อพูดลอดไรฟันอย่างโหดเหี้ยม “ในเมื่อข้าแพ้ ย่อมไม่บิดพลิ้วอยู่แล้ว แต่ดีเลวอย่างไรเจ้าก็ให้เวลาข้าเตรียมตัวสักสองสามวันเถอะ”
“ก็แค่จวนอ๋องหนึ่งหลังกับคฤหาสน์เล็กน้อยหกหลัง หรือว่าอ๋องเจ๋อที่สง่าผ่าเผยอย่างท่านยังกลัวว่าหลังจากที่ข้ารับเรือนท่านมาแล้ว ท่านจะไม่มีที่อาศัย”
กู้ชูหน่วนไม่พูดสิ่งนี้ยังดีหน่อย พอพูดขึ้นมา อ๋องเจ๋อเกือบจะโกรธจนแทบสลบไป
การพนันหลายสนามก่อนหน้านี้ เขาแพ้จนสิ้นเนื้อประดาตัวยังชดใช้ไม่หมด ตอนนี้ยังเอาจวนอ๋องกับคฤหาสน์หกหลังมาแพ้อีก ไม่ใช่ว่าไม่มีที่อาศัยแล้วหรือ?
แต่ว่าเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ เขาจะพูดออกไปได้อย่างไร?
กู้ชูหน่วนกวาดตามองเขาอย่างเห็นใจ ก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง “เห็นแก่ความน่าสงสารของท่าน จะให้ท่านเลือกห้องตรงซอกมุมของจวนอ๋องพักอาศัยสักสองสามวันก็แล้วกัน ผู้อื่นจะได้ว่าไม่ได้ว่าข้าไร้เหตุผล”