อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่ 520 ร่วมบุกค่ายกลสังหาร
อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 520 ร่วมบุกค่ายกลสังหาร
สี่ทิศที่นี่ล้วนเป็นหินผาแข็งแกร่ง กู้ชูหน่วนหารอบหนึ่งก็ไม่พบทางออก และหากุญแจรูปดาวไม่พบด้วย
กู้ชูหน่วนจ้องตรงขั้วของโซ่ใหญ่ทั้งเก้าเส้นนั้น
ที่นั่นมีโซ่เล็กที่มียันต์อักขระนับไม่ถ้วนกระจายแน่นขนัดเหมือนกัน โครงสร้างซับซ้อน ไม่อาจมองเห็นปลายทาง
อย่างไม่มีสาเหตุ นางเกิดความสะพรึงขึ้นเล็กน้อย สัญชาตญาณบอกว่าข้างบนมีบรรพตมีดทะเลเพลิงที่บุกยากยิ่งกว่า
กำปั้นชมพูรัดแน่น กู้ชูหน่วนสูดลมหายใจลึกทีหนึ่ง สายตาเผยความหนักแน่นแห่งความตั้งมั่น กัดฟันวางแผนบุก
เมื่อนั้นข้อมือที่ไม่ทันระวังก็ถูกมือใหญ่คู่หนึ่งจับไว้ เสียงเย็นชาอันคุ้นเคยดังอยู่ข้างใบหู
“เจ้าจะบ้าแล้วหรือ? ไม่รู้หรือว่าข้างบนนั่นเป็นค่ายกลสังหารโบราณ?”
กู้ชูหน่วนหันไปมอง ผู้ที่จับมือนางไว้มิใช่เย่จิ่งหานแล้วจะเป็นผู้ใดได้อีก?
เย่จิ่งหานสวมใบหน้าผี มองไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง ดวงตายากจะคาดเดาประหนึ่งแอ่งน้ำลึกเจือโทสะเล็กน้อย และไม่รู้ว่าเขากำลังโกรธอะไร
“ที่นี่มิใช่ที่ที่เจ้าควรมา” กู้ชูหน่วนเอ่ย
นางออกแรงสะบัดมือเขา ทว่าเย่จิ่งหานกำลังมาก ดุจกำแพงทองแดงแขนเหล็กก็มิปาน ไม่ว่านางจะสะบัดอย่างไรก็ไม่หลุด
น้ำเสียงกู้ชูหน่วนเย็นลงหลายส่วน “ปล่อยข้า!”
“ไปกับข้า”
เย่จิ่งหานไม่สนว่านางจะเห็นด้วยหรือไม่ ฉุดนางไปทันที
“เย่จิ่งหาน! ข้าบอกให้เจ้าปล่อยข้า เจ้าฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือ?”
“ออกเรือนว่าตามสามี เจ้าเป็นชายาของข้า ข้าให้เจ้าไป เจ้าก็ต้องไป”
“เจ้าป่วยหรือ? ป่วยก็รีบไปรักษาข้างนอก พวกเราแต่งงานมีข้อตกลงแต่ทีแรก ก็แค่สามีภรรยาเพียงนามนัยไม่มีพฤตินัยเท่านั้น ข้าอยากทำอะไร ไม่ต้องขอความเห็นจากเจ้า!”
“แต่ทำไมข้าจำได้ว่าเรามีทั้งนามนัยไม่มีพฤตินัยล่ะ?”
ท่าทีเย่จิ่งหานแน่วแน่ ไม่ยอมให้นางต่อต้าน กู้ชูหน่วนถูกฉุดไปไกลมากแล้ว
ด้วยโทสะ นางหยิบอาวุธลับสองสามอันแล้วซัดไป
ดวงตาเย็นชาเย่จิ่งหานยะเยือก เบี่ยงตัวหลบอาวุธลับ แทบเป็นขณะเดียวกัน กู้ชูหน่วนสาดผงยาพิษอีก
เขารู้นานแล้วว่ากู้ชูหน่วนชำนาญเรื่องอาวุธลับและผงยาพิษ ชั่วขณะที่หลบอาวุธลับก็กลั้นลมหายใจ
การโจมตีสองคราไม่เป็นผล กู้ชูหน่วนดึงปิ่นปักผมบนศีรษะออกฉึก กดตรงลำคอตัวเอง “เย่จิ่งหาน ถ้าเจ้าไม่ปล่อยข้า ข้าก็จะตายต่อหน้าเจ้านี่แหละ”
ใช้ความตายบีบบังคับทำให้เย่จิ่งหานหยุดได้จริง
เย่จิ่งหานกัดฟันกรอดเอ่ย “กู้ชูหน่วน เจ้ามาร่วมงานประเดิมหลอมยาที่หุบเขาตันหุยเพราะอะไร? แล้วที่เจ้าเข้าแดนต้องห้ามเพื่อจะหาอะไรอีก?”
มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิตนางอีก?
ค่ายกลนี้จะดูอย่างไรก็เป็นค่ายกลสมบัติ แต่กลิ่นอายเหี้ยมในนี้ตลบอบอวล แค่ยืนอยู่ตรงนี้ก็ทำให้เขาครั่นคร้ามจากจิตวิญญาณได้แล้ว ค่ายกลเช่นนี้หรือจะเป็นค่ายกลสมบัติทั่วไป?
เกรงจะร้ายกาจกว่าค่ายกลสังหารที่เรือนพักร้อนชิวเฟิงของเขาร้อยเท่ากระมัง?
กู้ชูหน่วนนวดคลึงข้อมือที่ถูกบีบจนเจ็บ กล่าวอย่างหงุดหงิด “มาที่นี่จะหาอะไรได้ ก็ต้องหาวิชาหลอมยาที่ร้ายกาจกว่าเดิมอยู่แล้ว”
เย่จิ่งหานถูกทำให้โมโหจนหัวเราะ
เขาไม่ได้รู้จักกู้ชูหน่วนแค่วันเดียว
นางมีนิสัยอย่างไรเขาหรือไม่รู้?
“ถ้าเจ้าแค่หาวิชาหลอมยา ทำไมไม่เดินตามการบอกเล่า?”
“ไปตามทางที่บอกน่าเบื่อจะตาย บางทีที่นี่อาจมีวิชาหลอมยาที่ร้ายกาจกว่าล่ะ?”
กู้ชูหน่วนเปลี่ยนเรื่อง เอ่ยเสียงหนัก “เย่จิ่งหาน แดนต้องห้ามไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรมา เจ้ารีบไปจากที่นี่เถอะ ธุระของข้า เจ้าไม่ต้องยุ่ง”
“น่าขัน! ชายาของข้า ข้ายังจะยุ่งไม่ได้หรือ? ว่ามา เจ้าอยากหาอะไร ข้าจะไปช่วยเจ้าหา”
รู้ว่านิสัยนางดื้อรั้น เย่จิ่งหานรู้ว่าหากใช้กำลังพานางไป นางจะยอมหักไม่ยอมงอ จึงได้แต่ถอยก้าวหนึ่ง
“วันนี้เจ้าจะต้องดึงดันกับข้าให้ได้ใช่ไหม?”
กู้ชูหน่วนหน้าตาบูดบึ้ง ถ้อยคำดีชั่วกล่าวจนสิ้น เขายังยืนกรานไม่ยอมไป นางเองก็สุดปัญญา
แต่ค่ายกลนี้ นางต้องบุกเข้าไปให้ได้
กู้ชูหน่วนใช้ท่าลวง ทำเสียงทางตะวันออก โจมตีทางตะวันตก เบี่ยงเบนความสนใจของเย่จิ่งหาน ฉวยขณะที่เขาไม่ระวัง แตะปลายเท้า อาศัยโซ่เหล็กกระโดดขึ้นไป
“แกรก…”
“ตุบ…”
ข้อเท้ากู้ชูหน่วนไม่รู้ว่าถูกไอ้โฉดที่ไหนฉุดเอาไว้ ทุ่มตกลงมาทั้งร่าง เกือบทำให้นางล้มก้นจ้ำเบ้าแล้ว
“เย่จิ่งหาน เจ้าจะเอาอย่างไร?”
กู้ชูหน่วนใช้มือขวายันพื้น ลุกขึ้นนั่งพรึบ ตะคอกใส่ผู้ที่อยู่เบื้องหน้า
แต่เมื่อลืมตามองละเอียดชัดเจนแล้ว ผู้ที่นั่งยองอยู่ตรงหน้ามิใช่เย่จิ่งหาน แต่เป็นซือโม่เฟยที่ยิ้มได้สะอาดบริสุทธิ์
นางมองเย่จิ่งหาน แล้วมองซือโม่เฟย รวบกล่าวประโยคเดียว “พวกเจ้าสองคนรวมหัวกันรังแกข้า”
“พี่สาวพูดอะไรน่ะ อาโม่จะรวมหัวกับเขารังแกท่านได้อย่างไร? อาโม่แค่อยากเข้าค่ายกลสมบัตินี้กับท่านเท่านั้น”
มือเรียวยาวของซือโม่เฟยชี้ไปทางโซ่เหล็กขนาดใหญ่ทั้งก้าวเส้น ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มบริสุทธิ์สดใส นัยน์ตาพราวเสน่ห์ก็มองไปด้านบนด้วย
ไม่นาน รอยยิ้มบนใบหน้าจอมมารก็ปรากฏความสับสน จ้องภูเขารูปดาบเขม็ง ควบแน่นเป็นนิ้วๆ หนักหน่วง
“พี่สาว นี่ไม่ใช่ค่ายกลสมบัติอะไร แต่เป็นค่ายกลร้ายกาจ ถ้าข้าเดาไม่ผิด ในนั้นน่าจะมีค่ายกลย่อยในค่ายกลใหญ่ ใช้ค่ายกลสมบัติเป็นตัวล่อ ด้านในเป็นค่ายกลหฤโหด”
กู้ชูหน่วนกลอกตาขาว
กับค่ายกลนางก็มีความรู้อยู่บ้างเหมือนกัน
คำพูดของซือโม่เฟย นางไม่ใช่ไม่เคยสงสัย
แต่นางไม่มีทางเลือก ยากแค่ไหนก็ต้องฝ่าเข้าไป
“ถ้าเจ้ากลัว เจ้าก็รีบไปเถอะ ข้าไปถึงไหนก็อย่ามาตามทุกครั้งร่ำไป”
“อาโม่เป็นคนของพี่สาวแล้ว พี่สาวไปไหน อาโม่ก็ต้องตามไปด้วย” จอมมารหน้าแดง เขินอายให้เห็นชัดเล็กน้อย
คำพูดและสีหน้าของเขากระตุ้นต่อมโมโหเย่จิ่งหาน
เย่จิ่งหานฉุดมือซ้ายของกู้ชูหน่วน ดึงนางมาอยู่ข้างตัว เอ่ยเตือน “ซือโม่เฟย นางเป็นผู้หญิงของข้าแล้ว หากเจ้ายังกล้าพูดอีกคำ ข้าจะทำให้เขาสูบวิญญาณเจ้าให้ราบเป็นหน้ากลอง”
จอมมารแวบตัว ดึงมืออีกข้างของกู้ชูหน่วน กล่าวยั่วยุ “ก่อนที่เจ้าจะทำให้เขาสูบวิญญาณเผ่าปีศาจราบเป็นหน้ากลอง เชื่อไหมข้าจะทำจวนอ๋องหานของเจ้าให้ราบไปเสียก่อน”
ทั้งสองต่างคนต่างดึง กู้ชูหน่วนติดอยู่ตรงกลาง ถูกฉุดจนเจ็บแขน
นางสะบัดมือพวกเขาออกด้วยความโมโห พูดอย่างหงุดหงิด “พวกเจ้าสองคนอยากห้าม้าแยกร่างข้าหรือ? มิเช่นนั้นก็ไสหัวออกจากแดนต้องห้ามเสีย หรือไม่ก็ตายอยู่ตรงหน้าพวกเจ้า!”
“อาหน่วน…”
“พี่สาว…”
กู้ชูหน่วนกดปิ่นไว้ที่คอตัวเอง เตือนทีละคำ “ความอดทนข้ามีขีดจำกัดนะ ค่ายกลนี้ วันนี้ข้าต้องฝ่าไปให้ได้ ใครกล้าขวางข้า ข้าจะตายต่อหน้าคนนั้น อย่าคิดว่าข้าล้อเล่นนะ!”
เย่จิ่งหานกับจอมมารสบตากันทีหนึ่ง สายตาทั้งสองฝ่ายเผยความจงชังอีกฝ่าย
สองคนกล่าวพร้อมกัน “ถ้าเจ้าจะไปให้ได้ก็ได้ ข้าไปด้วย!”
กู้ชูหน่วนวางปิ่นในมือ อาศัยโซ่เหล็กกระโดดขึ้นไปอีกครั้ง ในปากก็พ่นออกมาประโยคหนึ่งอย่างเย็นชา “ให้พวกเจ้าไป พวกเจ้าไม่ไป ถ้าตายอยู่ที่นี่ก็อย่ามาโทษข้านะ”
“วางใจเถอะ ไม่โทษเจ้า”
ร่างเงาสองสายหนึ่งแดงหนึ่งม่วงแวบ หนึ่งซ้ายหนึ่งขวาคุ้มครองข้างตัวกู้ชูหน่วน ต้องการเปลี่ยนแปลงรอบด้านอย่างระแวดระวัง