อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่ 525 มีดแหลม
อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 525 มีดแหลม
“มีค่ายกลอัคคี มีดอัคคี เมฆอัคคี ค่ายกลพิษ แมลงพิษ ตะขาบพิษแล้วก็อย่างอื่นอีก ถ้าที่ควรพูด ทุกสิบกว่าเมตรจะมีค่ายกลหนึ่งค่ายกล ค่ายกลร้ายกาจเกินไป เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เกือบเอาชีวิตไปทิ้งตรงนั้นแล้ว”
กู้ชูหน่วนแปลคำพูดของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ให้พวกเขาฟังรอบหนึ่ง
สีหน้าเย่จิ่งหานเข้มขรึม
หากเป็นอย่างที่เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ว่า เช่นนั้นไม่รู้ว่ามีค่ายกลใหญ่น้อยเท่าใด
มีหนึ่งค่ายกลทุกสิบกว่าเมตร หนำซ้ำค่ายกลหนึ่งร้ายกว่าอีกค่ายกลหนึ่ง ไม่มีที่ให้ยืน พวกเขาไม่มีอัตราส่วนฝ่าขึ้นไปได้
จอมมารกลับสบายอารมณ์ “สรุปก็คือขึ้นไม่ได้สินะ อย่างมากพวกเราก็หาทางลงไป ที่นี่ไม่มีอะไรสนุกสักหน่อย พี่สาว ถ้าท่านอยากเล่นหวาดเสียว ข้าจะพาท่านไปที่อื่น”
กู้ชูหน่วนกลอกตาขาวใส่เขา
เห็นนางกินอิ่มไม่มีงานทำหรือ?
หาความหวาดเสียวอะไร?
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ เจ้าขึ้นไปเห็นกุญแจรูปดาวดอกหนึ่งหรือไม่?”
จอมมารเข้าใจพลัน “พี่สาวต้องการหากุญแจรูปดาวดอกที่สองจริงด้วย”
เย่จิ่งหานขมวดคิ้วมุ่น “กุญแจรูปดาว?”
“เจ้าไม่รู้ละสิ เป็นความลับระหว่างข้ากับพี่สาว”
“กุญแจรูปดาวมีทั้งหมดสามดอกละสิ?”
กู้ชูหน่วนตะลึงงัน “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ากุญแจรูปดาวมีสามดอก?”
“เคยอ่านในหนังสือโบราณเล่มหนึ่ง เห็นว่าสามารถเปิดกรุสมบัติได้ แต่จะเป็นสมบัติอะไรโลกนี้ไม่ได้บันทึกไว้”
“เช่นนั้นเจ้ารู้ว่ากุญแจรูปดาวดอกที่สองอยู่ที่ไหนของที่นี่ไหม?”
เย่จิ่งหานเลิกคิ้ว “ทำไมข้าต้องบอกเจ้า?”
“ช่างเถอะ เจ้าไม่พูดก็ช่าง เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เจ้าขึ้นไปดูอีกสักรอบสิ มีที่ให้ยืนไหม ข้ายังต้องขึ้นไปอีก”
“นายหญิง ยิ่งขึ้นไปหินผนังก็ยิ่งลื่น ไม่มีที่ยืนได้อะไรเลย อ้อ…ไม่ถูก หนามที่ยื่นออกมานับว่าเป็นที่ยืนหรือไม่ รับน้ำหนักได้คนเดียว แล้ววิชาตัวเองก็ต้องดีด้วย”
“ก็ต้องนับสิ พาข้าขึ้นไป”
“แล้วพวกเราล่ะ พวกเราจะทำอย่างไร?”
“พวกเจ้าจะไปไหนก็ไปสิ”
กู้ชูหน่วนว่าแล้วก็ให้เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์พานางขึ้นไปทันที
เย่จิ่งหานหิ้วเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ขึ้นกล่าวข่มขู่ “ถ้าวันนี้เจ้าพานางไปแค่คนเดียว เช่นนั้นต่อไปเจ้าก็อย่าหวังจะได้กินเนื้อของจวนอ๋องหานสักชิ้น”
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ไหวพริบดี
การข่มขู่นี่โหดร้ายมากเกินไปแล้วกระมัง?
มันไม่มีเนื้อกินไม่ได้นะ
จอมมารยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ถ้าเจ้าไม่พาข้าไป ก็อย่าหวังจะได้กินเนื้อของเผ่าปีศาจสักคำเหมือนกัน”
ทันใดนั้นเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ยอมศิโรราบ
ไม่ว่าจวนอ๋องหานหรือว่าเผ่าปีศาจ อาหารของพวกเขาก็ดีกว่าที่อื่นๆ มาก
ยอมศิโรราบออดอ้อน “นายหญิง ข้าพาพวกเขาสองคนไปด้วยได้ไหม?”
“ไม่ได้!”
“ไอ้หยา เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ถูกไฟไหม้เจ็บจะแย่ ไม่มีแรงสักนิด มิเช่นนั้นนายหญิงก็หาทางขึ้นไปเองเถอะ”
กู้ชูหน่วนแทบอยากเอางูที่ให้ความสำคัญต่ออาหารมากกว่ามิตรไปตุ๋นกินเสีย
นี่มันอะไรกัน?
“ถ้าเจ้ายังไม่รีบพาข้าขึ้นไปอีก เชื่อไหมว่าข้าจะโยนเจ้าลงไปเดี๋ยวนี้”
“ก็ได้ๆ ข้าจะพาท่านขึ้นไปเดี๋ยวนี้แหละ”
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์กลายร่างเป็นงูยักษ์ทันที นอกจากหอบกู้ชูหน่วนขึ้นไปแล้ว ยังหอบเย่จิ่งหานกับจอมมารขึ้นด้วย
ด้านบนอันตรายเกินไป ค่ายกลก็มีอยู่ทั่ว ประมาทสักนิดก็ต้องจบชีวิตที่นี่แล้ว
ครั้นเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ยกหาง ก็สะบัดพวกกู้ชูหน่วนขึ้นหนามต้นไม้เล็ก
วิชาตัวเบาทั้งสามล้ำลึก แม้หนามไม้จะเล็กอย่างไร ห่างไกลแค่ไหน แต่ก็ยืนตรงนั้นได้อย่างครบสามสิบสอง
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์หดตัวเล็กลง สุดท้ายก็พัดอยู่ตรงข้อมือของกู้ชูหน่วนอย่างเชื่อฟัง
กลัวว่าจะพบอันตรายอะไร
ก็ขณะที่พวกกู้ชูหน่วนยืนนิ่งแล้ว จู่ๆ ก็มีลมหมุนพัดมา จากนั้นก็เป็นมีดแหลมอันดุดันนับไม่ถ้วน