อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่ 54 ทวงเงินห้าแสนตำลึง
เย่เฟิงครุ่นคิด ครู่ใหญ่ก็ยังไม่ตอบ
ทุกคนอดที่จะสับสนไม่ได้
ราชวิทยาลัยเป็นสถานที่ที่คนเบียดเสียดอยากจะเข้าเท่าไหร่ก็เข้าไม่ได้ ฝ่าบาทแหกกฎให้เขาผู้เป็นชายจากครอบครัวยากจนคนหนึ่งเข้าไปร่ำเรียน เขายังจะลังเลอีกหรือ?
หรือเขาไม่รู้ว่าคนที่ออกมาจากราชวิทยาลัย ในอนาคตล้วนได้รับตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก?
ในขณะที่ทุกคนต่างคิดว่าเขาจะปฏิเสธนั้น เย่เฟิงกลับตอบอย่างเฉยชาหนึ่งคำ “ได้”
เอ่อ…
หนึ่งคำเรียบๆง่ายๆเช่นนี้?
แม้แต่ความตื่นเต้นยินดีสักเล็กน้อยก็ไม่มี?
ทุกคนอดทอดถอนใจไม่ได้ ชายหนุ่มจากครอบครัวยากไร้อย่างไรก็เป็นชายหนุ่มจากครอบครัวยากไร้อยู่ดี เกรงว่าราชวิทยาลัยหมายถึงสิ่งใดก็คงไม่รู้
กู้ชูหน่วนกระทุ้งแขนเขา ยิ้มแล้วบอก “ต่อไปพวกเราก็เป็นเพื่อนเรียนกันแล้ว ไหนเรียกศิษย์พี่หญิงสักคำสิ ต่อไปข้าจะคุ้มครองเจ้าเอง”
เย่เฟิงเหลือบมองนางอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง แล้วก้าวไปข้างหน้ารับเงินทองของมีค่าที่ฮ่องเต้เย่ประทานให้โดยไม่พูดอะไร
กู้ชูหน่วนลูบจมูก
นี่นาง…
ถูกเมินหรือ?
งานชุมนุมแข่งขันบุ๋นปิดฉากลง กู้ชูหน่วนกลายเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ในห้องเรียนแห่งหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งราชสำนัก
กู้ชูหน่วนกับเซียวหยู่เซวียนมองกระดิ่งทลายวิญญาณในกล่องไม้จันทน์แล้วมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
กระดิ่งทลายวิญญาณเป็นสีดำ ไม่ได้แตกต่างอะไรกับกระดิ่งธรรมดาทั่วๆไป
สิ่งเดียวที่ต่างก็คือเสียงไพเราะกว่า อีกทั้งรอบๆตัวกระดิ่งยังมียันต์อักขระนานาชนิดอยู่เต็มไปหมด
พวกเขาสองคนศึกษาอยู่ค่อนวันก็ยังไม่ได้อะไร
เซียวหยู่เซวียนเท้าคาง ขมวดคิ้วพูด “ในตำนานบอกว่ากระดิ่งทลายวิญญาณสามารถทำให้คนฟื้นจากความตายได้ ทั้งยังสามารถเพิ่มพูนความสามารถในการต่อสู้ ถึงขั้นว่าผู้ครองกระดิ่งทลายวิญญาณคือผู้ครองใต้หล้า แต่ข้าดูอย่างไร ดูซ้ายดูขวา มันก็แค่กระดิ่งธรรมดาอันหนึ่งที่ไม่อาจธรรมดาไปยิ่งกว่านี้เท่านั้น เจ้าว่า หม่ากงกงคงไม่ได้หยิบผิดอันหรอกนะ?”
กู้ชูหน่วนส่ายหน้า
เรื่องสำคัญเช่นนี้ หม่ากงกงจะกล้าทำชุ่ยๆได้อย่างไร?
“บางทียันต์อักขระเหล่านี้อาจเป็นความลับในการเปิดกระดิ่งทลายวิญญาณ”
“ยันต์อักขระเต็มไปหมด รูปร่างแปลกประหลาดพิลึก หมายถึงอะไรกันแน่?”
“เจ้าถามข้า แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร ฮ่องเต้น้อยนั่นประสานมือมอบกระดิ่งทลายวิญญาณออกมาอย่างใจกว้างเช่นนี้ ข้าดูแล้ว เขาคงไขความลับของยันต์อักขระนี้ไม่ได้เช่นกัน”
เซียวหยู่เซวียนพยักหน้าแรงๆ เห็นด้วยกับคำพูดของนาง
“แต่ว่า พวกเราจะเอากระดิ่งนี้ไปทำอะไร? เอาไปขายแลกเงินก็ไม่ได้?”
“เก็บไว้ก่อน ภายหลังค่อยว่ากันอีกที”
กู้ชูหน่วนทำเสียงกระทบดัง เก็บกระดิ่งทลายวิญญาณขึ้นมา มุมปากแย้มยิ้มยั่วยวนอย่างหนึ่งออกมา
“ไป หาเงินได้มากเช่นนี้ เจ้าว่า พวกเราควรออกไปสนุกกันหน่อยไหม”
เซียวหยู่เซวียนให้ความสนใจทันที ดวงตากลมโตใสสะอาดทอประกายเจิดจ้า
“หลิ่วเยว่ไปสนุกกับอวี่ฮุยแล้ว จองหอสุราจุ้ยเมิ่งเอาไว้ก่อนแล้ว พวกเราไปกันตอนนี้ ก็เริ่มกินพอดี ไปเถอะ”
“หอสุราจุ้ยเมิ่งมีอะไรน่าไปกัน พวกเราเปลี่ยนที่เถอะ” กู้ชูหน่วนกะพริบดวงตาเล็กๆอย่างคลุมเครือ
เซียวหยู่เซวียนไม่เข้าใจ “หอสุราจุ้ยเมิ่งไม่ใช่หอสุราที่ดีที่สุดของเมืองหลวงหรอกหรือ? หรือว่ามีที่ที่ดีกว่านี้?”
ดวงตาแบ่งดำขาวชัดเจนของกู้ชูหน่วนแฝงไปด้วยรอยยิ้มคลุมเครือ “มีเหล้ามีอาหาร ย่อมต้องมีคนงามอยู่เป็นเพื่อน”
“ตึง…”
เซียวหยู่เซวียนหกล้ม
เขาตะโกนดัง “เจ้าคงไม่ได้จะบอกว่า เจ้าอยากไปหอโคมเขียวหรอกนะ?”
“หอโคมเขียวที่ใดมีคนงามมีบ่าวรับใช้ พวกเราก็ไปอุดหนุนที่นั่น แน่นอนว่า เพศของข้าเป็นปกติ ระหว่างสาวงามกับหนุ่มรูปงาม ข้าย่อมเลือกหนุ่มรูปงามอย่างแน่นอน”
เซียวหยู่เซวียนพูดเตือน “ยัยขี้เหร่ เจ้าอย่าลืมว่าเจ้าเป็นพระชายาในอนาคตของเทพสงคราม หากถูกเทพสงครามล่วงรู้ว่าเจ้ายังไม่ทันแต่งงาน ก็สวมเขาให้เขาแล้ว เจ้าว่าเทพสงครามจะไว้ชีวิตเจ้าหรือไม่?”
กู้ชูหน่วนยิ้มอย่างถือดี ตรงหว่างคิ้วเป็นท่าทีโอหังสูงส่ง “เทพสงคราม? เขานับเป็นสิ่งใดกัน? ตัวข้าชอบผู้ใด ยังต้องผ่านเขาด้วยหรือ เหอะ ไป”
“เจ้านี่เป็นสตรีที่ได้ใหม่ลืมเก่า จีบอี้เฉินเฟยแล้ว ยังคิดไปหาบ่าวรับใช้ที่หอโคมเขียวอีก เจ้า…”
เซียวหยู่เซวียนยังพูดไม่จบ กู้ชูหน่วนก็ตบศีรษะไปที แล้วพูดอย่างหงุดหงิด “เจ้าไม่พูดข้าก็เกือบลืมเสียแล้ว อี้เฉินเฟยไม่ได้บอกว่าจะอยู่เป็นเพื่อนข้าเจ็ดวันหรอกหรือ? คนเล่า? ให้เขาไปหอโคมเขียวด้วย อยู่เป็นเพื่อนข้าดื่มสุราสักหลายจอก”
“เจ้ามันช่วยไม่ได้แล้ว”
อี้เฉินเฟยเป็นคนเช่นไร จะไปสำมะเลเทเมาที่หอโคมเขียวเป็นเพื่อนนางได้อย่างไร
ทันใดนั้น ข้างนอกก็มีเสียงเป็นธรรมชาติไพเราะละมุนละไมเสียงหนึ่งดังขึ้น “คุณหนูสามไม่ธรรมดาสามัญเช่นนี้ เพิณเฟยย่อมอยู่เป็นเพื่อนอย่างแน่นอน”
เซียวหยู่เซวียนผลักเปิดประตูห้อง ก็เห็นอี้เฉินเฟยยืนต้านลมอยู่ ชุดขาวโบกพลิ้ว สง่างามเหนือสามัญ ราวกับเทพเซียนใต้แสงจันทร์
บนใบหน้าเขาประดับรอยยิ้มบางเบา กอปรกับใบหน้าหล่อเหลาไม่เป็นสองของเขาแล้ว แม้แต่บุรุษก็อดที่จะมองหลายครั้งไม่ได้
“อี้เฉินเฟย? เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
“ข้าแพ้เดิมพัน ในเมื่อพูดแล้วว่าจะอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูเจ็ดวัน จะผิดคำพูดได้อย่างไร”
เซียวหยู่เซวียนกลอกตาขาว
“เจ้าดีเลวอย่างไรก็เป็นบุคคลมีชื่อเสียงของสำนักหรูเจียร่ำเรียนหลักคุณธรรม ไม่รู้ถึงความแตกต่างระหว่างชายหญิงหรือไร? ดึกดื่นเที่ยงคืนยังวิ่งมาหายัยขี้เหร่ เจ้าว่าคนนอกจะคิดเช่นไร?”
“คำพูดนี้ของคุณชายเซียวไม่ถูกต้อง เมื่อเป็นสหายกัน คำพูดต้องเชื่อถือได้ แม้เขาพูดว่าไม่เคยร่ำเรียน แต่ข้าจะพูดว่าเขาเรียนแล้วอย่างแน่นอน”
เซียวหยู่เซวียนแหงนหน้าไปมองกู้ชูหน่วน ส่งสายตาเป็นนัยว่าที่อี้เฉินเฟยพูดหมายถึงอะไร
กู้ชูหน่วนตีศีรษะเขา แย้มยิ้มแล้วพูดกับอี้เฉินเฟยอย่างเจ้าชู้ “น้องชายอี้ ไม่เลวเลย เจ้าสอดคล้องกับมาตรฐานความงามของข้ายิ่งนัก ทั้งยังสอดคล้องกับรสนิยมของข้าด้วย คืนนี้จะเอ็นดูเจ้าแล้ว”
พูดจบ กู้ชูหน่วนก็หยิบเงินจำนวนมากยัดใส่มืออี้เฉินเฟย ตั๋วเงินทุกใบมากถึงห้าร้อยตำลึง
“ไป ไปจวนเฉิงเซี่ยงเป็นเพื่อนข้าสักรอบหนึ่งก่อน ค่อยไปหานายโลมสักคนเฉลิมฉลองกันอย่างดี”
อี้เฉินเฟยมองเงินมากมายในมืออย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง
เห็นเขาเป็นนายโลมของหอโคมเขียวจริงหรือ
เห็นเซียวหยู่เซวียนตามบ่นจ้ำจี้จ้ำไชกู้ชูหน่วน
“ยัยขี้เหร่ เจ้าจะไปหานายโลมที่หอโคมเขียวจริงๆหรือ?”
“คนเราเมื่อภาคภูมิใจต้องมีความสุขให้เต็มที่ อย่าปล่อยให้จอกทองว่างเปล่าไร้สุรา วันเวลาผ่านไปเร็วนัก เพลิดเพลินใจให้ทันเวลา”
“……”
“…”
อี้เฉินเฟยมีท่าทีเหม่อลอย
ครู่หนึ่งถึงเดินตามกู้ชูหน่วนไป
บนหลังคาจวนเฉิงเซี่ยง กู้ชูหน่วนนั่งไขว่ขา ปากคาบหญ้าหางสุนัขก้านหนึ่ง สายตาเย็นชามองลงไปยังพวกเฉิงเซี่ยงด้วยความเดือดดาล
สองฝั่งซ้ายขวาของนาง แบ่งเป็นชายรูปงามสองคน เซียวหยู่เซวียนผู้หนึ่ง อี้เฉินเฟยผู้หนึ่ง
“ท่านพ่อ ลูกรู้ความผิดแล้ว ต่อไปลูกไม่กล้าเดิมพันกับคนมั่วซั่วแล้วเจ้าค่ะ แต่เงินห้าแสนตำลึงล้วนให้นางหมด นางก็สบายเกินไปแล้ว ลูกยินดีเอาเงินห้าแสนตำลึงนั่นมอบให้ท่านพ่อ ขอเพียงท่านพ่ออย่าได้ขุ่นเคือง และอย่าให้กู้ชูหน่วนเอามันไป”
“ใช่เจ้าค่ะนายท่าน นั่นเป็นเงินทั้งหมดห้าแสนตำลึงนะเจ้าคะ หาใช่ห้าร้อยตำลึง หากใช้ในจวนเฉิงเซี่ยง สามารถเพิ่มเกียรติให้จวนเฉิงเซี่ยงตั้งเท่าไหร่”
“พอได้แล้ว ก่อนหน้านี้ข้าถามพวกเจ้าว่าท่านจางเหลือเงินให้พวกเจ้าเท่าไร พวกเจ้าบอกข้าว่ามีเพียงสองแสนตำลึงเงิน แล้วตอนนี้ห้าแสนตำลึงเงินนี้มาจากที่ใด?” กู้เฉิงเซี่ยงคำรามด้วยความโกรธ
อนุภรรยาห้ากับกู้ชูหลันตัวสั่นเทา
เงินห้าแสนตำลึงนี้ เป็นอดีตที่น่ารังเกียจอันสุดท้ายของพวกนาง หากไม่ใช้ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้าย พวกนางไม่มีทางพูดออกมาเป็นอันขาด ยิ่งไม่มีทางนำออกมา ครั้งนี้ถูกกู้ชูหน่วนนางชั่วช้านั่นทำให้โกรธ ถึงได้ตกอยู่ในแผนการของนาง จนถึงกับเดิมพันหมดเกลี้ยง