อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่ 540 ช่างหน้าไม่อายจริงๆ
อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 540 ช่างหน้าไม่อายจริงๆ
เหล่าผู้อาวุโสต่างก็มองตากัน ต่างก็เห็นความเห็นชอบจากสายตาของอีกฝ่าย
การเดิมพันครั้งนี้ นางไม่ได้บอกว่านางจะต่อสู้กับยอดฝีมือที่ต่ำกว่าระดับใด ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ไม่เสียเปรียบอยู่แล้ว
“เพื่อไม่ให้เป็นที่กล่าวหาได้ว่าพวกเราเผ่าเทียนเฟิ่นที่มีคนมากกว่ารังแกคนน้อยกว่า การเดิมพันครั้งนี้พวกเราตกลง”
กู้ชูหน่วนมองดูสีหน้าของพวกเขา ริมฝีปากแดงมีรอยยิ้มเหยียดหยามผุดขึ้นมา
คิดว่านางเป็นคนโง่หรืออย่างไร
แค่นี้ก็คิดจะทำให้นางหลงกลหรือ
กู้ชูหน่วนพูดว่า “เผ่าเทียนเฟิ่นไม่เพียงแต่มีรากฐานที่มั่นคงมานับพันปี และเป็นตระกูลชั้นสูงเป็นที่รู้จักทั้งใต้หล้า ส่วนข้าเป็นแค่เด็กสาวที่เพิ่งจะออกมาท่องยุทธภพ พลังก็แค่ระดับสอง คิดว่าพวกเจ้าคงไม่รังแกเด็กสาวที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างข้ากระมัง”
พูดแล้ว นางก็ฉีกยิ้มเผยให้เห็นฟันขาวเรียกตัวสวยในปากของตนเอง พูดพลางหัวเราะอย่างซื่อบื้อว่า”ไม่ทราบว่าท่านอาท่านลุงทั้งหลาย ครั้งนี้จะส่งยอดฝีมือระดับใดออกมาสู้ และส่งออกมากี่คน ”
ดวงตาของนางสะอาดสดใส ไม่แฝงแววใดๆทั้งสิ้น ราวกับเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุดในโลกใบนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกละอายที่จะตอบโต้นางไปชั่วขณะ
เหล่าผู้อาวุโสไม่พูดจา รองหัวหน้าเผ่าซือคงพูดขึ้นว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เย่จิ่งหานก็จะไม่ช่วยใช่หรือไม่”
“ย่อมเป็นเช่นนั้นแน่นอน”
“ได้ เช่นนั้นข้าจะชี้คนที่จะประลองกับเจ้าสักสองสามคน”
ทุกคนต่างก็คิดว่า รองหัวหน้าเผ่าซือคงจะหาคนที่มีพลังสูสีกับกู้ชูหน่วน หรือไม่ก็แข็งแกร่งกว่านางเล็กน้อยในการประลอง
คิดไม่ถึงว่า คนแรกที่รองหัวหน้าเผ่าซือคงชี้คือชายหนุ่มอายุน้อยหน้าตาหล่อเหลาสองคน
“การประลองรอบแรก พวกเจ้าสองคนออกไปสู้”
ผู้อาวุโสของเผ่าเทียนเฟิ่นตกใจ
คนที่รองหัวหน้าเผ่าซือคงชี้คือหวังเฟิงกับหวังหยู่ ทั้งสองคนนี้เป็นลูกศิษย์ฝีมือดีของเขา อายุยังน้อย แต่พลังกลับสูงถึงระดับสี่ต้นๆ และเมื่อรวมวิชามีดและดาบของพวกเขาเข้าด้วยกัน ในเผ่าเทียนเฟิ่นแทบจะหาคู่ต่อสู้ไม่ได้เลย
แทบจะสามารถต่อสู้กับยอดฝีมือระดับสี่ปลายๆได้เลย
รองหัวหน้าเผ่าซือคงให้พวกเขาออกไปประลอง นี่ไม่เท่ากับเป็นการรังแกกู้ชูหน่วนหรอกหรือ
เย่จิ่งหานสีหน้าขรึมลง
ความไม่พอใจผุดขึ้นมาบนใบหน้า
คนของเผ่าเทียนเฟิ่นรู้สึกละอายอยู่บ้าง
หนึ่งในผู้อาวุโสเอ่ยขึ้นอย่างลังเลใจว่า”ท่านรองหัวหน้าเผ่า เปลี่ยนคนดีกว่า”
“เปลี่ยนเป็นใคร เจ้าหรือ”
“เรื่องนี้ ……”
จะเป็นไปได้อย่างไร
เขาเป็นถึงผู้อาวุโส ถ้าหากเขาเข้าร่วมการประลอง แม้จะชนะ ก็เป็นการชนะอย่างไร้ยางอาย
แต่กลับได้ยินกู้ชูหน่วนพูดขึ้นอย่างสบายใจว่า “ได้ เช่นนั้นก็ให้พวกเขาสองคนประลองกับข้า”
หวังเฟิงหวังหยู่ต่างก็พูดเยาะเย้ย”ไม่เจียมตัวซะเลย”
กู้ชูหน่วนราวกับไม่ได้ยินคำพูดเยาะเย้ยของพวกเขา ยังคงยิ้มอย่างซื่อๆและถามขึ้นว่า “แล้วรอบต่อไปเล่า ให้ใครออกมาสู้ เอาอย่างนี้ เจ้าเลือกให้เรียบร้อยทีเดียว จะได้ไม่ต้องเปลี่ยนตัวกะทันหัน หากเปลี่ยนเป็นสุดยอดผู้อาวุโส เช่นนั้นข้าคงจะเสียเปรียบน่าดู”
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงหัวเราะดังขึ้น
ก็แค่ยอดฝีมือระดับสอง จำเป็นต้องรบกวนสุดยอดผู้อาวุโสด้วยหรือ
สุดยอดผู้อาวุโสของเผ่าเทียนเฟิ่นไร้ค่าขนาดนั้นเชียว
“เจ้าชนะพวกเขาให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน”
“ไม่ได้ไม่ได้ เจ้าต้องเลือกคนให้เรียบร้อยก่อน ข้าก็แค่หญิงสาวอ่อนแอคนหนึ่ง โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง น่าสงสารที่สุด และยังอยู่ในเขตแดนของพวกเจ้า ถ้าหากข้าโชคดีชนะขึ้นมา พวกเจ้าก็เดาทางข้าได้ ไปตามสุดยอดผู้อาวุโสมาเล่า”
“ถุย เจ้าช่างหลงตัวเองซะไม่มี รอบที่สองให้……”
ผู้อาวุโสอารมณ์ร้ายคนหนึ่งเปิดปากด่ากราดอย่างโมโห กำลังจะชี้คนที่จะออกไปสู้รอบสอง
รองหัวหน้าซือคงกลับชิงพูดขึ้นก่อนว่า “รอบที่สองให้ซ่งอวี่ออกไปประลองซ่งอวี่
เฮือก……
เผ่าเทียนเฟิ่นเกิดเสียงสูดหายใจเข้าขึ้นมาอีกครั้ง
ซ่งอวี่……
นั่นมันยอดฝีมือระดับสี่ตอนปลาย หรือกำลังจะก้าวขึ้นสู่ระดับห้า และเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของหัวหน้าเผ่า……
หลายปีมานี้ เขาเอาแต่เก็บตัวฝึกฝน ปรากฏตัวขึ้นน้อยมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการประลองกับเด็กสาวที่มีพลังแค่ระดับสองเลย
มีคนพูดกันว่า นอกจากหัวหน้าเผ่าน้อยแล้ว ซ่งอวี่เป็นคนใกล้ชิดที่ท่านหัวหน้าเผ่าพยายามจะบ่มเพาะ และคิดอยากจะให้เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อาวุโส
“รองหัวหน้าเผ่า ทำอย่างนี้จะเป็นการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่หรือไม่”
“ผู้หญิงคนนี้เจ้าเล่ห์มาก นางอวดดีไม่ใช่หรือ คิดว่าความสามารถของนางก็คงไม่ได้มีแค่ระดับสองแน่ ถ้าหากพวกเราเลือกใครก็ได้ออกไปประลองกับนาง เช่นนั้นก็เท่ากับไม่ให้เกียรตินางเลย”
สายตาของกู้ชูหน่วนมีแววเย็นยะเยือกวาบผ่าน
รองหัวหน้าเผ่าคนนี้ ไม่ใช่คนดีอะไรเลยจริงๆ
ใช่ระดับสองหรือไม่ พวกเขามีคนตั้งมากมายดูไม่ออกกันหรือ
พูดโกหกกันหน้าด้านๆเชียว
สีหน้าของเย่จิ่งหานเคร่งขรึม กำลังจะเปิดปากพูด กู้ชูหน่วนเกรงว่าเขาจะเกิดการปะทะกับพวกเขา พลางกุมมือเขาเอาไว้ ส่งสัญญาณว่าไม่ต้องเป็นห่วง พลางชิงพูดขึ้นก่อนว่า “ซ่งอวี่ใช่หรือไม่ แม้จะไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ว่าชื่อก็เพราะดี น่าจะเป็นหนุ่มหล่อคนหนึ่ง ข้าชอบประลองยุทธกับหนุ่มหล่อมาก”
ทั้งหมดเงียบลงทันที
สายตาหลายรูปแบบมองมาที่นาง
มีดูถูก มีความยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น มีความสงสาร……
“ช่างเป็นเด็กที่ไร้ประสบการณ์จริงๆ ประเดี๋ยวเจ้าจะยิ้มไม่ออก”
เย่จิ่งหานเอ่ยเตือนว่า “ซ่งอวี่เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของหัวหน้าเผ่าเทียนเฟิ่น พลังอยู่ระหว่างระดับสี่ตอนปลายเข้าสู่ระดับห้าตอนต้น จากที่ข้าเคยเห็น เขาน่าจะบรรลุระดับสี่ตอนปลายไปแล้ว”
กู้ชูหน่วนเข้าใจขึ้นมาทันที “โห……ที่แท้ก็ระดับห้านี่เอง เผ่าเทียนเฟิ่นช่างให้ความสำคัญกับข้าเหลือเกิน ถึงกับส่งคนที่มีฝีมือระดับห้ามาประลองกับข้า ข้าช่างมีเกียรติเสียจริง”
ทุกคนอยากจะเห็นความหวาดกลัวจากสีหน้าของนาง แต่ไม่มีเลย
บนใบหน้าของนางมีเพียงรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาบริสุทธิ์เท่านั้น ไม่มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย
“แล้วรอบที่สามเล่า พวกเจ้าคิดว่าจะส่งใครมา รองหัวหน้าเผ่า หรือว่าหัวหน้าเผ่า หรือว่าจะเป็นสุดยอดผู้อาวุโส”
“ล้อเล่นหรืออย่างไร เจ้าไม่คู่ควร สู้พวกเขาให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน”
“สู้ไหวหรือไม่มันอีกเรื่องหนึ่ง แต่ว่ากติกาและจำนวนคนต้องบอกไว้อย่างชัดเจน หรือว่าพวกเจ้ากลัวว่าข้าจะเอาชนะพวกเขาสองคนได้ อยากจะเก็บคนที่ร้ายกาจที่สุดไว้สู้กับข้าที่หลัง”
“คนสุดท้ายให้ลูกศิษย์ของข้า ที่มีพลังระดับสามปานกลางประลองกับเจ้า”ผู้อาวุโสเฉินทนดูต่อไปไม่ไหว พูดออกมาทันที
แต่พอเขาพูดออกไปแล้ว รองหัวหน้าเผ่าซือคงก็โต้แย้งกลับไป “รอบที่สามให้ผู้อาวุโสเฉินสู้กับเจ้า”
รองหัวหน้าเผ่าซือคงพูดซ้ำอีกครั้ง “รอบที่สามให้ผู้อาวุโสเฉินร่วมประลอง”
ผู้อาวุโสเฉินรีบโต้แย้งทันที “รองหัวหน้าเผ่า นี่ท่านทำเกินไป……”
“นี่คือคำสั่ง “เขาพูดอย่างขึงขังจริงจัง แววตาที่เย็นเฉียบกวาดมองไปที่ทุกคน แฝงด้วยท่าทีน่าเกรงขามไม่สามารถละเมิดได้
บางทีอาจเป็นเพราะเขาชอบบังคับขืนใจมาเป็นเวลานาน และยังมีตำแหน่งรองลงมาจากหัวหน้าเผ่าเท่านั้น ทุกคนจึงไม่มีใครกล้าตอบโต้ไปชั่วขณะ
เย่จิ่งหานยิ้มเย็น “เผ่าเทียนเฟิ่น……หึ……ช่างหน้าไม่อายจริงๆ”
“เจ้าว่าอะไรนะ”
“หรือว่าไม่จริง”
เหล่าผู้อาวุโสต่างก็สะอึกไปตามๆกัน
ครั้งนี้พวกเขาตั้งใจจะรังแกอย่างแท้จริง
รองหัวหน้าเผ่าซือคงไม่เอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “พวกเจ้าบุกเข้ามาในเผ่าเทียนเฟิ่นของพวกเรา พวกเราจะจับตัวพวกเจ้า ก็เป็นเรื่องที่ทำให้ง่ายมาก ตอนนี้ได้ให้โอกาสกับพวกเจ้าสักครั้ง เป็นการให้โอกาสพวกเจ้ามากพอแล้ว”
กู้ชูหน่วนทำท่าบิดขี้เกียจ หาวออกมา เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “ในที่สุดก็กำหนดคนที่จะประลองทั้งสามรอบเรียบร้อยแล้ว เอาล่ะ เช่นนั้นก็เริ่มกันเถอะ”
ตาเฒ่าหนังเหนียว อยากจะเล่นงานพวกเขาให้ตาย ยังจะทำทีน่าเกรงขามพูดข้ออ้างตั้งมากมาย
แต่สิ่งที่เขาพูดก็ไม่ผิด พวกเขาอยากให้พวกนางตาย เป็นเรื่องที่ทำให้ง่ายมาก
ฉะนั้นนางจึงต้องรักษาโอกาสเอาไว้ ชนะสามรอบรวด พาเย่จิ่งหานออกไปจากที่นี่