อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่ 560 อาโม่จะไปเป็นเพื่อนข้าใช่หรือไม่
อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 560 อาโม่จะไปเป็นเพื่อนข้าใช่หรือไม่
ทุกคนมองไปทางจอมมารพร้อมกัน ในตาเต็มไปด้วยความแค้น
กู้ชูหน่วนสงบอารมณ์ไม่ได้อีกต่อไป เนื้อบนใบหน้าเต้นตุบๆทันที
เจ้าตัวทำลายล้างนี่
เขาเพิ่งจะนึกขึ้นได้หรือ?
“ไม่ใช่ ตอนนั้นท่านไม่ใช่ว่าตายไปแล้วหรือ? ข้ายืนยันชัดเจนแล้ว ท่านไม่สามารถมีชีวิตได้อย่างแน่นอน เป็นไปได้ยังไง……”
กู้ชูหน่วนกล่าวด้วยความโมโหมากมาย “เช่นนั้นเจ้าคิดว่า ตอนนี้ข้าเป็นผีหรือ?”
“ก็ไม่ใช่ว่าเป็นผีหรอก ก็แค่ท่านทั้งสองบุคลิกลักษณะต่างกันมากเกินไปแล้ว กิริยาพาทีก็ไม่เหมือน ยังมีสายตาอีก สายตาของนางเป็นความระทมทุกข์ ทั้งตัวเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายที่ทำให้คนโศกเศร้า แต่ท่านมีชีวิตชีวาเต็มไปด้วยพลัง ดวงตาเฉียบคม มีเพียงความกล้า ไม่มีความสิ้นหวังในตัวของท่าน ข้าหาเงาของนางไม่เจอเลยสักนิด”
จอมมารลูบผมสีดำที่ยุ่งเล็กน้อย ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “ยังมีวิทยายุทธของพวกท่านทั้งสองอีก ช่างแตกต่างกันเกินไปแล้ว”
กู้ชูหน่วนกลับหัวเราะอย่างโกรธเคือง “ดังนั้นล่ะ เจ้าจะฆ่าข้าอีกครั้งหรือไง?”
“นี่……หากว่าท่านเป็นนาง ข้าก็จะต้องฆ่าอีกครั้ง แต่……แต่ทำไมท่านถึงได้กลายมาเป็นพี่สาวของข้าแล้วล่ะ? งั้นตอนนี้ข้าควรจะฆ่าหรือไม่ฆ่าดี?”
คนปิดหน้าที่ยืนอยู่ข้างกู้ชูหน่วนเอ่ยขึ้น “เจ้าสำนัก คนผู้นี้จะแสร้งปลอมตัวเป็นจอมมารหรือไม่ขอรับ? ทำไมถึงรู้สึกว่าเหมือนเป็นคนโง่เช่นนั้น?”
ทุกคนกลอกตาพร้อมกัน
จะเป็นตัวปลอมได้อย่างไร?
วิทยายุทธนั่นของเขา พวกเขาที่อยู่ในนี้รวมกัน ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อกรของเขา คนธรรมดาจะมีฝีมือสูงส่งเช่นนี้ได้อย่างไร?
แต่บอกว่าเขาเป็นคนโง่ ก็กลับใช้ได้อย่างเหมาะสมมาก
“เจ้าลูกหมา ข้าขอถามเจ้า ทำไมเจ้าต้องฆ่าเจ้าสำนักอสุราด้วย?”
“เพราะคำร่ำลือในยุทธภพบอกว่า นางวิทยายุทธสูงกว่าข้า”
“แค่นี้เหรอ?” นี่นับว่าเป็นความแค้นที่มีมานานอะไรกัน?
“ข้าไปหานางเพื่อประลองหลายครั้ง ทุกครั้งหากนางไม่หลีกเลี่ยง ก็เล่นละครตบตา ยั่วยุให้ข้าโมโหมาก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีชิ่นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะเสียงหนึ่ง
“นายหญิงของข้ามีเรื่องด่วนที่ต้องทำ แต่ท่านก็เป็นเหมือนดั่งแผ่นแปะยาหนังหมาตามตื๊อจะประลองกับนางทุกวัน คิดว่าคนอื่นจะว่างเหมือนท่านหรือ? ยังจะมีหน้ามาโมโหอีก”
“เจ้าคนเลว เจ้านับว่าเป็นใครกัน ที่กล้ามาตำหนิข้า หากไม่ได้เห็นแก่ที่เจ้าเป็นลูกน้องของพี่สาว ข้าก็ฆ่าเจ้าไปนานแล้ว”
“ข้าพูดผิดงั้นหรือ? หากไม่ใช่เพราะท่านตามรังควานนายหญิงของข้าวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า นายหญิงของข้าก็ทำการใหญ่ของนางสำเร็จไปนานแล้ว หากใช่เพราะท่านทำร้ายจนนายหญิงของข้าบาดเจ็บสาหัส นายหญิงของข้าจะถึงขั้นต้องสูญเสียความทรงจำ และสูญเสียวิทยายุทธไปงั้นหรือ?”
“พอเถอะ ทะเลาะอะไรกัน หุบปากเถอะ ที่นี่ถึงจะปลอดภัย ช้าเร็วคนของเผ่าเทียนเฟิ่นก็สามารถหาพบได้ ความแค้นเคืองในอดีต ค่อยพูดหลังจากที่ออกไปละกัน” กู้ชูหน่วนกล่าวด้วยความรำคาญ
สีชิ่นและคนอื่นๆต่างรับคำสั่ง
จอมมารนับนิ้ว ยังคงกำลังคิดว่าจะฆ่าหรือไม่ฆ่า เขาลังเลจนขมวดคิ้วอยู่ตลอด
กู้ชูหน่วนเหลือบมองเย่จิ่งหานที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสแวบหนึ่ง ชำเลืองมองไปที่ผู้อาวุโสสวีและคนอื่นๆ “ฮองเฮาฉู่ยังอยู่ที่เผ่าเทียนเฟิ่น ตัวตนของพวกท่านเปิดโปงแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีก รบกวนผู้อาวุโสสวีพาเย่จิ่งหานออกไปจากที่นี่ด้วย ไป๋จิ่นสีชิ่น พวกเจ้าสองคนก็ออกไปด้วย”
“นายหญิง ท่านออกไปก่อน เรื่องของฮองเฮาฉู่ มอบให้ข้า”
“ไป๋จิ่นและสีชิ่นได้รับบาดเจ็บสาหัส หากยังสู้ต่อไป ก็จะเป็นอันตรายถึงชีวิตเท่านั้น ผู้อาวุโสสวีหลบซ่อนอยู่ในเผ่าเทียนเฟิ่นมาหลายปี คนของเผ่าเทียนเฟิ่นคุ้นเคยกับท่าน ท่านออกหน้า ไม่ค่อยเหมาะสมนัก แม้ว่าข้าจะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ล้วนเป็นบาดแผลเบาๆ คนโดยส่วนมากของเผ่าเทียนเฟิ่นล้วนไม่รู้จักหน้าตาของข้า ให้ข้าไปหาฮองเฮาฉู่ จะเหมาะสมที่สุด”
“นายหญิง ท่านพูดเล่นแล้ว ฐานะของท่านสูงส่ง ทั้งยังมีภาระอันหนักอึ้งต้องรับผิดชอบอีก แม้ว่าข้าน้อยจะตาย ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้ท่านอยู่ที่เผ่าเทียนเฟิ่นเพียงลำพัง”
“เป็นข้าคนเดียวที่ไหน ยังมีเขาอีกน่ะ”
กู้ชูหน่วนพูดพลาง ดึงจอมมารไว้พลาง กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “อาโม่จะไปเป็นเพื่อนข้า ถูกหรือไม่?”