อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่ 59 แค่อยากจะเป็นเพื่อนกับเจ้าเท่านั้น
“เป็นอี้เฉินเฟยจริงๆ ข้าเคยเห็นรูปเหมือนของเขามาก่อน ข้ามั่นใจว่าใช่เขา”
“เซียนกวีเป็นเทพบุตรสุดรักของข้า ไม่กล้าจินตนาการเลยจริงๆว่าจะได้เห็นเขาในหอโคมเขียว”
“สตรีข้างกายเขาคือใคร? ดูเหมือนภูมิหลังจะไม่ธรรมดา”
“พวกเจ้าว่า ถ้าคุณสามกู้ประลองกับเซียนกวี ใครจะเหนือกว่ากัน? บทกวีที่คุณหนูสามกู้ประพันธ์ในงามชุมนุมแข่งขันประพันธ์บทกวี เวลานี้รู้กันถ้วนทั่วทั้งบ้านทั้งเมือง เกิดเป็นคัมภีร์แล้ว”
“นี่ก็พูดได้ยาก บทกวีของเซียนกวีดียิ่ง บทกวีของคุณหนูสามก็ก็ดีเช่นกัน”
กู้ชูหน่วนเคาะมือที่เห็นข้อกระดูกชัดเจนลงบนโต๊ะเล็กน้อย เอียงศีรษะยิ้มพูด “ถูกคนจำได้เสียแล้ว เจ้ายังจะดีดไหม?”
“ยากที่คุณหนูสามจะมีอารมณ์สุนทรีย์เช่นนี้ ข้าจะหักล้างความสนใจของเจ้าได้อย่างไร?
พูดจบ อี้เฉินเฟยก็ลุกขึ้น ไปยืมพิณจากนักดีดพิณคนหนึ่ง แล้วอุ้มพิณสีดำด้วยตนเองเดินขึ้นไปนั่งบนแท่นสูงอย่างสง่างาม
สิบนิ้วขาวผ่องวางอยู่บนพิณสีดำ แหงนหน้าขึ้น อี้เฉินเฟยแย้มยิ้มเอาใจ ในดวงตาใสสะอาดคู่นั้นสะท้อนใบหน้ายิ้มแย้มเกียจคร้านร้ายกาจของกู้ชูหน่วน
ทุกคนในหอโคมเขียวอู๋โยวล้วนให้ความสนใจ พากันมองดูอี้เฉินเฟยที่อยู่บนแท่นสูง
เห็นมือขาวของอี้เฉินเฟยยกขึ้นเบาๆ เสียงดังติ๊ง ปล่อยการทดลองเสียงดังไพเราะออกมา
เพียงการทดลองเสียงเพียงเสียงเดียวก็ทำให้ทุกคนเปิดหูเปิดตา
ไม่รอให้ทุกคนได้ตอบสนอง ท่วงทำนองอันงดงามก็รินไหลตามสายพิณเอื่อยเฉื่อย บางครั้งเสียงก็สูงดังฮึกเหิม เหมือนกองทัพหมื่นแสนควบม้าแกว่งไกวดาบสู้รบอย่างดุเดือด ส่งเสียงกู่ร้องดัง จนเลือดร้อนเดือดพล่าน
บางคราวก็เสียงทุ้มต่ำนิ่มนวล เหมือนคู่รักที่พลัดพรากนานได้พบกันอีกครั้งบอกเล่าความคิดถึงกันไม่จบสิ้น
บางเวลาก็แผ่วเบาสว่างไสว เหมือนสายลมพัดผ่านป่าไผ่เขียวชอุ่มอย่างช้าๆ ทำให้คนรู้สึกได้ชะล้างเหมือนฤดูใบไม้ผลิเดือนสาม
เสียงพิณของเขางดงามเหลือเกิน ทุกคนล้วนจมอยู่ในเสียงพิณ เปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกไม่หยุดหย่อนไปตามเสียงพิณของเขา
กู้ชูหน่วนดื่มสุราอย่างเกียจคร้านพลางมองไปทางอี้เฉินเฟย
เขาอยู่ในชุดสีขาว สง่างามเลิศล้ำ มือข่าวผ่องทั้งสองดีดสายพิณแผ่วเบา ประหนึ่งว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ไม่รู้ทำไม กู้ชูหน่วนได้ยินถึงความเศร้าโศก ความจนปัญญา รวมไปถึงความกังวลอันเบาบางจากเสียงพิณของเขา
เขา…
กำลังเป็นห่วงใครอยู่หรือ?
ทำไมฟังเสียงพิณของเขาแล้ว หัวใจของนางถึงหนักอึ้งเช่นนั้น?
อี้เฉินเฟย…
เขาเป็นคนอย่างไรกันแน่?
“ก็ไม่เท่าไหร่ หอโคมเขียวอู๋โยวยังมีนักดีดพิณคนหนึ่ง ดีดพิณได้ดีกว่าเขามาก” เซียวหยู่เซวียนริษยา อี้เฉินเฟยหน้าตาดีก็ช่างมันเถิด เหตุใดดีดพิณยังดีดได้ดีถึงเพียงนั้นอีก?
“เอ่อ…หอโคมเขียวอู๋โยวเล็กๆแห่งหนึ่ง ยังมีคนดีดพิณได้ดีกว่าเขาอีกหรือ?”
กู้ชูหน่วนไม่เชื่อ
เสียงพิณของอี้เฉินเฟย เรียกได้ว่าจนถึงตอนนี้ เป็นทำนองพิณที่ดีที่สุดที่นางเคยฟังมาแล้ว
“ทำไม เจ้าไม่เชื่อหรือ? ทั้งเมืองหลวงมีใครไม่รู้บ้างว่าไม่กี่เดือนก่อนหอโคมเขียวอู๋โยวมีนักดีดพิณคนใหม่คนหนึ่ง ทุกเพลงพิณที่ดีดล้วนทำให้ผู้คนตื่นตาตื่นใจ แต่น่าเสียดายนัก ที่ทุกๆคืนเขาจะดีดเพียงหนึ่งเพลงเท่านั้น”
พูดแล้ว เซียวหยู่เซวียนก็กวาดตามองไปทางนักดีดพิณผู้นั้น กลับเห็นเงาหลังเหยียดตรงที่คุ้นเคยผู้หนึ่ง
“เย่เฟิง เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
กู้ชูหน่วนมองตามสายตาของเขาไป จริงด้วย…
เย่เฟิงสวมชุดของนักดีดพิณ เหมือนกำลังจะจากไป
กู้ชูหน่วนรีบตะโกนบอก “เป่ามา ข้าต้องการให้ชายผู้นั้นมาดื่มสุราเป็นเพื่อนข้า”
“ แม่ทูลหัว ขออภัยอย่างยิ่ง เขา…เขาไม่ดื่มสุราเป็นเพื่อนเจ้าค่ะ”
“ปึก…”
กู้ชูหน่วนโยนเงินทั้งหมดแสนตำลึงออกไป “คืนนี้ข้าต้องการให้เขาดื่มสุราเป็นเพื่อนข้า”
เป่ามารีบเก็บเงินหนึ่งแสนตำลึงเข้ากระเป๋า ดวงตาทั้งสองยิ้มจนเป็นเส้นเล็กๆเส้นเดียว “ แม่ทูลหัววางใจได้เลย คืนนี้ข้าจะต้องให้เขามาอยู่เป็นเพื่อนท่านอย่างแน่นอน”
พูดไม่ทันจบ เป่ามาก็รีบสาวเท้าวิ่งไปหน้าเย่เฟิง ขวางกั้นทางเดินของเขา
กู้ชูหน่วนยืดหู พยายามฟังบทสนทนาของพวกเขา
เพราะห่างกันไกลเกินไป นางจึงได้ยินไม่ชัดเจน ได้ยินเพียงรางๆว่าเป่ามาพยายามใช้ทุกวิถีทาง จนแทบจะขอร้องอ้อนวอนเขา
“คุณชายเย่ ท่านจิตใจดีงาม ช่วยข้าหน่อยเถิด เพียงดื่มไม่กี่จอกเท่านั้น ไม่ได้ให้เจ้าทำเรื่องเกินเลย เจ้าดูเถิดแม้เล้าเองก็ยากลำบาก ค่าใช้จ่ายในหอมากมายนัก สิ่งใดๆล้วนต้องจ่ายเงิน ยังมีเหล่าแม่นางกับน้องชายที่ติดโรคอีกไม่น้อย ไม่มีหนทางรับแขกได้แล้ว ไม่ง่ายเลยที่แม้เล้าจะได้พบเจอลูกค้าใหญ่สักคน”
“ขออภัย ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกไปแล้ว ไม่ดื่มสุราเป็นเพื่อน ไม่อยู่กับแขก ตอนนี้ได้เวลาแล้ว ข้าต้องกลับไปแล้ว”
“คุณชายเย่ ถ้าเจ้าไปแล้วข้าจะชี้แจงอย่างไร ถือว่าเป่ามาข้อร้องเจ้าได้หรือไม่? เจ้าดูเถิด ตอนแรกยายของเจ้าป่วยหนัก เจ้าไร้ทางไป ก็เป็นข้าแม้เล้าผู้นี้ที่ใจดีเชิญท่านหมอมารักษายายของเจ้าใช่หรือไม่ เจ้าถือว่าเห็นแก่ที่ข้าเคยช่วยเจ้าไปครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ช่วยข้าได้หรือไม่”
กู้ชูหน่วนถามนายโลมน้อยผู้หนึ่งที่อยู่ด้านข้าง
“พวกเจ้าสนิทกับเย่เฟิงไหม?”
“เรียนตอบ แม่ทูลหัว เย่เฟิงเงียบขรึมพูดน้อย ปกติแล้วไม่ค่อยพูด และไม่สนิทกับใคร พวกพี่ชายน้องสาวในหอล้วนไม่สนิทกับเขา รู้เพียงว่าบ้านเขายากจนข้นแค้น อยู่ประคับประคองกันกับยายตาบอดผู้หนึ่ง”
และเพื่อหาเงินน้อยนิด จึงอยู่ดีดพิณในหอ หนึ่งวันดีดหนึ่งบทเพลง ไม่ดื่มสุราเป็นเพื่อน และไม่อยู่กับแขก ทุกวันไม่ว่าจะดีดพิณหรือไม่ ล้วนกลับก่อนยามไฮ่ บอกว่า
“แล้วเจ้ารู้เรื่องราวชีวิตของเย่เฟิงหรือไม่?”
ชายงามตัวน้อยส่ายหน้า
เย่เฟิงไม่เคยพูด พวกเขาเองก็ไม่รู้
“เอาละ เจ้าออกไปเถอะ”
กู้ชูหน่วนมอบเงินให้เขาพันตำลึง แล้วลูบคางไม่หยุด ครุ่นคิดถึงเบื้องหลังชีวิตของเย่เฟิง
เซียวหยู่เซวียนสับสน “ยัยขี้เหร่ หลังจากจบงานชุมนุมแข่งขันบทประพันธ์ ฝ่าบาทไม่ใช่ว่าประทานเงินทองของมีค่าให้เขาไม่น้อยหรือ เจ้าดูชุดที่เขาสวมใส่ เหตุใดถึงยังเรียบง่ายเช่นนั้น?”
“เจ้าถามข้า แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร”
กู้ชูหน่วนไม่รู้ว่าแม่เล้าเกลี้ยกล่อมเย่เฟิงอย่างไร เย่เฟิงถึงมาอยู่ข้างหน้านางด้วยสีหน้าเย็นชาได้
เป่ามาพูดชมอย่างเต็มที่อยู่ด้านข้าง
“เย่เฟิงของพวกเขาถึงจะพูดไม่เก่ง แต่เขาเป็นคนที่หล่อเหลาที่สุดในหอโคมเขียวอู๋โยวของเรา อีกอย่างเขาร่ำเรียนบทกวี ปัญญาเป็นเลิศ คุณชายทั่วไปเทียบเคียงไม่ได้อย่างแน่นอน”
กู้ชูหน่วนพยักหน้า
ข้อนี้นางไม่ปฏิเสธ
เดิมทีนางคิดว่าชายงามในหอหน้าตาไม่เลวแล้ว แต่พอเย่เฟิงออกมา ก็สลัดพวกเขาไปห่างไกลเป็นโยชน์ทันที
ส่วนเรื่องความสามารถ…
ลำดับที่สองงานชุมนุมแข่งขันบทประพันธ์ ใช่ชื่อเสียงจอมปลอมเสียที่ไหน
เป่ามาผู้นี้ คงไม่รู้ว่าเย่เฟิงคือผู้ที่ได้ลำดับที่สองในงานชุมนุมแข่งขันบทประพันธ์
“เย่เฟิงของพวกเราปกติแล้วไม่ดื่มสุราเป็นเพื่อน แต่ แม่ทูลหัวทั้งใจดีใจกว้าง เย่เฟิงของเราถึง…”
“เอาละๆ อะไรของเราๆอยู่ได้ พูดเสียอย่างกับเป็นลูกชายของเจ้า เจ้าถอยไปเถิด”
“เจ้าค่ะ…” เป่ามาออกไปด้วยสีหน้าเหยเก
กู้ชูหน่วนชี้ที่นั่งข้างๆ หัวเราะคิกคักแล้วพูด “เสี่ยวเฟิงเฟิง แยกกันยังไม่ถึงวัน พวกเราก็พบกันอีกแล้ว รีบมานั่งเร็ว”
“คุณหนูสาม ท่านจะสั่งงานอะไรก็พูดมาตามตรงเถอะ”
“ข้าจะกล้าสั่งงานอะไรเจ้าได้อย่างไร เพียงแค่อยากเป็นเพื่อนกับเจ้าเท่านั้น”
“ขออภัย ข้าไม่เคยคบหาสหาย”
“อย่างนั้นเจ้าดื่มกับข้าสองสามจอก”
“ข้าไม่ดื่มสุรา”
“เมื่อครู่เป่ามารับเงินข้าไปแสนตำลึง หรือว่าเงินแสนตำลึงยังเชิญเจ้าดื่มสุราสักจอกไม่ได้”
เย่เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เจ้าไม่ดื่ม ข้าก็จะให้เป่ามาเอาเงินหนึ่งแสนตำลึงมาคืนข้า”
ริมฝีปากบางของเย่เฟิงขยับเล็กน้อย พูดอย่างขมขื่น “ข้าก็แค่คนยากจนคนหนึ่ง เหตุใดคุณหนูสามถึงต้องแกล้งข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า”