อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่ 839 ระเบิดแล้ว
อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 839 ระเบิดแล้ว
“สองสามปีก่อนหัวหน้าเผ่าได้รับบาดเจ็บสาหัส เสียเลือดมากเกินไป จำเป็นต้องใช้เลือดของญาติสายตรงเพื่อรักษา ในขณะนั้นทุกคนล้วนเสนอถึงหัวหน้าเผ่าน้อย แม้แต่หัวหน้าเผ่าน้อยก็รับอาสาเอง ต้องการใช้เลือดของตัวเองช่วยรักษาให้หัวหน้าเผ่า แต่หัวหน้าเผ่าปฏิเสธแล้ว”
“เขายอมตาย ก็ไม่ยอมใช้เลือดของหัวหน้าเผ่าน้อย นี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าหัวหน้าเผ่าน้อยไม่ใช่ลูกชายของหัวหน้าเผ่า หัวหน้าเผ่ารู้กระจ่างอยู่แก่ใจตัวเองว่าเลือดของเขาใช้ไม่ได้ ดังนั้นจึงได้ยืนกรานที่จะปฏิเสธ”
“ยังมีอีก มีครั้งหนึ่งที่หัวหน้าเผ่าฝึกวิทยายุทธจนแทบจะเสียสติ เขาชี้ไปที่หัวหน้าเผ่าน้อยแล้วตะโกนเสียงดังอยู่ตลอดว่า เจ้าไม่ใช่ลูกชายของข้า เจ้าไม่ใช่ลูกชายแท้ๆของข้า”
ทุกประโยคที่สุดยอดผู้อาวุโสของตงหลิงพูด สีหน้าของสุดยอดผู้อาวุโสซ่งหยวนและคนอื่นๆก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
พวกเขาอยากโต้แย้ง แต่บังเอิญสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง ไม่สามารถโต้แย้งได้โดยสิ้นเชิง
“ยังมีอีก วิทยายุทธของหัวหน้าเผ่าสูงส่งค้ำฟ้า บรรลุถึงระดับเจ็ด และหัวหน้าเผ่าน้อยก็เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของหัวหน้าเผ่า ทำไมหัวหน้าเผ่าจึงไม่เคยสอนวิทยายุทธให้หัวหน้าเผ่าน้อยเลยล่ะ? กระทั่งยังปฏิเสธการฝึกฝนวิทยายุทธของเขาอีกด้วย?”
ตื้ด…….
บรรดาผู้คนแตกตื่นแล้ว
เสียงการวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นดั่งกระแสน้ำ
“สุดยอดผู้อาวุโสตงหลิงพูดมีเหตุผล เรื่องเดียวอาจจะเป็นความบังเอิญ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะบังเอิญไปทุกเรื่องหรอกนะ”
“ก็ใช่น่ะสิ อนาคตหัวหน้าเผ่าน้อยจะต้องเป็นผู้นำปกครองเผ่าเทียนเฟิ่น ไม่มีวิทยายุทธขั้นสุดยอดจะได้ยังไง หัวหน้าเผ่ามีความตั้งใจจะสืบทอดตำแหน่งให้เขา แล้วจะไม่สอนวิทยายุทธให้เขาได้อย่างไร กระทั่งยังพูดอีกว่า หากหัวหน้าเผ่าน้อยมีใจเป็นอื่น ก็สามารถปลดเขาได้โดยตรง”
“ใช่แล้วล่ะ ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะสุดยอดผู้อาวุโสอั้นเฮยและคนอื่นๆยืนกรานว่าต้องการจะสอนศิลปะวิทยายุทธให้หัวหน้าเผ่าน้อยด้วยตัวเอง เกรงว่าตอนนี้หัวหน้าเผ่าน้อยก็คงเป็นเพียงแค่คนธรรมดา จะกลายเป็นคนระดับหกที่มีความสามารถสูงส่งได้อย่างไร”
“ตามที่พวกเจ้าพูด ก็เป็นไปได้ว่าหัวหน้าเผ่าน้อยจะไม่ใช่ลูกชายแท้ๆของหัวหน้าเผ่าจริงๆเช่นนั้นหรือ?”
“ข้าว่าไม่ใช่ก็ใกล้เคียง”
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์นั้นหลุดจากการควบคุม ซ่งอวี่ยิ้มอย่างอบอุ่น กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “หัวหน้าเผ่าน้อยจะเป็นลูกชายแท้ๆของหัวหน้าเผ่าหรือไม่ ก็รอให้หัวหน้าเผ่าออกจากฌานก่อนแล้วค่อยถามทีหลังก็ได้ ทุกคนไม่ต้องกังวล ไม่จำเป็นต้องถกเถียงกัน หากว่าหัวหน้าเผ่าน้อยเป็นลูกชายของหัวหน้าเผ่าจริง จะไม่ทำให้หัวหน้าเผ่าน้อยปวดใจหรือ”
“หึ หัวหน้าเผ่าเข้าฌานเป็นเวลานานแล้วไม่ยอมออกมาสักที ขนาดเผ่าเทียนเฟิ่นเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้เขาก็ยังไม่ออกจากฌานอีก ข้านึกสงสัยแล้วสิว่าหัวหน้าเผ่าน้อยได้ทำอะไรกับหัวหน้าเผ่าหรือไม่” ตงหลิงกล่าว
ซ่งหยวนถลกแขนเสื้อขึ้น แทบอยากจะจัดการเขาอย่างหนักสักยกหนึ่ง
“ตาเฒ่าตงหลิง วันนี้เจ้าจงใจสร้างปัญหาให้หัวหน้าเผ่าน้อยใช่หรือไม่? หัวหน้าเผ่าน้อยนิสัยซื่อตรงมีเมตตา มีความเคารพต่อหัวหน้าเผ่าเป็นอย่างยิ่ง เขาจะทำอะไรหัวหน้าเผ่าได้”
“แดนต้องห้ามที่หัวหน้าเผ่าเข้าฌานมีเพียงหัวหน้าเผ่าน้อยที่เข้าออกได้ เจ้าบอกว่าหัวหน้าเผ่าน้อยไม่ได้ทำอะไรหัวหน้าเผ่า งั้นเจ้าบอกข้าหน่อย ว่าทำไมหัวหน้าเผ่าถึงไม่ออกจากฌาน”
“ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าทำไมหัวหน้าเผ่าไม่ออกจากฌาน? ข้าไม่ใช่พยาธิไส้เดือนในท้องของเขาสักหน่อย ข้าเชื่อเพียงแค่เจ้าหนูเส้าหยี เขาจะไม่ทำเรื่องที่โหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรม ผิดต่อคุณธรรมเป็นแน่”
“เรื่องสุดยอดผู้อาวุโสอั้นเฮยและคนอื่นๆกว่าสองพันคนที่เสียชีวิตอย่างน่าอนาถในเผ่าหยก หัวหน้าเผ่าน้อยก็ยังไม่ได้อธิบายสักอย่าง”
หัวข้อสนทนาพูดวนไปมา ก็วนมาตรงนั้นอีก
ไม่ต้องพูดถึงสุดยอดผู้อาวุโสซ่งหยวน แม้แต่ผู้อาวุโสเฉินก็โมโหแล้ว
“ข้าวสามารถกินมั่วซั่วได้ แต่คำพูดจะพูดมั่วซั่วไม่ได้” ผู้อาวุโสเฉินกล่าวเตือน เขาไม่สนว่าเขาจะเป็นสุดยอดผู้อาวุโส มีความอาวุโสมากว่าเขารุ่นหนึ่งหรือไม่หรอกนะ
รองหัวหน้าเผ่าซือคงหัวเราะอย่างเย็นชาเสียงหนึ่ง
“ไม่มีหลักฐาน พวกเราก็ไม่พูดเป็นธรรมดา นอกจากเวินเส้าหยีแล้ว ยังมีลูกศิษย์อีกคนที่โชคดีหนีรอดกลับมาได้”