อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่ 849 เขาเปลี่ยนไปแล้ว
อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 849 เขาเปลี่ยนไปแล้ว
เสี่ยวลู่พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ตามที่กล่าวกันว่าค่ายกลใหญ่ที่เวินเส้าหยีได้จัดวางขึ้นนั้น โดยส่วนใหญ่ได้ถูกน่าหลันหลิงลั่วทำลายหมดแล้ว รวมทั้งกองกำลังหลักของเวินเส้าหยี โดยพื้นฐานแล้วก็ตายอย่างน่าอนาถด้วยน้ำมือของหุบเขาตันหุยเช่นกัน”
“นายหญิง ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้พวกเราจะประเมินหุบเขาตันหุยต่ำไป และประเมินน่าหลันหลิงลั่วต่ำเกินไปเจ้าค่ะ”
กู้ชูหน่วนขมวดคิ้ว
ตลอดทางที่เดินมา ท่าทางการกระทำของลูกศิษย์หุบเขาตันหุย ไม่เหมือนการปฏิบัติตัวของสำนักสำนักหนึ่ง แต่กลับเหมือนทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี เป็นทหารเก่าแก่ที่ชำนาญการศึกในสนามรบ
น่าหลันหลิงลั่วยังมีตัวตนอะไรอีกกันแน่?
“ฉึบ……”
ระหว่างที่ไตร่ตรอง ก็มีลูกศิษย์อีกไม่กี่คนถูกสังหารไปอีก
ในช่วงเวลาสั้นๆมีลูกศิษย์เสียชีวิตไปแล้วห้าถึงหกคน
น่าหลันหลิงลั่วนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ลูกน้องเอามาให้ กล่าวด้วยความเกียจคร้านว่า “ลูกศิษย์มากมายขนาดนี้ น่าจะอยู่ได้จนถึงรุ่งเช้า เจ้ายังมีเวลาให้ค่อยๆคิดอีกหนึ่งคืน ไม่รีบร้อน”
“น่าหลันหลิงลั่ว ข้าจะสู้ตายกับเจ้า”
“ผู้คุมหยู เจ้าฝ่าออกไปตอนนี้ก็มีแต่จะทำร้ายหัวหน้าเผ่าน้อยเท่านั้น ไม่มีประโยชน์โดยสิ้นเชิง”
“แต่ลูกศิษย์ของพวกเราตายอย่างน่าสังเวชไปมากมายเช่นนี้ ข้าช่าง……”
“เขาแค่ต้องการจะบังคับให้พวกเราออกไป แค่ต้องการบีบคั้นหัวหน้าเผ่าน้อยให้ออกไป หากว่าพวกเราออกไป ก็เข้าแผนการของพวกเขาพอดี”
“เช่นนั้นควรจะทำเช่นไร หรือจะให้มองดูพวกเขาตายไปเช่นนี้โดยไม่ทำอะไรเลยงั้นหรือ?”
ในตำหนักเทียนตู
เวินเส้าหยีหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด เวลาสิบวันสั้นๆ เขาเห็นการเกิดการตายและการจากลามากมายมากมายเกินไปแล้ว
สงครามครั้งนี้ ถูกกำหนดให้เป็นความพ่ายแพ้
ฝืนยืดเยื้อต่อไป นอกจากจะมีคนตายมากยิ่งขึ้น ก็ไม่มีทางอื่นโดยสิ้นเชิง
“ปู่ซ่ง ซ่งอวี่ พ่อของข้าขอฝากให้พวกท่านดูแลแล้ว”
“หัวหน้าเผ่าน้อย ท่านจะทำอะไร? ในตำหนักเทียนตูมีหัวหน้าเผ่าเป็นผู้วางค่ายกลด้วยตัวเอง นอกจากยอดฝีมือขั้นสูงสุดระดับเจ็ดแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางจะบุกเข้ามาได้ พวกเราไม่ต้องกลัวขอรับ”
“ใช่ พวกเขาบุกเข้ามาไม่ได้ แต่ด้านนอกยังมีเหล่าพี่น้องอีกมากมาย ด้านใน…..เสบียงอาหารและน้ำก็ใกล้จะหมดแล้ว”
ฝ่าวงล้อมออกไปไม่ได้
ติดอยู่ด้านใน ช้าเร็วก็ต้องตายเช่นกัน
“หัวหน้าเผ่าน้อย……”
บรรดาผู้คนต่างพากันคุกเข่าอ้อนวอนรั้งไว้
สุดยอดผู้อาวุโสซ่งหยวนตีหัวของตัวเองอย่างรุนแรง
“ข้าไม่ได้เรื่องจริงๆ เวลาที่คับขันเช่นนี้วิทยายุทธก็ไม่มีแล้ว ข้าไม่เพียงช่วยอะไรไม่ได้แม้แต่น้อย ตลอดมากลับยังทำให้ลำบากขึ้นอีกด้วย”
“เพราะน่าหลันหลิงลั่ว เขาเก่งกาจในการใช้ยาพิษเกินไป” เวินเส้าหยีเอ่ยขึ้นอย่างฉับพลัน
ทุกคนล้วนตะลึงทันที
อุบายของน่าหลันหลิงลั่ว?
แต่สุดยอดผู้อาวุโสซ่งหยวนไม่เคยได้สัมผัสกับเขาซึ่งๆหน้ามาก่อน จะหลงอุบายของเขาได้อย่างไรล่ะ?
เวินเส้าหยีส่ายหน้า
รายละเอียดเขาก็ไม่กระจ่าง
แต่เขาแน่ใจได้เพราะ บนร่างกายของสุดยอดผู้อาวุโสซ่งหยวนมีกลิ่นของเขาอยู่
ในนี้จะต้องมีอะไรเชื่อมโยงกัน
บนโลกนี้เขารู้เพียงแค่กู้ชูหน่วนมีวิชาการรักษาและใช้ยาพิษได้โดยไร้ที่เปรียบ
พิษที่น่าหลันหลิงลั่ววาง มีความแตกต่างกับนางแต่มีผลเช่นเดียวกัน
เขาไม่รู้ว่าเป็นกู้ชูหน่วนสอนเขาหรือไม่…..
นอกประตู ลูกศิษย์ที่ถูกจับเป็นเชลยแต่ละคนล้วนตะโกนเสียงดังว่า “หัวหน้าเผ่าน้อย ท่านอย่าได้ออกมาเด็ดขาด พวกเราตายก็ไม่เสียดาย เพียงแค่ให้ท่านปลอดภัยเท่านั้น”
เวินเส้าหยีตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าผู้ใดจะรั้งไว้ก็ไร้ประประโยชน์ เขาเปิดประตูตำหนักเทียนตูด้วยท่าทางสง่างาม
ทุกที่ที่ตาสามารถมองเห็นได้ บนพื้นมีศพอยู่หลายศพ ในนั้นโดยมากเป็นคนของเขา
ทุกคนที่เขารู้จักและไม่รู้จักส่วนมากล้วนล้มนอนจมอยู่ในกองเลือด
โถงใหญ่กลางตำหนักเทียนตู ลูกศิษย์หลายสิบคนถูกมัดมือไขว้หลัง ถูกบังคับให้คุกเข่า เมื่อเห็นเขาออกมา แต่ละคนก็ตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นตระหนก
แต่รองหัวหน้าเผ่าซือคงกับน่าหลันหลิงลั่วและคนอื่นๆนั้นมองดูเขาด้วยความเย็นชา
เมื่อคนของพวกเขาเห็นเขาก็ทยอยล้อมรอบเขาไว้
รองหัวหน้าเผ่าซือคงกล่าว “เวินเส้าหยี ในที่สุดเจ้าก็ยอมออกมาแล้ว”