อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่ 9 คิดบัญชี
ในใจของฮูหยินใหญ่เต้นตึกตักทันที
นี่นางคิดบัญชีกับอนุภรรยาห้าเสร็จ ก็หันมาคิดบัญชีกับนางแล้วหรือ?
ฮูหยินใหญ่กรอกตาขาวใส่แม่นมที่ดูแลงาน กล่าวอย่างเฉียบคม “เงินเดือนของคุณหนูสามล่ะ ทำไมนางบอกว่านางไม่ได้รับ? พวกเจ้าทุจริตใช่หรือไม่?”
“ฮูหยินใหญ่โปรดตรวจสอบให้ชัดเจน แม้ว่าข้าน้อยจะใจกล้ามากเพียงใด ข้าน้อยก็ไม่กล้าอมเงินเดือนของคุณหนูสามเข้ากระเป๋าตัวเองเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะไปตรวจสอบดูเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
“แม่นมไป๋ควรตรวจสอบดูให้ดีๆ อย่างไรเสียตอนนี้ก็เป็นว่าที่พระชายาของท่านอ๋องหานเทพสงคราม หากว่าถูกอ๋องหานรู้ว่าพระชายาของเขาใช้ชีวิตอย่างซอมซ่อ กลัวว่าเขาก็จะไม่พอใจ”
“ใช่ๆๆเจ้าค่ะ……..”
ในจวนไม่มีสักคนที่มีสีหน้าดีๆ
นี่ยังไม่ได้เป็นพระชายาหานนะ ก็เริ่มวางมาดพระชายาหานแล้ว ใครจะไม่รู้ว่าอ๋องหานมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานแล้ว รอให้อ๋องหานเสียชีวิตแล้ว ดูซิว่านางยังจะหยิ่งผยองได้อย่างไร
กู้ชูหน่วนกวาดตามองทุกคนในเหตุการณ์ ประกาศสาบานอย่างบ้าอำนาจ “จากนี้ไป หากใครกล้ารังแกชิวเอ๋อร์ ก็คือรังแกข้า แม้ว่าฐานะในจวนของข้าจะต่ำไปหน่อย แต่ข้าคิดว่า ด้วยฐานะลูกสาวแท้ๆขององค์หญิงจาวหลิง คิดอยากจัดการคนบางคนให้ตายก็ยังมีอำนาจพอสินะ”
บรรดาผู้คนตกตะลึงจนไม่กล้าพูดจา
ฮูหยินใหญ่ยกริมฝีปากขึ้นและยิ้ม แต่รอยยิ้มไม่ได้มาจากก้นบึ้งของจิตใจ “คุณหนูสามพูดติดตลก หลังจากนี้ในจวนผู้ใดกล้ารังแกเจ้า เจ้าบอกข้าได้เต็มที่ ข้าจะหนุนหลังแทนเจ้าอย่างแน่นอน”
“ขอบคุณฮูหยินใหญ่มาก แต่ว่าตอนนี้ยังไงก็ขอให้ฮูหยินใหญ่ช่วยข้าเอาเงินเดือนของข้าที่ถูกอมเข้ากระเป๋าก่อนหน้านี้มาคืนให้ข้าทั้งหมดโดยไม่ขาดแม้แต่เหวินเดียวจะดีกว่า เพื่อเลี่ยงไม่ให้มีคนพูดว่าฮูหยินใหญ่ปฏิบัติต่อบุตรสาวขององค์หญิงจาวหลิงอย่างทารุณ ท่านว่าใช่หรือไม่”
ฮูหยินใหญ่กัดฟันกรอด
ผู้หญิงคนนี้ แต่ละคำแต่ละประโยคล้วนกำลังข่มขู่นาง
เพียงเพราะฮ่องเต้พระราชทานงานแต่งงานให้นางกับท่านอ๋องหานเทพสงครามหรือ?
ไม่ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
บางที่พวกนางอาจจะถูกกู้ชูหน่วนหลอกแล้ว นางที่หยิ่งผยองพองขนในตอนนี้ จึงจะเป็นนางตัวจริง
ฮูหยินใหญ่แสร้งยิ้ม “ใช่แน่นอน”
“เช่นนั้นชูหน่วนก็ขอบคุณฮูหยินใหญ่มากเจ้าค่ะ ถูกแล้ว ฮูหยินใหญ่จะจัดเตรียมรถม้าคันหนึ่งไปส่งข้าที่ราชวิทยาลัยสินะเจ้าคะ”
“นั่นเป็นธรรมดา แม่นมไป๋ จัดเตรียมรถม้าให้คุณหนูสาม อย่าให้มีคนพูดได้ว่าจวนเฉิงเซี่ยงของพวกเรากระจอก”
“เจ้าค่ะ……”
กู้ชูหน่วนกวาดตามองสีหน้าของบรรดาผู้คนในเหตุการณ์ที่มีมากมายหลายประเภทแวบหนึ่ง ผิวปากแล้วจากไป
ชิวเอ๋อร์ติดตามออกไป
นางเบ้าตาแดงก่ำ ในใจเป็นความซาบซึ้งที่อธิบายไม่ออก ทั้งสมองล้วนเป็นประโยคนั้นของกู้ชูหน่วน นับจากนี้ไป ใครกล้ารักแกชิวเอ๋อร์ ก็คือรังแกข้า
นางเป็นเพียงสาวใช้ตัวเล็กๆคนหนึ่ง จะคู่ควรให้คุณหนูสละชีวิตปกป้องถึงเพียงนี้ได้อย่างไร
บนถนนของพระราชวัง ชิวเอ๋อร์ลากกู้ชูหน่วนวิ่งมุ่งไปยังโรงเรียน บนใบหน้าปกปิดความกังวลใจไว้ไม่อยู่ นางกล่าวอย่างเป็นกังวล “คุณหนู ท่านก็เร็วหน่อยสิเจ้าคะ พวกเราสายเป็นเวลานานแล้ว หากว่าพวกอาจารย์โกรธจะทำอย่างไรเจ้าคะ?”
“จะรีบร้อนอะไร ยังไงซะก็สายแล้ว ก็ไม่ต้องสนใจว่าจะสายอีกหน่อย”
ชิวเอ๋อร์กลัดกลุ้มใจ
คนอื่นเขาเบียดเสียดกันแทบตายเพราะคิดอยากเข้ามาเรียนในราชวิทยาลัย แต่คุณหนูของนางกลับไม่แยแส เดิมทีก็สายแล้ว ยังจะไปร้านขายยาดูสมุนไพรปรุงยาอะไรอีก จึงทำให้ล่าช้าไปอีกเป็นเวลานาน
“คุณหนู ถ้าท่านไม่รีบเดินอีก ชิวเอ๋อร์จะโกรธแล้วนะเจ้าคะ”
“นู้น ด้านหน้าก็เป็นห้องเรียนแล้วไม่ใช่หรือ”
กู้ชูหน่วนหาวทีหนึ่ง หยิบหนังสือสองสามเล่มเดินแกว่งไปมาเข้าโรงเรียน
เหล่าองครักษ์ขวางไว้ “ที่มาเป็นผู้ใด?”
“คุณหนูสามจวนเฉิงเซี่ยง ได้รับคำสั่งให้มาเรียนหนังสือ” เรียนกับผี ชาติก่อนก็เรียนหนังสือมาครึ่งชีวิตแล้ว ชาตินี้ยังต้องเรียนอีก
“นี่เป็นเวลาอะไรแล้ว ทำไมเพิ่งจะมา รีบเข้าไป”
ชิวเอ๋อร์ก็รีบตามเข้าไป องครักษ์กลับขวางนางไว้แล้ว “คนรับใช้ของพระราชนัดดาและคุณชายทั้งหมด ล้วนเฝ้ารออยู่ด้านนอก ไม่มีคำสั่งเข้าไปไม่ได้” องครักษ์ชี้ไปตรงที่ไกลๆ ที่นั่นมีสาวใช้คนรับใช้ไม่น้อยกระจัดกระจายอยู่
ชิวเอ๋อร์เป็นห่วง
คุณหนูมาสายนานขนาดนั้น นางกลัวว่าคุณหนูถูกลงโทษ
กู้ชูหน่วนส่งสายตาให้นางวางใจ “วางใจเถอะ ไม่มีใครทำอะไรคุณหนูของเจ้าได้ กลับเป็นเจ้าที่ต้องปกป้องตัวเองให้ดีๆ อย่าให้ตอนที่ข้าออกมาแล้ว เจ้ายังร้องไห้ขี้มูกโป่งอีกล่ะ”
ชิวเอ๋อร์หัวเราะทันที ชำเลืองมองเงาหลังที่ไกลออกไปของนางอยู่เป็นวลานานโดยไม่ยอมเก็บสายตากลับมา
กู้ชูหน่วนเดินเยื้องย่างอยู่ในโรงเรียน ชื่นชมทิวทัศน์ของโรงเรียนรอบหนึ่ง ตอนนี้เพิ่งจะเข้าไปในห้องเรียน
ทันทีที่เข้าไป สายตาของทุกคนก็กวาดเข้ามาพร้อมๆกัน
กู้ชูหน่วนโบกมือ “ฮาย สวัสดีอาจารย์ สวัสดีเพื่อนนักเรียน ข้าคือกู้ชูหน่วน”
อาจารย์เป็นคนแก่อายุหกสิบปีขึ้นไป ทันทีที่เขาเห็นกู้ชูหน่วน ปังเสียงหนึ่งเอาหนังสือในมือทุบไปบนโต๊ะอย่างหนัก กล่าวด้วยความโกรธ “กู้ชูหน่วน มาเรียนวันแรก เจ้าก็กล้ามาสาย ผู้ใดให้ความกล้านี้กับเจ้า? ในสายตาของเจ้ายังมีโรงเรียนอยู่หรือไม่? ยังมีฮ่องเต้อยู่อีกหรือไม่”
ข้าจดจำขึ้นใจ ไม่กล้าลืม สัญญาว่าจะตั้งใจเรียน พัฒนาขึ้นทุกวัน ไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง ไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวัง
“ดังนั้นข้าถึงได้อาบน้ำแล้วจุดเครื่องหอม ตลอดทางที่ผ่าน ไม่ว่าจะเป็นวัดเล็กใหญ่ก็คุกเข่าสามทีโขกหัวเก้าครั้ง เข้าไปกราบไหว้ แล้วบวกกับไม่คุ้นเคยกับทางในพระราชวัง นี่ถึงได้มาสายไปเล็กน้อย แต่อาจารย์ ท่านจะต้องเชื่อข้า ฟ้ายังไม่สว่างข้าก็ตื่นขึ้นมาเตรียมตัวแล้ว”
ขณะเดียวกันที่กู้ชูหน่วนพูดจา ก็ได้สังเกตผู้คนในห้องเรียนรอบหนึ่ง
ในห้องเรียนนี้มีนักเรียนประมาณสามสิบกว่าคน หนึ่งในนั้นมีกู้ชูหยุน กู้ชูหลัน ยังมีเซียวหยู่เซวียน อ๋องเจ๋อและคนอื่น คนอื่นๆนางก็ไม่รู้จักสักคน
นางยิ้มอย่างเย็นชา สายตาหยุดลงตรงหน้าของอ๋องเจ๋อสองสามครั้ง
เมื่อวานยังบอกว่าเป็นติดโรคร้ายแรง มีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน วันนี้ก็มาเรียนแล้ว?
แม้แต่หน้าตาก็ไม่เอาแล้ว เพราะว่ามั่นใจเกินไป หรือว่ามั่นใจเกินไปนะ
คำพูดของกู้ชูหน่วนพูดออกมาบลาๆๆเป็นชุดใหญ่อย่างรวดเร็ว ทุกคนในโรงเรียนฟังจนตะลึงแล้ว
อาจารย์คิดคำพูดกลั่นแกล้งนางไว้เต็มท้อง กลับคิดไม่ถึงว่าจะมีจุดจบเช่นนี้
ใครบอกว่าคุณหนูสามจวนเฉิงเซี่ยงขี้ขลาดเหมือนดั่งหนู อ่อนแอสามารถรังแกได้?
ยืนขึ้นมา เขาสัญญาว่าจะไม่ตีนางให้ตาย
อาจารย์กำลังคิดจะเปิดปากพูด กู้ชูหน่วนเหมือนดั่งนักเรียนที่ว่านอนสอนง่ายเช่นนั้น ทำท่าทางรู้จักรับผิด กล่าวด้วยเสียงดังว่า “อาจารย์ ข้าสัญญาว่าครั้งหน้าข้าจะไม่มาสายอีก ขอให้ท่านให้โอกาสนักเรียนได้แก้ไข้ตัวเองใหม่อีกครั้งด้วย”
อาจารย์โกรธจนแทบจะหายใจไม่ออก
เขาก็พูดแค่ประโยคหนึ่ง นางกลับดี พูดออกมาเป็นยกใหญ่อย่างดุเดือด บังเอิญแต่ละคำแต่ละประโยคเขาก็ล้วนจนปัญญาที่จะโต้ตอบ ต้องการทำโทษนาง เช่นนั้นเขาก็ตกเป็นขี้ปากของผู้คนแล้วไม่ใช่หรือ?
“เหลวไหล อาจารย์ กู้ชูหน่วนกำลังโกหก นางนอนเลยเวลาอย่างเห็นได้ชัด ถึงได้มาสาย”
กู้ชูหน่วนเหลือบสายตามองตามไปทางเสียง กลับเห็นว่าคนที่พูด ก็คือกู้ชูหลัน
ดวงตาสองข้างของนางหรี่ลงเล็กน้อย เอ่ยถามกลับ “อ๋อ……เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้านอนเลยเวลาแล้ว? หากว่าข้าไม่ได้จำผิด เหมือนว่าเจ้าจะคนที่มาเรียนเป็นเพื่อนข้าสินะ หากว่าข้านอนเลยเวลาจริง ฐานะที่เป็นคนมาเรียนเป็นเพื่อน หรือว่าไม่มีหน้าที่ปลุกให้ข้าตื่นงั้นหรือ?”