อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่1240 เมืองแตก
อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่1240 เมืองแตก
ว่าแล้ว ราชินีก็ยื่นมือไปเชยคางของเวินเส้าหยีเบาๆ
เวินเส้าหยีเอียงตัวหลบมือของนาง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ยังไม่เสร็จพิธีเลย ท่านอย่าใจร้อนไปสิ”
ราชินีเข้าใกล้เวินเส้าหยี กระซิบพูดกับเขาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ดูสิ ถึงเจ้าจะไม่ชอบข้ามากแค่ไหน ก็ต้องแต่งงานกับข้าอยู่ดี”
“เกรงว่าท่านคงจะไม่มีโอกาสได้เข้าเรือนหอหรอกนะ”
“วางใจได้ ข้าเตรียมไว้หมดแล้ว รับรองว่าเจ้าจะต้องถูกใจแน่นอน”
ว่าแล้ว ราชินีก็เป่าหูของเขาเบาๆ
ยืนอยู่กับราชินี เวินเส้าหยีรู้สึกรังเกียจมาก และกลิ่นกายของนางอีก
ถึงแม้จะไม่พอใจมากแค่ไหน เวินเส้าหยีก็ยังเก็บซ่อนความรู้สึกไว้อย่างดี
เขาไม่อยากแต่งงาน แต่ราชินีเอาแต่บีบบังคับ เผ่าเทียนเฟิ่นมีคำสั่งให้แต่งงานกับราชินีอีก เขาจำเป็นต้องทำตามหน้าที่นั้น
บวกกับที่พวกเขาสัญญากันว่าเอาวิญญาณของกู้ชูหน่วนเป็นสินสอดชิ้นหนึ่ง
เวินเส้าหยีก็ถึงตกลง
เพราะไม่ว่าจะมีวิญญาณนั้นหรือไม่ ขอแค่เขายังเป็นหัวหน้าเผ่าเทียนเฟิ่น ก็ต้องแต่งงานกับราชินี งั้นก็……ตกลงไปเลยดีกว่า
กวาดตามองรอบๆ พิธีแต่งงานเต็มไปด้วยทหารถืออาวุธ เรียงแถวกัน ล้อมพิธีนี้ไว้ไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ
นอกจากนั้นแล้ว บนหลังคายังมีมือธนูซ่อนอยู่ด้วย รวมไปถึงยอดฝีมือระดับสี่ขึ้นไปคอยล้อมเอาไว้
“ฝ่าบาทจัดการรอบคอบขนาดนี้ แล้วที่อื่นล่ะ ควบคุมเข้มงวดขนาดนี้หรือเปล่า”
เวินเส้าหยีพูดจบ ก็มีขันทีคนหนึ่งวิ่งเข้ามารายงานหน้าตาแตกตื่น
“ฝ่า……ฝ่าบาท กะ……กบฏบุกเข้ามาในเมืองแล้ว กำลังมุ่งหน้ามาที่วังหลวง”
ฮือฮา……
พอคำพูดนี้ดังขึ้น ทุกคนก็เบิกตาโพลงอย่างตกใจ
และยังมีขุนนางไม่น้อยลุกขึ้นยืน
“บุก……บุกเมืองเหรอ? เป็นไปได้อย่างไร เสวี่ยเจี้ยนโย่วยังอยู่ที่เมืองว่านจีไม่ใช่เหรอ? ถึงจะขี่ม้าเร็วแค่ไหน ก็ไม่มีทางบุกมาถึงเมืองหลวงได้เร็วขนาดนั้นหรอก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีทหารมากมายขนาดนั้นอีก”
“นั่นน่ะสิ เมืองว่านจีห่างจากเมืองหลวงมาก นอกจากว่าพวกเขาจะมีวิชาหายตัว ไม่งั้นไม่มีทางมาถึงเมืองหลวงได้เร็วขนาดนั้นแน่”
“ถึงจะมาถึงเมืองหลวง ก็ไม่มีทางบุกเข้ามาในวังได้เร็วขนาดนั้นหรอก”
ขันทีที่รายงานข่าวก็พูดหอบว่า “จริง……จริงพ่ะย่ะค่ะ……พวก……พวกมดเปิดประตูให้พวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ากำลังล้อเล่นอยู่เหรอ? พวกมดจะเปิดประตูเมืองได้อย่างไร?”
“มีมดเต็มไปทั่วทุกสารทิศเลย ตัวใหญ่ๆทั้งนั้น พวกมันมีพิษบนตัว ทหารที่เฝ้าประตูเมืองถูกพวกมันกัดจนสลบลงไป ประตู……ประตูเมืองก็ถูกพวกมันกัดจนพัง พวก……พวกกบฏบุก……บุกมาทางวังหลวงแล้ว”
ด้านล่างผู้คนซุบซิบกัน
มีคนกังวล มีคนร้อนรน
มีคนดีใจ อยากให้อ๋องเสวี่ยรีบบุกเข้ามา
“ฝ่าบาท ให้กระหม่อมนำกำลังทหารไปขวางนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะจับตัวกบฏนั่นให้จงได้”
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอไปด้วย”
“ฝ่าบาท กระหม่อมก็ขอไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ต้องยอมรับเลยว่า ถึงแม้ราชินีจะโหดเหี้ยมอำมหิตแค่ไหน แต่ก็ยังมีขุนนางที่จงรักภักดีต่อนางอยู่
ราชินีกระตุกยิ้มมุมปาก เสียงหัวเราะทำเอาผู้คนขนลุกซู่
ทุกคนคิดว่า ราชินีจะต้องจัดกำลังทหารออกไป เพื่อตอบโต้อ๋องเสวี่ยฉิน
ไม่คิดว่าราชินีกลับไม่สนใจข่าวนี้ สะบัดแขนเสื้อ แล้วตะโกนว่า “บรรเลงดนตรีต่อไป”
“ฮือฮา……”
ทุกคนตกตะลึง
คิดว่าตัวเองหูฝาดไป
ไม่นาน เสียงของราชินีก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ชักช้าอยู่ได้ ประหารนักดนตรีให้หมดเลย”
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทโปรดทรงอภัยด้วย”
พวกขุนนางต่างก็นั่งลง ไม่กล้าพูดอะไรอีก กลัวราชินีจะพาลใส่พวกเขาแทน