อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่1241 อุปสรรคในงานแต่ง
อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่1241 อุปสรรคในงานแต่ง
มีแต่ขุนนางหลายคนที่จงรักภักดียังคงเอ่ยเตือน
“ฝ่าบาท กบฏบุกเข้ามาในเมืองแล้ว ถ้าไม่ส่งทหารไปขวางไว้ พวกนั้นจะบุกเข้ามาในวังได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท กองทัพแม่ทัพหลี่แม่ทัพหวังอยู่นอกเมือง ให้พวกเขาเข้ามาช่วยไหมพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าบอกว่า บรรเลงดนตรีต่อ พวกเจ้าหนวกหูหรือไง?”
ได้ยินดังนั้น นักดนตรีที่มาใหม่ก็เริ่มบรรเลงดนตรี งานพิธีสมรสก็กลับมารื่นเริงอีกครั้ง แต่ใบหน้าของทุกคนกลับไม่มีรอยยิ้มเลย
ถ้าไม่ไปขวางไว้ รออ๋องเสวี่ยฉินบุกเข้ามา ไม่รู้ว่าจะปล่อยพวกเขาหรือเปล่า
“ฝ่าบาท สงครามสำคัญนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอฝ่าบาทให้กระหม่อมออกรบด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ทหาร จับเจ้าแก่พวกนี้ลงไปประหารซะ”
ทหารรีบวิ่งเข้ามาจับตัวพวกขุนนางไว้ ไม่ให้โอกาสพวกเขาได้ตอบโต้เลย
แม่ทัพเฉินใต้เท้าหลิวพวกเขาต่างก็ใจเสียกันหมด
พวกเขานั่งเฉยต่อไปไม่ไหว ลุกขึ้นมาด่าทันที
“บ้าไปแล้ว เจ้ามันบ้าไปแล้ว แคว้นปิงจะต้องล่มสลายในมือของเจ้าแน่”
“ลากพวกมันลงไปประหารเก้าชั่วโคตร”
แม่ทัพเฉินร้องโอดครวญด้วยน้ำตา “ตระกูลเฉินของข้ารับใช้ชาติหลายยุคสมัย รับใช้แคว้นปิงยิ่งชีพ ยอมถวายชีวีในสนามรบ ลูกชายทั้งเจ็ดของข้า รบตายอยู่ในสนามรบหกคน คนหนึ่งก็ถูกเจ้าทรมานจนตาย พ่อข้า ท่านปู่ของข้า ท่านทวดของข้าก็ตายเพื่อประเทศชาติ ข้าเสียสละชีพเพื่อแคว้นปิง เกือบตายในสงครามหลายครั้ง ไม่คิดว่า……ไม่คิดว่าสุดท้ายจะแลกกับการถูกประหารเก้าชั่วโคตร ฮ่าๆๆ……กบฏก็ดีแล้ว กบฏก็ดีแล้วล่ะ!”
“อ๋องเสวี่ยฉินรักประชาชนยิ่งลูกแท้ๆ ถ้าเขาได้เป็นจักรพรรดิ ไม่มีทางปกครองบ้านเมืองอย่างโหดเหี้ยม และฆ่าผู้คนบริสุทธิ์เหมือนเจ้าแน่นอน”
“ยังนิ่งอยู่ทำไม ไม่รีบลากพวกมันลงไปประหารอีก”
“พวกเจ้ายังจะภักดีต่อนางอีกเหรอ? นางฆ่าขุนนางผู้ภักดีไปหมดแล้ว ต่อไปก็เป็นพวกเจ้าแล้วล่ะ จุดจบของข้าอาจจะกลายเป็นจุดจบของเจ้าในวันข้างหน้าก็ได้ โอ๊ย……”
ตามด้วยเสียงร้องทรมานของแม่ทัพเฉินกับใต้เท้าหลิว พวกขุนนางต่างก็ก้มหน้าลง ในใจก็รู้สึกเกลียดชังราชินีอำมหิตขึ้นทุกที
พวกแม่ทัพที่ตรงไปตรงมาก็ตอบโต้ขึ้นมาทันที
ราชินีไร้ความปรานียิ่งขึ้น ตั้งใจจะประหารพวกที่มาประท้วงและร้องขอความเมตตาให้หมด จากนั้นค่อยประหารเก้าชั่วโคตร
ในที่สุดเวินเส้าหยีก็ทนไม่ไหว เขาพูดขึ้นว่า “วันนี้เป็นวันมงคล อย่าฆ่าใครเลย ทำไมฝ่าบาทไม่ขังพวกเขาไว้ในคุก แล้วค่อยทำโทษทีหลัง”
“พิธีสมรสเป็นพิธีที่เป็นสิริมงคล อะไรที่มงคลที่สุดล่ะ ก็ต้องเป็นเลือดน่ะสิ ฮ่าๆๆ……ข้าจะให้เลือดนองทั้งตำหนัก เพื่อฉลองงานแต่งของพวกเราไงล่ะ”
รองแม่ทัพจางด่าอย่างโมโห “ราชินีอำมหิต เมื่อก่อนข้าคงจะเป็นบ้าแน่ๆ กลับยอมถวายชีวิตรับใช้เจ้า ถุย! เจ้าจะต้องไม่ตายดีแน่”
“ด่าไปเถอะ ด่าให้เต็มที่เลย ยิ่งด่าข้าก็ยิ่งดีใจ ฮ่าๆๆ……”
โรคจิต
โรคจิตเกินไปแล้ว
เมื่อก่อนถึงแม้ราชินีจะตาลายหูหนวก
แต่ก็ไม่ถึงกับโหดเหี้ยมขนาดนี้
และตอนนี้ก็ยากที่จะคาดเดาอารมณ์ของราชินี การกระทำของนางรุนแรงขึ้นมาทุกที
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ขุนนางทั้งราชสำนักต้องถูกนางฆ่าทั้งหมดแน่
ผู้อาวุโสฉีของเผ่าเทียนเฟิ่นเห็นแล้วก็กัดฟันกรอด
“รองหัวหน้าเผ่า ท่านวางใจจะให้หัวหน้าเผ่าแต่งงานกับนางจริงเหรอ?”
รองหัวหน้าเผ่าขมวดคิ้วเป็นปม ไม่พูดอะไร ดูไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เห็นแต่เขากำหมัดแน่น คิดว่าคงจะไม่พอใจมากๆ
คนอื่นๆของเผ่าเทียนเฟิ่นต่างก็โมโหกันมาก
อยากจะถอนงานแต่งนี้ไป
ผู้คนที่ลุกขึ้นตอบโต้ถูกประหารทั้งหมด ที่เหลือถึงจะไม่พอใจมากแค่ไหน ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
เพราะอย่างไรก็ไม่มีใครอยากให้ครอบครัวตัวเองถูกประหารไปด้วย
“ยังมีคนตอบโต้อีกไหม?” ราชินีถามด้วยรอยยิ้ม
ทุกคนเงียบกันหมด ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
ราชินีแสยะยิ้มเย็นชา
“ในเมื่อไม่มีคนตอบโต้แล้ว งั้นก็บรรเลงดนตรีซะ ถ้าข้าไม่พอใจ พวกเจ้าก็ต้องถูกประหารด้วย”
เสียงดนตรีดังขึ้น ผู้จัดพิธีก็ตะโกนว่า “พิธีสมรสเริ่มต้นขึ้น เจ้าบ่าวเจ้าสาวคำนับฟ้าดิน……เอือก……”
เสียงร้องดังขึ้น ผู้จัดพิธีสำลักเลือดตาย ทุกคนมองคนร้ายราชินีอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เห็นแต่เพียงราชินีแสยะยิ้มอย่างเย็นชาไร้ความรู้สึก
“ข้าคือฟ้า ใครกล้าสั่งให้ข้าคำนับฟ้า”
พิธี……พิธีสมรสไม่คำนับฟ้าดินแล้วจะคำนับอะไร?
“เจ้ามาดำเนินพิธีต่อ”
“ฝ่าบาท……ฝ่าบาท บ่าว……บ่าวทำไม่เป็นพ่ะย่ะค่ะ”
“แค่นี้ก็ทำไม่ได้ ไร้ประโยชน์จริงๆ ลากลงไปประหารซะ”
เวินเส้าหยีขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทชอบให้มีเลือดในการฉลอง ขอโทษด้วย ข้าไม่ชอบ ถ้าฝ่าบาทยังฆ่าคนเพื่อความสุขไม่หยุด งั้นงานแต่งนี้ก็ยกเลิกไปเถอะ”
“ได้ยินว่าการเป็นหัวหน้าเผ่าเทียนเฟิ่น หนึ่งในเงื่อนไขนั้นก็คือแต่งงานกับข้า เจ้าจะยอมเสียตำแหน่งหัวหน้าเผ่านี้ไปเหรอ?”
“อำนาจชื่อเสียงก็เป็นแค่ของนอกกาย ข้ายินดีเสียมันไป”
“เจ้ายอมเสียตำแหน่งหัวหน้าเผ่า เจ้าไม่อยากได้วิญญาณของกู้ชูหน่วนแล้วเหรอ?”
เวินเส้าหยีใจเย็นตลอด พอได้ยินราชินีพูดถึงกู้ชูหน่วนก็อดไม่ได้ตัวสั่น
“เจ้ารู้เรื่องได้อย่างไรว่าวิญญาณนั้นเป็นของนาง?”
“เจ้าอยากรู้เหรอ?”
เวินเส้าหยีไม่พูด
หัวใจกลับเต้นตึกตักจนแทบกระเด็นออกมา
นอกจากพวกเจ้าแล้ว ทวีปปิงหลิงจะรู้ตัวตนของนางได้อย่างไร?
หรือว่า……
นางเป็นคนของทวีปปิงหลิง?
ไม่สิ
ราชินีขยับเข้าไปใกล้เวินเส้าหยี ทำเอาเขารู้สึกรังเกียจยิ่งขึ้น
“เจ้าอยากรู้ ข้าไม่บอกเจ้าหรอก ฮ่าๆๆ……”
ราชินีทำอะไรตามอำเภอใจ ฆ่าผู้บริสุทธิ์ในพิธีสมรส
เวินเส้าหยีสายตาเต็มไปด้วยแรงอาฆาต
เห็นพิธีกรไม่กล้าพูดว่าคำนับฟ้าดิน ให้พวกเขาคำนับกันเองเลย เวินเส้าหยีกลับไม่อยากคำนับ
“ตั้งแต่สมัยโบราณสินสอดมาก่อนเสมอ รองลงมาคืองานแต่งงานใหญ่ ของหมั้นหมายเขียนไว้ชัดเจนว่ามีวิญญาณหนึ่งดวง และตอนนี้ก็จะเสร็จสิ้นพิธีแล้ว ฝ่าบาทกลับไม่เอาสินสอดนั่นออกมาสักที ถึงข้าจะไม่สูงศักดิ์ดั่งฝ่าบาท แต่ก็รู้ว่าไม่ควรทำผิดมารยาท ถ้าวันนี้ฝ่าบาทไม่เอาสินสอดที่เหลือออกมา ขออภัยด้วย ข้าไม่สามารถแต่งงานกับท่านได้”
ทุกคนตกใจตัวสั่น
เวินเส้าหยีใจกล้าเกินไปแล้ว
เมื่อกี้ราชินีฆ่าคนไปเยอะขนาดนั้น หรือเขาไม่กลัวบ้างเลยหรือไง?
กลับกล้าขอสินสอดต่อหน้าราชินีแบบนี้
ราชินีสูงศักดิ์ ขอแค่นางไม่ถูกโค่นออกจากตำแหน่ง นางก็ยังเป็นราชินีแห่งแคว้นปิง เวินเส้าหยีกล้าพูดแบบนี้กับราชินีได้อย่างไร
ผู้ที่ไม่กลัวราชินีเลยก็คือคนของเผ่าเทียนเฟิ่น
ด้วยความสามารถของเผ่าเทียนเฟิ่น ถ้าพวกเขาอยากฆ่าล้างแคว้นปิงก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ พวกเขาจึงไม่ได้กลัวราชินีเลย
“ถ้าข้าไม่เอาให้ล่ะ”
“ฝ่าบาทเป็นถึงเจ้านายของประเทศ แค่สินสอดเกรงว่าฝ่าบาทจะไม่ใส่ใจ และคงไม่ให้เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นถกเถียงไปทั่วทั้งนคร หรือฝ่าบาทจะไม่ให้แล้วจริงๆ งั้นข้าก็คงทำอะไรไม่ได้ แต่ข้าเป็นคนหัวโบราณ สินสอดไม่ครบ ข้าก็ไม่สามารถแต่งงานกับฝ่าบาทได้”
“เจ้าข่มขู่ข้างั้นเรอะ”
“ข้าเป็นแค่สามัญชน มิบังอาจหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
สบตากัน ทั้งสองไม่มีใครยอมใคร ดวงตาปะทุไปด้วยไฟ
“มิบังอาจงั้นเรอะ ข้าว่าเจ้ากล้ามากนะ นอกจากเจ้าจะรับใช้ข้า ไม่งั้นชาตินี้เจ้าอย่าหวังจะได้วิญญาณดวงนั้นไปเลย”
“ถ้าฝ่าบาทไม่เอาสินสอดออกมา งั้นถึงข้าจะตาย ก็ไม่มีทางให้ฝ่าบาทสมหวังแน่นอน”
“ยังไม่ได้แก้แค้น เจ้ากล้าตายงั้นเหรอ?”
“ฝ่าบาทคิดว่าข้ากล้าหรือไม่ล่ะ”
พวกขุนนางแทบไม่กล้าหายใจ
พวกเขารู้สึกอึดอัดกันหมด พายุอาจโหมกระหน่ำได้ทุกเมื่อ