เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 101 ผลอู๋เลี่ยงสด
สภาพของฉินจิ่วเกอนับว่าดีขึ้นมาหน่อย กล้ำกลืนฝืนพยุงสังขารคืบคลานไปกับพื้น กึ่งยืนกึ่งคลานโดยเข่ายังไม่แตะพื้น กระดูกข้อต่อกล้ามเนื้อเส้นเอ็นตลอดร่างล้วนถูกกดทับจนนูนปูดโปนขึ้นจนแทบแหลกสลาย
“ไม่ไหวแล้ว ร้อยลี้ที่เดินมานับว่าถึงขีดจำกัดแล้ว หากยังไปต่อ เกรงว่าคงถูกกดจนกลายเป็นเนื้อป่นเต้าเจี้ยว”
โลกแห่งพฤษาสวรรค์ ไม่แบ่งแยกพลังฝีมือสูงหรือต่ำ จวงปี้สามารถเดินมาได้ร้อยลี้ที่จริงถือว่ามันมีพรสวรรค์น่าตระหนกแล้ว มิน่าเล่าครั้งกระโน้นสามารถทอดตามองทั่วหล้า
“ยังเร็วไป เดินต่อเถอะ” ฉินจิ่วเกอขับพลังลบออกทางปาก ลมหายใจกระชั้น ฝืนลากสังขารต่อไปได้อีกครึ่งก้าวก่อนโน้มกายไปช่วงหนึ่ง ร่างถูกกดหน่วงจนแทบล้มคว่ำ
“ข้าไม่ไหวแล้วจริงๆ” จวงปี้ใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือด รู้สึกจุดตันเถียนปวดแปลบปลาบ พลังในจุดตันเถียนจวนเจียนแห้งเหือดสิ้น ส่วนพลังจิตในหลิงไถนั้น ล้วนถูกสะกดไว้ร้อยเท่าเช่นกัน โงนเงนง่อนแง่นใกล้แตกหัก
“ไป!” ฉินจิ่วเกอกัดฟัน ริมฝีปากแห้งผากขยับไหว เลียเหงื่อไคลที่ไหลย้อยลงมาข้างแก้ม
ยิ่งได้มาเท่าไหร่ ที่เสียไปยิ่งมากเท่านั้น จวงปี้มีที่ทางให้ระวังระไวมากเกินไป หากเทียบกับฉินจิ่วเกอ เด็กน้อยยังไม่เปิดจุดหลิงไถ ดังนั้นที่มันต้องทนทานรับไว้ มีเพียงการกดบีบรีดเค้นของสังขารกายเนื้อ พลังที่แผ่ออกมาส่งผลกระทบกับมันไม่น่ากลัวเท่าใด
“เราผู้เฒ่าไปต่อไม่ไหวแล้วจริงๆ ฉินจิ่วเกอ มีวาสนาค่อยพบกันใหม่”
หากคิดล้ำหน้าต่อไป มิใช่ปัญหาเรื่องความมุมานะพยายาม หากแต่เป็นจิตใจที่ใกล้พังทลาย วิญญาณแตกสลาย!ผลอู๋เลี่ยงต่อให้มีค่ามากมายปานไหน ก็ไม่มีชีวิตไม่มีราคา อย่าได้พูดถึงขวัญบินวิญญาณสลายอันใด แม้แต่คุณสมบัติจะเข้าสู่วัฏฏะสงสารยังไม่มี!
“ข้ายอมแพ้!” อวัยวะภายในทั้งห้าของประมุขจวงสั่นสะท้าน เสียงพรู่ดคราหนึ่ง ถูกแรงกดทับจนกระอักศรโลหิตออกมาเต็มคำ เลือดสดๆ สาดกระจายกลางอากาศ
แปดดวงธาตุ เพียงสามารถเดินหน้าไปได้ร้อยลี้ก็กระอักโลหิตรับบาดเจ็บสาหัส ยังเหลือระยะทางอีกเก้าในสิบส่วน ยังสุดลำเค็ญยิ่งกว่าเส้นทางอัญเชิญพระคัมภีร์สิบหมื่นแปดพันลี้เสียอีก
วาบ
แสงสีทองสายหนึ่งสว่างวาบ ผู้เฒ่าเรืองปัญญาขับเคลื่อนจิต เตะโด่งประมุขตระกูลจวงออกจากนาวาเรืองปัญญา จากนั้นเพิ่มพลังกดทับต่อเนื่อง ถาโถมถล่มใส่เหนือศีรษะฉินจิ่วเกอ ชายหนุ่มค้อมกายลงสองมือค้ำหน้าขายันไว้แน่น ตัวงอราวกับกุ้งเผา
นับตั้งแต่ฉินจิ่วเกอเข้าสู่นาวาเรืองปัญญา ผ่านมาแล้วห้าวัน ผู้มาชมดูโดยรอบจัตุรัสล้วนค่อยๆ แยกย้ายหายหน้า เหลือเพียงอาวุโสใหญ่ที่ยังคงนั่งขัดสมาธิ สูดเอากลิ่นอายฟ้าดินและพลังวิญญาณเข้าสู่ร่าง
ตุบ!
ร่างเลือดเนื้อเละเทะก้อนหนึ่งพลันร่วงหล่นลงมาใกล้ๆ จัตุรัส จวงปี้กระอักโลหิตออกมาอีกหลายคำ หลิงไถของมันปรากฏร่องรอยร้าวแผ่กระจาย ชัดเจนว่าอาการบาดเจ็บจากพลังกดทับอันมหาศาลนั้นไม่เบาเลยจริงๆ
“หือ? นั่นมิใช่ประมุขตระกูลจวงที่ร้อยปีก่อนเข้าไปในนาวาหรอกหรือ?”
“จริงด้วย แล้วมันทำไมบาดเจ็บหนักขนาดนั้น?”
“หรือว่าท้าทายไปถึงด่านที่สามแล้ว?”
“เป็นไปได้อย่างยิ่ง ฟังว่าเมื่อพันปีก่อนมีตัวประหลาดกฎสรรพสิ่งเข้าไป ตอนออกมา สังขารเลือดเนื้อของมันแทบแหลกสลายสิ้น”
เมื่อปรากฏว่าจากนาวาเรืองปัญญามีขยะร่างมนุษย์ร่างหนึ่งถูกโยนออกมา ผู้ชมโดยรอบก็ครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง ส่วนอาวุโสใหญ่รักษาท่าทีดุจน้ำบ่อราวทรราช เปิดเปลือกตาออกสาวเท้าก้าวเดินเข้าไป
กล่าวตามตรง ตาเฒ่าเรืองปัญญาไม่ใช่คนมีอารยะเท่าใด แปดดวงธาตุท่านหนึ่ง ในเมืองเทียนเอินถือเป็นตัวตนยิ่งใหญ่ ในทวีปฉงหลิงยังนับเป็นผู้เข้มแข็งอันหายาก
สุญญาตาเหนือโลก กฎสรรพสิ่งไม่เผยโฉม โลกหล้าทุกวันนี้ มีเพียงกลั่นดวงธาตุที่แก่งแย่งแข่งขัน ส่วนแปดดวงธาตุเองก็นับว่าแตะสัมผัสสู่ขั้นสูงสุดของกลั่นดวงธาตุแล้ว เพียงขาดอสนีบาตทัณฑ์สวรรค์ขั้นสุดท้ายเท่านั้น!
“เจ้าผ่านไปถึงด่านสาม?” อาวุโสใหญ่ยืนขึ้น สายตาทอดมองจวงปี้ที่กองอยู่กับพื้น แววตาสั่นสะท้าน
“เจ้าเกี่ยวอะไรด้วย” จวงปี้รอดตายเส้นยาแดงมาก็ปากกล้าโอหัง ข้ากำลังอารมณ์ไม่ดี ไม่มีเวลามาสนใจใคร
มันไม่ทันได้สังเกตระดับชั้นขอบเขตของอาวุโสใหญ่ ในความคิดของจวงปี้ มันเป็นถึงดวงธาตุขั้นแปด สามารถอวดเบ่งวางท่าทอดตามองเมืองเทียนเอินในฐานะผู้เข้มแข็งสูงสุด ยามนี้เมื่อออกมาจากนาวาเรืองปัญญาได้แล้ว ย่อมเป็นจุดเริ่มต้นแห่งยุครุ่งเรืองของตระกูลจวงแล้ว
“ข้ากำลังถามเจ้า” อาวุโสใหญ่ปิดตากล่าววาจา สะกิดเท้าปราดเดียวพุ่งออกไป
จวงปี้บังเกิดโทสะ โลหิตยังเต็มปาก ไม่ทันสะกดอาการบาดเจ็บก็กล่าวสวนออกไปทันที “ตาแก่ กลับกล้ากล่าววาจาเช่นนี้ต่อเรานายท่าน รู้มั้ยว่าข้าเป็นใคร?”
“แค่ดวงธาตุขั้นแปด นับเป็นตัวอะไร?” กล้ามเนื้อแก้มอาวุโสใหญ่บิดกระตุก บรรดาผู้ฝึกตนที่คอยจับตาดูอยู่ใกล้ๆ ต่างตกตะลึงพรึงเพริด ไม่ว่ากลั่นดวงธาตุหรือพิสุทธิ์ไพศาล ล้วนรีบเหินร่างออกห่างจากจัตุรัส หลีกเลี่ยงหากเกิดการปะทะขึ้น
สำหรับจวงปี้ที่อยู่ใจกลางพายุร้ายนั้นยิ่งสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน ตาแก่ที่ดูไม่สะดุดตาผู้นี้ ในร่างบรรจุแน่นไว้ด้วยพลานุภาพทำลายล้างอันพลิกคว่ำฟ้าดินที่น่าหวาดผวาถึงปานไหน แม้แต่ยามที่มันอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อม เกรงว่ายังไม่อาจต้านทานรับไว้!
“ผู้อาวุโส ข้าผิดไปแล้ว” จวงปี้ตาตื่นในทันที รู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นราดรดศีรษะ
ขึ้นนาวาเรืองปัญญาที่ไร้สิทธิมนุษยชนไปก็พ่ายแพ้ คิดไม่ถึงว่าพอกลับออกมา ไม่ทันได้วางท่ายอดยุทธ์อันใหญ่โตอันใดก็ต้องมาเผชิญกับตัวประหลาดเฒ่าที่สามารถตวัดมือสังหารมันได้ในพริบตาเข้าอีก!
“หยุดพูดจาไร้สาระ เจ้าไปถึงด่านที่สามหรือไม่?” อาวุโสใหญ่ซุกงำรัศมีพลังกลับคืน พลานุภาพไพศาลที่แผดเผาทั่วแปดทิศสลายหายในพริบตา ทว่ากลับไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลน
จวงปี้ผงกศีรษะ
อาวุโสใหญ่ถามซ้ำ “เจ้าไปคนเดียว?”
“ยังมีบุรุษหนุ่มอีกคน ไม่เคยพบเห็นมาก่อน”
“ใช่หนังหน้าหนาเป็นพิเศษหรือไม่”
“โคตรของโคตรหนา ท่านผู้เฒ่าอ้าปากพูดก็ถูกเผง!”
“นอกจากหนังหน้าหนาพิเศษแล้ว ฝีมือยังชั่วช้าสารเลวยิ่งใช่หรือไม่?”
“ท่านผู้เฒ่าช่างมีทิพยเนตร ผู้เยาว์เลื่อมใสนัก” จวงปี้เลื่อมใสจริงจัง อีกฝ่ายช่างเก่งเทพโดยแท้
อาวุโสใหญ่แยกเขี้ยวยิ้ม คล้ายหัวเราะออกมาด้วยความยินดีแล้ว หรือว่านี่จะเป็นเจตจำนงแห่งสวรรค์ เจตนาแห่งนรก…
“ไม่ทราบว่ามันคือใคร?” จวงปี้สงสัยใครรู้ยิ่ง เผ่ามนุษย์เช่นเดียวกัน หากทว่ากลับกำเนิดชนชั้นอสูรมารร้ายระดับทลายประเทศออกมาได้ ตนเองเข้าไปในนาวามาร้อยปี หรือยุคสมัยนี้ล้วนเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
อาวุโสใหญ่เอ่ยตอบอย่างหน้าด้าน “ไม่รู้ เจ้าไฉนยังไม่ไปหาที่รักษาบาดเจ็บ ไม่กลัวเหลืออาการตกค้างหรือ?”
จวงปี้ค่อยสะท้านตื่น ร้อนรนไม่สนใจการพูดคุยอีก รีบทะยานร่างออกจากจัตุรัส ระหว่างทางไม่มีใครกล้าฉุดรั้งมันไว้ ส่วนอาวุโสใหญ่ยามนี้ยืนยันแล้วว่าศิษย์รักของมันเข้าสู่ด่านสาม ไม่แน่ว่า เรื่องราวอาจเป็นไปได้จริงๆ
ดังนั้นมันจึงนั่งลงขัดสมาธิต่อ ไม่ว่าสายลมโชยเมฆขาว หรือสายวิชชุอสนีฟาดทลาย ล้วนไม่อาจเปลี่ยนแปลงท่วงท่าของอาวุโสใหญ่ได้ และเนื่องเพราะอาวุโสใหญ่ถือว่าได้สำแดงแง้มพรายพลังฝีมือออกมาเล็กน้อย กลับไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาถามไถ่ อาจเป็นเพราะล้วนทราบว่าเด็กหนุ่มนั้นเป็นมันพามาแต่แรก
ฝูงชนที่ชุมนุมอยู่ที่จัตุรัส มีบางคนค่อยๆ ลอบออกจากวงล้อม ถ่ายทอดข่าวสารแก่สี่ขุมกำลังใหญ่แห่งเมืองเทียนเอิน
ก้าวเล็กๆ ไม่ย่อท้อ สามารถบรรลุทางพันลี้ สายน้ำหยดไม่ย่อท้อ สุดท้ายรวมเป็นแม่น้ำใหญ่ ทีละก้าวทีละก้าว น้ำหยดลงหินหินยังกร่อน ฉินจิ่วเกอบากบั่นพากเพียร ในโลกแห่งพฤกษาสวรรค์ เดินทางไปได้สามร้อยลี้แล้ว
พลังวิญญาณในอากาศ เข้มข้นจนแทบจะจับตัวเป็นก้อน ด้วยสภาพเช่นนี้ แรงกดดันที่ร่างกายต้องแบกรับไว้ยิ่งเกินรับไหว ที่เดินมาได้สามร้อยลี้ เป็นฉินจิ่วเกออาศัยพลังใจและความเฉียบขาด ตลอดทั้งร่างยามนี้ล้วนเต็มไปด้วยเส้นสายโลหิต ไม่เหลือเนื้อหนังที่ดีแม้แต่น้อย
ขณะที่ฝืนคืบคลาน สังขารก็ดูดซับไอวิญญาณเพื่อฟื้นสภาพเลือดเนื้อและตันเถียน ความสามารถของมนุษย์ไม่อาจมองข้าม เมื่อเดินมาถึงสามร้อยลี้ ฉินจิ่วเกออาศัยการหอบหายใจของมัน เร่งการดูดซับพลังวิญญาณ เติมพลังชีวิตเข้าสู่สังขารอันเหือดแห้ง
ไอวิญญาณอันไพบูลย์อัดแน่น เข้มข้นขั้นสุดยอด ฉินจิ่วเกอสูดมันเข้าไปอย่างกระหาย จุดตันเถียนหมุนวนสั่นสะท้าน จากนั้นพลังวิญญาณหลั่งไหลเข้าสู่ชีพจร แปรสภาพเข้าสู่เนื้อหนัง ถ่ายเทสู่โลหิต กระทั่งทะลวงสู่สมอง
ขอบเขตของมันเริ่มขยับเคลื่อน พันธนาการถูกคลายออก เริ่มทะลวงสู่ขั้นสูงขึ้นไป
ปรากฏประกายสีเขียวขึ้นสุมซ้อนทบทวีเป็นชั้นๆ ในห้วงสมองอย่างพร่ามัวสลัวราง ภายในนั้น คล้ายมหาสมุทรที่ถูกสายฟ้าอาละวาดฟาดทลาย ฉีกกระชากห้วงมิติ น้ำทะเลถูกซัดสาดกระเซ็นออก ส่งเสียงคำรามอย่างดุเดือด และในห้วงมิติที่ถูกเปิดออกนั้น เริ่มปรากฏพัฒนาการของธาตุขึ้น
ถ่างขยายจุดตันเถียน ไอวิญญาณขัดเกลากายสังขาร เปิดหลิงไถที่จุไว้ด้วยห้วงจิต ก็คือพิสุทธิ์ไพศาล!
เมื่อสัมผัสได้ว่าตนเองกำลังก้าวเข้าสู่การทะลวงขอบเขตอีกครั้ง ฉินจิ่วเกอกลับปราศจากซึ่งความรู้สึกยินดีปรีดา เพียงคิดว่าตนเองซวยซ้ำซ้อน ซวยซ่อนเงื่อน โปรดอย่าลืมเลือนไป โลกแห่งพฤกษาสวรรค์นี้ ยิ่งมีพลังสูงยิ่งรับแรงกดมาก กลับอ้างอิงจากพลังของท่านเข้าทดสอบ
ด้วยสภาวะตอนนี้ของตนเอง หากเข้าสู่พิสุทธิ์ไพศาล ยิ่งบรรลุเร็วเท่าไหร่ ยิ่งไร้ประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น
“สมควรตาย ห้ามทะลวงด่าน ห้ามทะลวงด่าน ทนไว้ อดทนไว้ อัดไอวิญญาณพวกนั้นเข้าตันเถียนไว้ให้หมด!” ฉินจิ่วเกอไม่มีวิชากำลังภายในชนิดใดสามารถใช้ในสถานการณ์นี้ ได้แต่อาศัยปฏิกิริยาของร่างกาย บังคับพลังจิตสะกดไอวิญญาณในจุดเส้นชีพจรไว้ จากนั้นค่อยลากดึงถอยหลัง
ผู้ฝึกตน ทุกผู้คนล้วนแล้วแต่คิดกระหายใคร่ทะลวงด่านฝีมือแทบล้มประดาตาย
แต่ฉินจิ่วเกอไม่แสวงหา หากยามนี้ทะลวงขอบเขตขึ้นมา ไม่ต่างจากคิดฆ่าตัวตาย!
หยาดเหงื่อยามนี้ไม่ต่างจากคมมีดกรีดบาดสองแก้ม บนพื้นปรากฏแอ่งนองออกเป็นวงกว้าง สะท้อนภาพใบหน้าอันขมขื่นทรมานขั้นสุดของฉินจิ่วเกอที่ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องตกใจ
สองแขนสองขาสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุม ทั้งหมดล้วนมาจากความปวดแปลบปลาบเสียดแทงกระดูกทั่วร่าง ก่อนเข้าสู่โลกแห่งพฤกษาสวรรค์ เฒ่าเรืองปัญญาบังคับเส้นเสียง ชอนไชเข้าสู่รูหูของฉินจิ่วเกอ
วิถีเต๋าธรรมชาติ มนุษย์สามารถทะลวงฟ้า!
ขอบเขตสองประเภทนี้ ล้วนคือความจริงแท้ หนึ่งคล้อยตามหนึ่งย้อนทวน เพียงขึ้นอยู่กับหนึ่งความคิด สรรพชีวิตล้วนดำรงอยู่อย่างอิสระใต้ฟ้า ล้วนแล้วแต่เป็นธรรมชาติสรรค์สร้างบันดาล ล้วนแล้วแต่คล้อยตามธรรมชาติกฎแห่งเต๋า เป็นการผสมผสานแห่งหยินหยาง อัคคีวารีสองสุดขั้ว ล้วนเป็นการดำรงที่ย้อนแย้งแห่งหลักการ
สองประโยคนี้ ก็คือสภาวะจิตสองประการของผู้ฝึกตน ไม่ว่ามนุษย์เซียนเทพ ถูกรวมอยู่ในนั้นทั้งสิ้น
ขอบเขตแห่งการฝึกตน ล้วนเป็นธรรมชาติฟ้าดินกำหนด เทียบได้กับมนุษย์ย่อมมีสี่รยางค์ (แขนขา) สรรพชีวิตมีเกิดดับ คำชะตาฟ้า ก็คือที่มนุษย์เรียกขานว่าวิถีสวรรค์ ปราณสุริยันกอปรด้วยขั้นต้นขั้นกลาง ขั้นปลายและขั้นสูงสุด เหนือขึ้นไปก็คือการเปิดหลิงไถเข้าสู่พิสุทธิ์ไพศาล
กาลเวลานับล้านปี นับแต่บรรพชนวิญญาณ ชีวิตทั้งหมดล้วนโอนอ่อนคล้อยตามวิถีฟ้า ทว่าฉินจิ่วเกอไม่เคยยินยอมให้วิถีฟ้าพามันทะลวงด่านข้ามขอบเขต กลับยังย้อนฟ้าทวนชีพจร ลากสะกดพลังวิญญาณกลับเข้าตันเถียน แม้ว่ามันจะไม่เคยร่ำเรียนวิชากำลังภายในที่ช่วยโคจรเหนี่ยวรั้งพลังวิญญาณก็ตาม
ไร้เรื่องบังเอิญไม่เกิดเรื่องเล่า ไร้เรื่องพิสดารไม่กำเนิดอสูรกาย ฉินจิ่วเกออาศัยความดื้อด้านของตนเองกระทำเรื่องราวจนสำเร็จ ปิดตายด่านที่กำลังทะลวงเปิดของมันไว้ได้ อยู่ระหว่างระดับปราณสุริยันขั้นสูงสุด ใต้พิสุทธิ์ไพศาล คล้ายได้เปิดประตูด่านย่อยพิสดารอันใดออกมา
และในขณะที่ฉินจิ่วเกอพยายามย้อนทวนกฎเกณฑ์ สะกดการทะลวงขอบเขตอย่างรากเลือด ผู้เฒ่าเรืองปัญญาที่กำลังควบคุมบังคับพลังกดทับอยู่ก็คิดว่าฉินจิ่วเกอกำลังจะบรรลุขอบเขตใหม่ มันยิ่งเพิ่มพูนพลังกดทับไปขั้นพิสุทธิ์ไพศาล ผู้ใดจะคาดฉินจิ่วเกอกลับลากดึงการทะลวงด่านของมันกลับคืนสู่ปราณสุริยันขั้นสูงสุด คล้ายการทะลวงด่านของมันล้มเหลวแล้ว
ผู้เฒ่าเรืองปัญญาปรับยั้งพลังคืนสู่ระดับเดิมอย่างรวดเร็ว ทว่าชั่วพริบตาที่พลังบังเกิดการเปลี่ยนแปลงนั้น ล้วนถูกฉินจิ่วเกอจับสังเกตออกแล้ว
พร้อมกันนั้น มันเองก็เข้าใจในทันที ที่แท้ที่เรียกว่าสามด่านทดสอบทั้งหลายนี่ เป็นผู้เฒ่าเรืองปัญญาคอยควบคุมทั้งสิ้น
เมื่อรู้ความจริง ฉินจิ่วเกอกลับไม่ได้แสดงความรู้สึกออกโดยอารมณ์มุทะลุ กลับกันมันลอบหัวร่อกับตนเอง ในเมื่อเป็นตาแก่เรืองปัญญาควบคุมบังคับ เช่นนั้น มันเองก็มิใช่ว่าไม่มีลูกไม้ใดให้ใช้ออก
ฉินจิ่วเกอกัดฟันยืนหยัด ในมือกำแหวนมิติไว้เหมือนกำไฟฉายส่องแสงสว่างจ้า
ผู้เฒ่าเรืองปัญญานั่งเอกเขนกในห้องศิลา ผมเผ้าแผ่สยาย พลังจิตแผ่ครอบคลุมทั่วทั้งโลกพฤกษาสวรรค์ มองดูท่าทางประหลาดของฉินจิ่วเกอ
มันยืนขึ้นแล้ว แม้จะยืนหยัดขึ้นอย่างเก้ๆ กังๆ แต่ก็ยืนแล้ว ในมือยังกำแหวนมิติ คล้ายคิดงัดไพ่ตายอันใดออกมา
หากเป็นผู้อื่น ผู้เฒ่าเรืองปัญญาย่อมไม่มีทางสนใจ เมื่ออยู่ในเขตอิทธิพลของมันที่ควบคุมไว้ทุกทิศทาง ไพ่ตายอันใดล้วนไร้ประโยชน์
นี่เป็นหลักการที่ใช้กับคนทั่วไป แต่หากนำมาใช้กับคนที่สติไม่สมประกอบ ผู้เฒ่าเรืองปัญญาไม่อาจไม่ระแวงสงสัย
.
.
.