เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 108 มายาพิสดาร
“โอ้? จริงๆ ถ้าเหยาะซีอิ๊วเสียหน่อย รสชาติคงยิ่งเลิศรส” เทียนหมิงเสียแลบลิ้นแคบราวอสรพิษ รวมกับช่วงศีรษะอันเรียวแหลม มันยิ่งดูยิ่งเหมือนผีใต้พิภพที่ผุดโผล่ขึ้นมาหาเนื้อคนกิน
“เช่นนั้น เอาไปนึ่งซีอิ๊วรับประทานน่าจะดี” ฉินจิ่วเกอน้ำตาแทบหลั่งไหลให้กับโชควาสนาอันอาภัพของมัน แค่ตะโกนโหวกเหวกไม่กี่คำ อยู่ๆ ก็ปรากฏศัตรูเก่าโผล่ขึ้นมากลางป่าซะอย่างงั้น
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จงอย่าแหกปากในที่สาธารณะ เกิดเป็นคนอย่าทำตัวเด่นจะดีกว่า คนโง่ก็มีประโยชน์ของความโง่อยู่
“ได้ ข้าจะค่อยๆ ลองลิ้มชิมรสเจ้า” เทียนหมิงเสียรับฟังความเห็น กล่าวจบสาวเท้าก้าวเข้าหาฉินจิ่วเกอ บนพื้นทิ้งรอยเท้าโชกเลือดไว้เป็นทาง คล้ายกับเสียงเพรียกหาแห่งความตาย
ฉินจิ่วเกอบังคับลมหายใจ หดรูขุมขน มิให้เหงื่อไคลไหลออกมา ไอวิญญาณในตันเถียนโคจรหมุนวนเร็วรี่ โอกาสมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากกระทำผิดพลาดแม้เพียงนิด ก็จบสิ้นแล้ว
เทียนหมิงเสียเองก็ไม่กล้าประมาท มีคนมากมายที่เห็นตนก็หวาดกลัวจนแทบเสียสติ แต่เจ้าเด็กนี่ถึงขั้นพูดคุยหัวเราะได้อย่างสุขุม ดูเหมือนหลังกลับจากความตายมาได้ คงผ่านอะไรมามากพอดู
ยิ่งเป็นเช่นนี้ มันยิ่งต้องตาย!
ทันทีที่เทียนหมิงเสียเข้าสู่ระยะสามฉื่อจากตัวฉินจิ่วเกอ แววตาโง่งมของชายหนุ่มก็เปลี่ยนเป็นกระจ่างขึ้นมาในที่สุด แทนที่ด้วยสีหน้าแตกตื่นพรึงเพริด “ดูนั่น มีบางสิ่งอยู่ข้างหลังเจ้า! ”
“เคี๊ยกๆ ” เสียงพิสดารชั่วร้ายดังขึ้นสองครา เหมือนเสียงเหล็กหมาดขัดสีกัน ฟังแล้วระคายหูเหลือรับจนสมองลั่นอึงอล
“หึ๊ย! ”
สามฉื่อ สองฉื่อ หนึ่งฉื่อ! ระยะห่างจากตัวเทียนหมิงเสียและฉินจิ่วเกอเหลือเพียงกระดาษบางๆ กั้นขวาง แล้วความเงียบก็สลายลง แทนที่ด้วยเสียงฝีเท้าย่ำระทึก เสียงหัวใจเต้นระส่ำ
“หมื่นบรรพตค้ำสมุทร! ” พอระดับฝีมือของฉินจิ่วเกอบรรลุถึงปราณสุริยันขั้นสมบูรณ์ พลังวิญญาณของมันเองก็รุดหน้าตามไปด้วย ซึ่งเท่ากับว่าพลังทางวิชายุทธ์ของมันก็เพิ่มพูนขึ้นด้วยเช่นกัน
แรงโน้มถ่วงหนาหนักทาบทับลงจากฟ้า บันดาลให้การเคลื่อนไหวของเทียนหมิงเสียต้องเชื่องช้าลง
จากนั้น ฝ่ามืออสูรยักษ์ข้างหนึ่งก็กวาดกราดมา แหวกแมกไม้เถาวัลย์อันรกชัฏ ครอบคลุมเหนือร่างเทียนหมิงเสีย
ในมือยังกุมบรรทัดตารางนิ้วเอาไว้ พลังวิญญาณของศาสตราบรรพกาลซ้อนทับหนุนเนื่องกัน จนเกิดเป็นคลื่นพลังน่าครั่นคร้าม
จิตสังหารในแววตาเทียนหมิงเสียยิ่งเข้มข้นขึ้นกว่าเดิม ยิ่งพรสวรรค์ของฉินจิ่วเกอโดดเด่นมากเท่าไหร่ มันยิ่งต้องฆ่าอีกฝ่ายให้ได้เท่านั้น ทำถึงขั้นทรมานมันอย่างช้าๆ ไม่ให้มีโอกาสได้ผุดได้เกิดอีกเลย!
หมื่นบรรพตค้ำสมุทรซ้อนทับเคล็ดกิเลนครองฟ้า นี่คือการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของฉินจิ่วเกอ ภายใต้การหนุนเสริมจากศาสตราบรรพกาล สามารถคับเขี่ยวกับพิสุทธิ์ไพศาลขั้นปลายได้โดยไม่เพลี่ยงพล้ำ แต่ภายใต้ฝีมือของเทียนหมิงเสีย ต่อให้ฝ่ายนั้นจะถูกอาการบาดเจ็บแฝงเร้นในอดีตสะกดพลังไว้ส่วนหนึ่ง ยังทำได้รั้งอีกฝ่ายไว้เพียงเสี้ยววินาที
มิผิด เพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น
แต่เวลาเสี้ยววินาทีนี้ ล้วนเพียงพอที่จะเปลี่ยนสถานการณ์ ฉินจิ่วเกอได้เคลื่อนตัวออกจากตำแหน่งเดิมเป็นที่เรียบร้อย พร้อมหันหลังวิ่งหนีลึกเข้าไปในป่า
ครืนนน!
ระหว่างทาง ฉินจิ่วเกอยังตัดโค่นต้นไม้สูงร้อยเมตรไปหลายสิบต้น
ต้นไม้สูงชันพวกนี้ล้มครืน ก่อสุมกันเป็นปราการธรรมชาติ ก่อนจะเทกระหน่ำลงมาดั่งน้ำตกมรกต
เทียนหมิงเสียไล่ตามในเสี้ยววินาทีต่อมา ฝ่ามือปัดม่านน้ำตกมรกตให้พ้นทาง ต้นไม้นับร้อยถูกถอนรากถอนโคนก่อนพุ่งกระหน่ำใส่ฉินจิ่วเกอ
ต้นไม้แต่ละต้นมีน้ำหนักราวเจ็ดแปดร้อยจิน ยามกระทบลงกับพื้น แม้แต่ผืนดินยังต้องสะเทือนไหว รีดเค้นเคล็ดมารมายาถึงขีดสุด ซากต้นไม้พวกนั้นเพียงเฉียดผ่านหนังศีรษะไปเส้นยาแดงผ่าแปด อีกนิดเดียวแม้แต่กะโหลกก็คงไม่เหลือ
ฉินจิ่วเกอกัดฟันกรอด ผ่อนลมหายใจกระชั้น นับแต่เกิดมาไม่เคยรู้สึกอับจนหนทางขนาดนี้มาก่อน
ขอบเขตกลั่นดวงธาตุ นั่นคือเส้นแบ่งแห่งมรรคายุทธ์ ผู้ฝึกตนที่ข้ามพ้นทัณฑ์สวรรค์จนผนึกดวงธาตุทองคำได้สำเร็จ เท่ากับถือครองพลังตัดผ่าภูผามหานทีแล้ว
“สุนัขเฒ่า หากข้ารอดไปได้ละก็ ชีวิตสุนัขเจ้าย่อมตกอยู่ในมือข้าแน่ เศษสวะสังคมอย่างพวกเจ้าข้าจะกวาดล้างมันให้เหี้ยน! ”
ฉินจิ่วเกอแยกเขี้ยวคำราม ภายใต้โทสะ กระดูกภายในยังแทบปะทุออกจากผิว เพลิงโทสะแล่นพล่านอยู่ในโลหิตจนหนังศีรษะชาด้าน แต่ทางด้านหลังกลับมีเสียงกึกก้องกัมปนาทตามมา แมกไม้นับหมื่นถูกถอนรากจนโล่งกว้าง ไม่เหลือที่ให้ชายหนุ่มได้หลบซ่อนตัวอีก
ขึ้นหน้าขึ้นหลัง เบี่ยงซ้ายป่ายขวา เป็นกลยุทธ์การเอาตัวรอดของลิงภูเขา ฉินจิ่วเกอจึงรักษาชีวิตไว้ได้โดยไม่ถูกเทียนหมิงเสียฆ่าตายกับที่เสียก่อน
เทียนหมิงเสียใบหน้าไร้ความรู้สึก การฆ่าคน สำหรับมันล้วนเรียบง่ายเหมือนสูดลมหายใจเข้าออก
ส่วนฉินจิ่วเกอที่ใกล้ตาย จะต่างอะไรกับกวางที่ถูกนายพรานเพ่งเล็ง ไม่ว่าจะวิ่งหนีไปไกลสุดขอบฟ้า อย่างไรก็ไม่มีวันหนีพ้นความตายไปได้!
“ไป! ”
ต้นไม้ขนาดใหญ่ลอยขึ้นเหนือศีรษะอย่างมืดฟ้ามัวดิน ภายใต้ความคิดคำนึงของเทียนหมิงเสีย ต้นไม้เหล่านั้นก็กลายสภาพเป็นพายุที่พุ่งเข้าหาฉินจิ่วเกอ เวลาที่แมวจับหนู พวกมันไม่ชอบตะปบเหยื่อให้ตายในคราเดียว นั่นมันน่าเบื่อเกินไป
จำต้องปล่อยให้เหยื่อดิ้นรนอย่างสิ้นหวังท้อแท้ และถอดใจตายไปในที่สุด มีแต่ทำเช่นนี้ ผู้ฝึกวิชาปีศาจถึงสามารถเคี่ยวกรำจิตใจให้ตายด้านไร้ความเป็นมนุษย์ได้สำเร็จ เป็นการเสริมความแข็งแกร่งและชำระล้างไอทมิฬในร่างให้ผ่องแผ้ว
แคร่ก!
ขี้เลื่อยที่มีขนาดเท่าเม็ดฝุ่น ยามเกาะกลุ่มกัน จะมีอันใดแตกต่างจากคลื่นที่กวาดม้วนอย่างคลุ้มคลั่ง เศษซากแมกไม้ถล่มเข้าหา ต้นไม้โบราณหักโค่นจนผิดรูป แผ่นหลังของฉินจิ่วเกอถูกกระแทกจนบาดเจ็บสาหัส เสียงกระดูกสันหลังลั่นก้องแทบปริแตก
เนื้อตัวมีแต่เลือดเนื้อเลอะเลือน ผิวหนังเปิดถลอกจนเห็นทั้งกระดูกทั้งเส้นชีพจรที่ขาดแหว่ง เหลือเพียงร่างที่แทบจะเป็นโครงกระดูก และดวงตาที่มีแต่เส้นเลือดฝอยแดงก่ำเท่านั้น
แค่กแค่ก
ฉินจิ่วเกอไอระโหยจนตัวโยน ลิ่มเลือดทะลักออกจากริมฝีปากเป็นระยะๆ ที่ร้ายแรงกว่านั้น คือโลหิตที่ฉีดพุ่งออกจากปากแผลข้างหลัง แผ่นหลังของมันตอนนี้เหวอะหวะจนเห็นไปถึงเนื้อเยื่อและกระดูก
ฉินจิ่วเกอไม่กล้านำผลอู๋เลี่ยงออกมาย่อยสลาย เลยฉีกเอาใบไม้ของพฤกษายักษ์ข้างตัวออกมาแทน
อย่างไรเสีย ฤทธิ์ยาในผลอู๋เลี่ยงก็สูงล้ำกว่าโอสถระดับเก้า ถ้ายังดื้อด้านฝืนย่อยสลายอยู่อีก เห็นทีร่างคงระเบิดตกตายไปตรงนั้น
และถึงแม้ตนจะต้องตายจริงๆ ก็ยังต้องทำลายผลอู๋เลี่ยงไปด้วย ไม่อาจให้อีกฝ่ายได้ผลประโยชน์ไปคนเดียว!
นอนแผ่อยู่กับพื้น ฉินจิ่วเกอลมหายใจขาดห้วง หากมีลมพัดมาเบาๆ ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของมันคงไม่พ้นถูกพรากไปทันที
แผ่นหลังของมันเจ็บจนด้านชา ลึกลงไปถึงไขกระดูก น่ากลัวว่าจะแตกหักหมดแล้ว
ฉินจิ่วเกอซ่อนตัวอยู่ใต้ใบไม้ยักษ์โดยไม่ส่งเสียง พลังโอสถอันบริสุทธิ์ค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ร่าง ฟื้นฟูพลังชีวิตของมันอย่างช้าๆ
เทียนหมิงเสียไม่ได้สังเกต ดีร้ายยังไงมันก็เป็นถึงยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุ ต้องลดตัวมาจัดการกับมดปลวกปราณสุริยันก็ถือเป็นกรณีพิเศษแล้ว จะให้มันจับจ้องฉินจิ่วเกอจนครบทุกอิริยาบถอีกหรือ
ยามเสด็จลงสู่หล้า ชีวิตแตกดับตกตาย เทียนหมิงเสียเคลื่อนตัววูบวาบดั่งภูตพราย เพียงพริบตาก็บรรลุถึงเบื้องหลังฉินจิ่วเกอ ท่าทางเหมือนจะแหวกเปิดศีรษะดูดกลืนสมองอีกฝ่ายได้ทุกเมื่อ
ฉินจิ่วเกอได้พักหายใจแม้เพียงเสี้ยวเดียว แต่ใบไม้ยักษ์บนตัวกลับมีฤทธิ์ยาที่นุ่มนวลกว่าที่คาดไว้มาก ความนุ่มนวลย่อมเหนือกว่าความทื่อด้าน ทั้งสายน้ำที่เป็นแหล่งรวมคุณความดีทั้งมวล และกฎธรรมชาติแท้จริง เหล่านี้ล้วนให้ความชุ่มชื้นอย่างละเอียดลออแก่สังขารของฉินจิ่วเกออย่างเงียบงัน
ทันทีที่ฝ่าเท้าของเทียนหมิงเสียเหยียบลงบนผิวดินเปื้อนเลือด นัยน์ตาที่มีแต่เส้นเลือดขอดของฉินจิ่วเกอก็ลืมโพลง จิตสังหารปะทุพลุ่งพล่าน เป็นความโกรธแค้นที่ฝังลึกถึงกระดูก แม้แต่กาลเวลาหรือห้วงมิติก็ไม่อาจลบล้างทำลาย
ความดุดันคั่งแค้นชนิดนี้ แม้แต่เทียนหมิงเสียก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้
อย่างน้อยๆ ดูจากอายุของฉินจิ่วเกอแล้ว ไม่ควรที่จะเป็นไปได้เลย
เด็กคนนี้จำต้องตาย!
เมื่อถูกบีบคั้นจนสุดทาง ฉินจิ่วเกอจึงไม่อาจสนใจถึงผลที่จะตามมาอีกต่อไป ขอเพียงมีชีวิตรอด มันไม่สนอีกแล้วว่าจะต้องสูญเสียอะไร เพียงพริบตาศิลาวิญญาณระดับต่ำจำนวนสองหมื่นก็กลายเป็นไอวิญญาณที่แทรกซึมเข้าสู่ร่าง
วิธีนี้ ต่อให้เป็นชนชั้นกลั่นดวงธาตุเองก็ยังไม่กล้าทำตาม ไอวิญญาณสามารถหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง สามารถชักนำสิ่งมีชีวิตให้เข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตน ในทำนองเดียวกัน ไอวิญญาณที่มากล้น ก็สามารถทำลายดวงจิตจนแหลกสลายไป นอกจากนี้ เส้นชีพจรยังปริแตก จุดตันเถียนล่มสลาย ต่อจากนี้ลืมเรื่องการฝึกปรือไปได้เลย
น้ำคือวัตถุยอดคุณประโยชน์ อันว่าความดีอันสูงสุดประดุจน้ำ แต่ถ้ามากไป ก็ทำให้จมน้ำตายได้เหมือนกัน
วันนี้ ต่อให้ฉินจิ่วเกอไม่ได้ตายด้วยเงื้อมมือของเทียนหมิงเสีย ร่างกายก็จะระเบิดออกจากไอวิญญาณที่ทรงพลังจนเกินไปอยู่ดี หรือก็คือเป็นวิธีลากเอาศัตรูให้ตกตายไปด้วยกัน!
“ฆ่า!” ฉินจิ่วเกอเลือดท่วมตัว แม้แต่คลองจักษุยังถูกเลือดบดบัง เหลือแต่รูทวารทั้งเจ็ดที่ชโลมโชกไปด้วยโลหิต
เทียนหมิงเสียแน่ใจว่าฉินจิ่วเกอเข้าตาจนแล้ว ศิลาวิญญาณระดับต่ำหลายหมื่นก้อน แม้แต่มันเองก็ยากที่จะเอาออกมาได้
แต่เจ้าเด็กนี่ไม่เพียงเอาออกมา แต่ยังกล้าดูดซับไอวิญญาณเข้าไปจนหมด การฝึกตนเน้นย้ำเรื่องการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยเป็นไปและมีแบบแผน จะมีใครบ้าระห่ำอย่างนี้บ้าง?
เทียนหมิงเสียถอยมาตั้งหลัก มองหาจังหวะดีๆ เพื่อกำจัดฉินจิ่วเกอให้สิ้นซาก ต่อให้อีกฝ่ายจะดูดซับศิลาวิญญาณเข้าไปหลายหมื่นก้อน แต่มดปลวกอย่างไรก็ยังเป็นมดปลวกอยู่วันยังค่ำ
ตูมมม!
ชั่วขณะที่เทียนหมิงเสียออกกระบวนท่าโจมตีใส่ ฉินจิ่วเกอก็ตีโต้สวนกลับทันที อย่าได้เห็นว่ามันในตอนนี้อยู่ในสภาพเลอะเลือน ทว่าในใจของมันยังกระจ่างแจ่มใสกว่าคนทั่วไปทั้งมวล มันต้องมีชีวิตอยู่
ศิษย์น้องเล็ก ท่านอาจารย์ พรรคหลิงเซียว ซ่งเล่อ ทั้งหลายเหล่านี้ ฉินจิ่วเกอไม่อาจตัดใจลาจากอีกแล้ว มันในตอนนี้ได้ผสานเข้ากับโลกใบนี้ไปแล้ว!
ชายหนุ่มไม่ยืนรอต่อกรกับเทียนหมิงเสีย ฉินจิ่วเกอหมุนตัวหันหลังวิ่งหนีทันที
จุดเส้นชีพจรน้อยใหญ่นับหมื่นพันทั่วร่างกายยามนี้อัดทอฉาบแน่นไปด้วยวิญญาณหนาทึบราวโคลนเหลว ไหลทะลักเบียดเสียดเข้าสู่ตันเถียน ร้อนเร่าแผดเผาราวหินเหลวผลาญเส้นชีพจร
วูบวูบ!
เคล็ดท่าร่างมารมายาถูกใช้ออกถึงขีดสุด สามก้าวบรรลุห้าสิบเมตร หกก้าวบรรลุไปร้อยเมตร!
ระดับความเร็วของท่าร่างมารมายาของฉินจิ่วเกอในยามนี้ราวกับผสานเป็นหนึ่งเดียวกับมวลอากาศ เงาร่างตกค้างเป็นภาพติดตาติดต่อตามกันไม่ขาดสาย มองดูคล้ายดาวหางลากยาวเป็นทาง
“เด็กน้อย ต่อให้มีลูกไม้อันใด เมื่ออยู่ต่อหน้ากลั่นดวงธาตุแล้ว ดวงธาตุทองคำล้วนสามารถเข่นฆ่าทุกสิ่ง!”
จวบกระทั่งฉินจิ่วเกอหลบหนีออกมาเกินรัศมีห้าร้อยเมตร มุมปากเทียนหมิงเสียค่อยยกยิ้ม นัยน์ตาทอประกายชั่วร้ายวาบผ่าน ภูติผีสุนัขป่าในป่าดึกดำบรรพ์ต่างร้องโหยหวนออกมา ระยะห่างเพียงแค่ไม่กี่ร้อยเมตร เทียนหมิงเสียไม่ขยับเคลื่อนกาย เพียงโบกสะบัดฝ่ามือเบาๆ มวลอากาศม้วนทะลักเป็นมังกรวายุ กะพริบตาม้วนกายาทะยานออก
ตูมตูมตูมตูม!
ไม่ว่าจะป้องกันด้วยวิธีการสลับซับซ้อนปานไหน ไม่ว่าร่างกายจะทรหดสักปานใด ต่อหน้าพลังอันเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว ผู้ฝึกตนที่สามารถควบกลั่นดวงธาตุทองคำได้แล้วนั้น ล้วนสามารถทุบทำลายลวดลายลูกเล่นทั้งหลายเหล่านี้จนพ้นทางไป หนึ่งกำปั้นอันไพศาลฟาดทุบลงใส่กลางหลัง เส้นชีพจรที่เบ่งพองถึงขีดสุดทั่วร่างกายล้วนรับการโจมตีทั้งภายในและภายนอก
เสียงแคร่กแคร่กดังขึ้น ไม่ต่างจากกิ่งไม้ฉีกแตก ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนบีบหัวใจ!
พรู่ดดด
ศรโลหิตทะลักออกจากปากอีกครา ฉินจิ่วเกอสองตาถลนออกจากเบ้า ฟันทั้งหมดแตกแหลกสลาย หน้าผากปูดโปนออก ตลอดร่างถูกกระแทกบนแบนราบ
เจ็บปวด เป็นความเจ็บปวดทรมานเสียดแทงกระดูกเลือดเนื้อ หินหลอมเหลวร้อนผ่าวไหลเวียนตามเส้นเลือด กระจายออกไปทั่วทุกซอกมุมของร่างกายอันยับเยิน กระทั่งท่วมท้นกลบกลืนไปถึงวิญญาณ!
และที่ยิ่งกว่านั้น ก็คือจุดเส้นชีพจรที่ระเบิดแตกสลาย ถูกการโจมตีของเทียนหมิงเสียและไอวิญญาณมหาศาลบดขยี้สิ้น
สิบหมื่นเส้นโลหิตและจุดชีพจร กำลังเร่งแข่งขันกันสลายหายไป!
ปราณสุริยันขั้นสมบูรณ์ ปราณสุริยันขั้นปลาย ปราณสุริยันขั้นกลาง ปราณสุริยันขั้นต้น ชีพจรแตกกระจาย จุดชีพจรสลาย ส่งผลให้ตันเถียนภายในร่างไม่อาจดูดซึมไอวิญญาณได้อีก
พร้อมกันนั้น เสียงคล้ายเม็ดถั่วแตกหักดังแกร่ก กระทั่งตันเถียนเอง ล้วนแตกสลายสิ้น
หลอมวิญญาณขั้นเก้า ก็คือพลังฝีมือของฉินจิ่วเกอในตอนนี้!
“มดปลวก!” หมิงเทียนเสียต้องบังเกิดความประหลาดใจต่อพลังชีวิตของฉินจิ่วเกอไม่น้อย มันเหยียบเท้าย่าวก้าวเท้าลมมรณะ เปลี่ยนตำแหน่งแห่งทิศในพริบตา
ตันเถียน เส้นชีพจร
สองประการนี้ คือชีวิตของผู้ฝึกตน
หากสูญหายไปหนึ่งประการ เส้นทางการฝึกตนของคนผู้นั้นในอนาคต เท่ากับถูกทำลายสิ้น
ยิ่งไม่ต้องกล่าวว่ายามนี้ ทั้งสองประการล้วนไม่มีแล้ว ฉินจิ่วเกอไม่อาจสัมผัสการคงอยู่ของมันได้เลย
พิการแล้ว กลายเป็นผู้พิการไร้วรยุทธ์ไปจริงๆ แล้ว แม้แต่นักปรุงยาขั้นเก้าก็ยังจนปัญญาช่วยเหลือ
“แค่กๆ ” ฉินจิ่วเกอเลือดกลบตัว ท่ามกลางหมอกโลหิต ชายหนุ่มฝืนลุกขึ้นอย่างยากลำบาก
คืบแรก คืบที่สอง ฉินจิ่วเกอเค้นเรี่ยวแรงทั้งหมดก้าวเดินไปข้างหน้า จนกระทั่งผลุบหายเข้าไปในกอหญ้า
ไอน้ำชุ่มชื้นอาบไล้กายา ชะล้างฝุ่นผงและให้ความชุ่มชื่นแก่ริมฝีปากอันแห้งผากนั้น
ด้านหน้าคือชะง่อนผา หรือจะให้ถูกควรเรียกเป็นรอยแยกบนพื้นผิว
รอยแยกนี้แผ่ลามไปทั่วป่าปีศาจสวรรค์นับพันลี้ กว้างร้อยเมตร เหมือนตะเข็บนัยน์ตาอันดำมืดของปีศาจที่ไม่เคยมีแสงสว่างส่องถึง
.
.
.