เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 125 ดีเลิศชั่วร้ายในกำมือ
ดวงหน้าไร้คู่เปรียบของแกนวิญญาณกฎสรรพสิ่งเริ่มแตกสลาย องคาพยพทั้งห้าค่อยๆ พร่าเลือนแตกซ่านเซ็น “ข้าคิดว่าเจ้าทำได้ นี่คือคำขอสุดท้ายของข้า แม้ว่าฐานะผู้ฝึกวิชาปีศาจของข้าอาจทำให้ปราศจากคุณสมบัติเอ่ยปาก ทว่า เผ่าพิสดาร พวกมันล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์!”
ฉินจิ่วเกอสั่นศีรษะ “ขออภัย นี่เกินกว่าที่ข้าจะให้ได้ ข้าไม่อาจรับปากเจ้า”
“เพราะเหตุใด?” แกนวิญญาณที่กำลังพร่าสลายคืนสู่ความองอาจ คล้ายแสงสุดท้ายของอาทิตย์อัสดง สว่างเจิดจ้าเสียดแทงนัยน์ตา ภายในความมืดมิดพลันปรากฏเส้นสายสีทองบางเบาขึ้นเส้นหนึ่ง พุ่งทะลุทะลวงไปทั่วทุกซอกมุม
“ข้าทำไม่ได้”
“หรือว่าเจ้าไม่มีคนที่อยากปกป้อง?” เฒ่าเสียเยว่ตวาดเสียงก้อง คนคราใกล้แตกดับ มันคิดกระทำเรื่องราวสุดท้ายเพื่อคนในเผ่าของตนเอง
ศิษย์น้องเล็ก!
ห้วงสมองของฉินจิ่วเกอพลันคล้ายปรากฏหนามแหลมทิ่มแทง เจ็บปวดจนต้องยกกำปั้นขึ้นทุบอก
มิผิด เผ่าพันธุ์ที่กอปรด้วยสายเลือดมนุษย์ผสมกับสายเลือดอสูร เผ่าพิสดารบนทวีปฉงหลิงนี้ไม่มีที่ให้หยัดยืน!
ฐานะที่แท้จริงของศิษย์น้องเล็ก บางทีในที่สุดย่อมต้องถูกเปิดเผย ถึงตอนนั้น ยังมีที่ใดให้ไป ยังมีที่ใดให้หวนคืน?
พรรคหลิงเซียวย่อมไม่ว่าอะไร อาวุโสใหญ่และคนอื่นๆ เองย่อมไม่มีทางบังเกิดสายตาแปลกแยก
ทว่าสถานที่อื่นเล่า?
หรือว่า ต้องกักขังจองจำเด็กน้อยไร้เดียงสาวัยแรกแย้มไว้ภายในเขาตลอดกาล?
ฉินจิ่วเกอเปลี่ยนใจแล้ว มันครุ่นคิด ความหวังอันต่ำต้อยของมัน คิดสามารถมอบผืนแผ่นดินอันบริสุทธิ์สะอาดอย่างแท้จริงแก่คนที่มันคิดปกป้อง
“ข้ารับปาก” เพียงสามคำสั้นๆ แล่นผ่านหลิงไถพันหมื่นลี้ ประทับลงในจิตวิญญาณ
เฒ่าเสียเยว่ยินดีปรีดา ประสานมือเสกประกายแสงออกมาสี่ดวง “นี่ก็คือคุณไสยกู่บงการเทพที่ฝังอยู่ในร่างของสี่ประมุขขุนเขา เจ้าจงเอาไปใช้ประโยชน์เถอะ ข้าไม่อาจอยู่เห็นโลกในวันหน้าได้อีกต่อไปแล้ว”
ฉินจิ่วเกอรับประกายผนึกทั้งสี่สายมา ภายในศิลาหยกโลหิตปรากฏแมลงยักษ์อัปลักษณ์สี่ตัวหมุนวนอย่างเชื่องช้าเป็นเส้นสาย นี่ก็คือร่างของกู่บงการเทพที่ควบคุมสี่ประมุขขุนเขา
ฉินจิ่วเกอเก็บไว้ในตันเถียนของมันด้วยความขยะแขยงเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงกังวาน “นิ่งเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ ขยับเคลื่อนไหวเป็นราชัน วิถีราชันรวมอยู่ศูนย์กลาง ที่ข้าต้องการเกาะกุม มิใช่เพียงพลังของพวกมันเท่านั้น หากแต่เป็นจิตใจ!”
“ของชิ้นนี้ข้าคงไม่ได้ใช้ หลังออกจากที่นี่ไปได้ข้าจะต้องทำลายมันทิ้ง หากต้องการรวมใจเป็นหนึ่ง ประการแรกต้องให้และอุทิศอย่างไร้ขีดจำกัด หากคิดได้รับความภักดี ต้องหยิบยื่นความจริงใจของตนออกไปก่อน ต่างฝ่ายล้วนเปิดใจ!”
“เจ้าอาจจะถูก” แกนวิญญาณมลายเหลือเพียงเงาร่าง ค่อยๆ สลาย แตกกระจัดกระจายไปทั่วทั้งฟ้าดิน “โลกหล้านับแต่นี้ ไม่มีเสียเยว่อีกต่อไป!”
“น้อมส่งบรรพชนบรรพตสละฟ้า!”
“ชั่วชีวิตนี้ของเราผู้เฒ่า ดีเลิศชั่วร้ายในกำมือ บรรลุกลั่นดวงธาตุ เหยียบข้ามแหวกชำระกายา ล่วงเข้าสู่กฎสรรพสิ่ง! ไร้ซึ่งสำนึกเสียใจใดๆ เมื่อสลายกลางฟ้าดินในวันนี้ ข้าขอมอบกฎเกณฑ์สามประการที่จะช่วยรักษาชีวิตให้แก่เจ้า ถือเป็นของขวัญสุดท้ายแก่เจ้าในฐานะผู้บัญชาการบรรพตสละฟ้าเถอะ!”
สภาวะ ณ ขอบเหวของการล่มสลาย เฒ่าเสียเยว่กลับมิได้ตอบโต้เป็นครั้งสุดท้าย มิเช่นนั้น ฉินจิ่วเกอรับประกันไม่อาจยืนอย่างไม่นำพาเช่นนี้ได้
ผนึกกฎเกณฑ์ที่เฒ่าเสียเยว่รวบรวมพลังชีวิตทั้งหมดรีดเค้นออกมาสามสายร่วงหล่นลงสู่ตันเถียนของฉินจิ่วเกอ
ทุกสายล้วนแล้วแต่เป็นกฎเกณฑ์ขั้นสูงสุดยอดที่เฒ่าเสียเยว่หยั่งทราบ ความมืด ทำลายล้าง และไร้ใจ แผ่กำจายกลิ่นไอมารมรณะอันเย็นยะเยือก
“เด็กน้อย จงระวังพรรคโลหิตจางไว้ จงระวัง” เสียงพร่ำบอกจบลง พลังสามสายที่พุ่งเข้าในตันเถียนก็หยุดลง สำเนียงเสียงกล่าวจางหาย บนโลกหล้าไม่มีเสียเยว่อีกต่อไป!
“พรรคโลหิตจาง?” ไม่นึกว่าวาจาล้ำค่าครั้งสุดท้ายของเฒ่าเสียเยว่ จะเป็นประโยคที่เอ่ยถึงพรรคโลหิตจางนั่นขึ้นมา
นั่นเป็นค่ายพรรควิชาปีศาจ เฒ่าเสียเยว่ยามมีชีวิตเป็นยอดยุทธ์กฎสรรพสิ่ง ไม่แน่ว่ามันเองก็เข้าร่วมพรรคนี้
กู่บงการเทพของมันเองก็มีที่มาจากที่นั่น ฉินจิ่วเกอหวนระลึกได้ว่าคราก่อนที่อาวุโสใหญ่สังหารกลั่นดวงธาตุวิชาปีศาจ ก่อนมันสิ้นใจ ยังเอ่ยถึงจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์โลหิตจางและพรรคโลหิตจาง
ฟังมาว่าพรรคโลหิตจางที่รวบรวมผู้ฝึกวิชาปีศาจทั้งหลายบนทวีปแห่งนี้ ชนชั้นกฎสรรพสิ่ง เพียงเป็นอาวุโสในพรรคเท่านั้น
แล้วไปเถอะ เรื่องราวเหล่านี้ห่างไกลจากตัวมันจนเกินไป ฉินจิ่วเกอรวบรวมจิตสมาธิ ถอนตัวออกจากหลิงไถ สลัดธุลีเรื่องนี้ทิ้งไป
หากคิดกอบกู้เกียรติภูมิและที่ตั้งของเผ่าพิสดาร อันที่จริงเป็นเรื่องยากลำบากจนเกินไป มิใช่เพียงพลังฝีมืออันกดข่มสามารถคลี่คลายได้
เฒ่าเสียเยว่ที่เป็นชนชั้นกฎสรรพสิ่งเอง ยังได้แค่ตั้งบรรพตสละฟ้าแปดขุนเขาสิบเมืองขึ้นมา จึงฝืนรักษาความสงบของเผ่าไว้ได้
ตอนนี้บรรพตสละฟ้า หากรีบร้อนต้องการฟื้นฟูศักดิ์ฐานะเก่าก่อน การมุ่งเน้นด้านการพัฒนาอย่างมั่นคง นั่นจึงจะเป็นหนทางที่ถูกต้อง
ฉินจิ่วเกอออกจากใต้พื้นดิน ยังดีที่การศึกระหว่างมันและเฒ่าเสียเยว่ล้วนเกิดในหลิงไถ กลับมิได้สร้างความเสียหายทางกายภาพแก่ใต้พื้นดิน
สถานที่นี้นับเป็นแผ่นดินทองของผู้ฝึกตน ยิ่งมีคุณูปการมหาศาลต่อชนชั้นกลั่นดวงธาตุ
อีกทางหนึ่ง สี่ประมุขขุนเขายังคงรอคอยอย่างร้อนรุ่ม เดินวนไปมาเป็นวงกลมจนเท้าเกือบด้วนไปแล้ว
“ไฉนยังไม่มีความเคลื่อนไหวอีก เจ้าเด็กนั่นโหงวเฮ้งท่าทางอายุสั้น คงมิใช่ตายไปแล้วหรอกนะ?” ประมุขหลิวปากไวใจเร็ว นั่นก็ไม่แปลก หน้าตาท่าทางมันปากแหลมแก้มลิง หน้าตาเหมือนคนอับโชค
“อย่าได้กล่าวเหลวไหล” ประมุขหยางถลึงตา
ประมุขหลิวไม่พอใจ ยืดอกกล่าววาจา “ข้าไม่ได้กล่าวอันใดผิด เด็กน้อยนั่นตาไม่เป็นตา จมูกไม่เป็นจมูก หากสามารถมีอายุถึงวัยห้าสิบ นับว่าฟ้าเมตตาแล้ว”
ฉินจิ่วเกอสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปไม่น้อย กว่าจะปีนป่ายกลับออกมาจากใต้ดินได้
ครั้งนั้นที่มันหลบหนีออกจากบึงมารมรณามาได้ ล้วนเป็นเฒ่าเสียเยว่แหวกมิติเคลื่อนย้ายออกมา
จนเมื่อมันต้องมาปีนป่ายตะเกียกตะกายจากใต้ดินขึ้นสู่บนพื้น มันจึงได้รับรู้ว่าช่างยากเย็นเข็ญใจถึงปานไหน
สายตามองประเมินระยะทางจากใต้พื้นถึงปากทางเข้ายังอีกไกลห่าง ฉินจิ่วเกอตะกุยดินเหงื่อโซมหน้า สิบนิ้วปลายเล็บล้วนอัดยัดแน่นด้วยเศษดินเศษตะไคร่
ขณะที่กำลังสิ้นเรี่ยวแรง พอดีได้ยินเสียงประมุขหลิวกำลังวิเคราะห์วิจารณ์ตนเอง ฉินจิ่วเกอพลันบ้าคลั่งขึ้นมาทันที
คิดต่อว่ามันอย่างไรล้วนไม่มีปัญหา แค่เรื่องเดียวคือหน้าตาที่มันยอมไม่ได้! คิดหารืออันใดกับมันล้วนง่ายดายยิ่ง มีแค่เรื่องเงินเท่านั้นที่ไม่ง่าย!
นี่ก็คือกฎเหล็กในก้นบึ้งจิตใจของฉินจิ่วเกอ ไม่ว่าเรื่องใด ขอเพียงไม่ล้ำเส้นสองขีดจำกัดนี้ของมันเท่านั้น
ในเวลาส่วนใหญ่ ศิษย์พี่ใหญ่พรรคหลิงเซียวเป็นเพียงกระต่ายน้อยน่ารักไร้พิษภัยเท่านั้น
จู่ๆ ฉินจิ่วเกอก็รู้สึกมีพลังท่วมท้นร่าง ก้าวเท้าสองก้าวเท่าสามก้าว ร่างพุ่งไปดั่งคันศร เหินทะยานขึ้นจากปากทางออกเร็วรี่
ฉินจิ่วเกอร่างเหินลอยกลางอากาศ ยกมือปาดเช็ดเหงื่อไคล ทั่วร่างถูกห่อหุ้มด้วยไอวิญญาณบางเบา “สี่ประมุขขุนเขาบรรพตสละฟ้าฟังคำสั่ง จงรีบไปรวมกันยังห้องโถงใหญ่”
“เกิดอะไรขึ้น?” สี่ประมุขเงอะๆ งะๆ ไม่เข้าใจอย่างสิ้นเชิงว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อแผ่พลังสำรวจภายในบ่อโบราณนั้น กลับพบว่าไอพลังปีศาจและความมืดมิดทั้งหลายกลายเป็นว่างเปล่า ไม่ได้ปิดกั้นการใช้พลังจิตสัมผัสอีก
นี่ก็หมายความว่า ภายในบ่อน้ำยามนี้ ไม่มีคนอยู่อีกแล้ว!
แล้วตาแก่นั่นเล่า? คงมิใช่มันกลืนกินเจ้าเด็กน้อยนี่ไปแล้วหรอกนะ?
“ทำยังไงดี?”
“ก็ตามไปดูน่ะสิ หากกลืนกินจริง พลังฝีมือของมันยามนี้อ่อนโทรมเกินไปหน่อย”
สี่ประมุขได้แต่คาดเดา ได้แต่ติดตามหลังกลับสู่ห้องโถงใหญ่อันเก่าโทรมซอมซ่อห้องเดิม
ในนั้น ด้านบนสุดคือเก้าอี้ประธานประดับมังกรท่องเมฆา ให้ความรู้สึกสะกดข่มเหนือโลกหล้า หากทว่าปกคลุมไปด้วยฝุ่นจับหนาเตอะ
ฉินจิ่วเกอนั่งอยู่บนนั้น เท้าอีกข้างวางบนเก้าอี้ ร่างท่อนบนเอนไปด้านหลัง
เก้าอี้ตัวนั้น มีแต่ผู้นำของบรรพตสละฟ้าจึงมีคุณสมบัตินั่งลง
บนตัวเก้าอี้ ทิ้งร่องรอยกฎเกณฑ์ของเฒ่าเสียเยว่ที่เคยใช้ออก ผ่านไปพันปีไม่ลบเลือน สี่ประมุขขุนเขาล้วนไม่กล้าหันหลังให้
ฉินจิ่วเกอพกพาผนึกพลังแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสามสายไว้ในร่างกาย นั่นเป็นกลุ่มพลังกฎเกณฑ์ที่สุดรวบรัดแหลมคม สามารถสังหารกลั่นดวงธาตุได้
พลังอันเบ็ดเสร็จ จึงสามารถสร้างความเท่าเทียมอันเด็ดขาดขึ้นได้
ฉินจิ่วเกอจ้องมองสี่ประมุขขุนเขาขอบเขตกลั่นดวงธาตุ เอนกายไปด้านหลังพิงอยู่บนเก้าอี้มังกรด้วยท่วงท่าราวอันธพาลน้อย ขาขวาห้อยออกมาด้านนอก
“ตาแก่ ตายซะเถอะ!” สี่ประมุขขุนเขาพุ่งตามติดเข้าสู่ห้องโถง เห็นร่างฉินจิ่วเกอนั่งอยู่บนเก้าอี้มังกรอย่างปลอดภัยไร้อันตราย ยิ่งมั่นใจว่าตาแก่เสียเยว่กลืนกินร่างคนสำเร็จแล้ว
พวกมันล้วนคิดไม่ถึง ฉินจิ่วเกอที่จริงปีนขึ้นจากบ่อมาเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาด
ทั่วทั้งห้องโถงใหญ่มีเพียงเก้าอี้มังกรที่ฝุ่นหนาใยแมงมุมเกาะเต็มไปทั่วนี้เท่านั้นที่สามารถนั่งลงได้ ฉินจิ่วเกอเกรงว่าหากไม่รีบนั่งลง ตนเองอาจจะต้องเหนื่อยจนเสียอาการ
ฉินจิ่วเกอรีบจัดแจงท่านั่งเป็นปกติ ฝ่ามือวางบนหัวเข่า กล่าวถามด้วยความประหลาดใจ “พวกเจ้าเป็นบ้าอะไร ไฉนจู่ๆ ก็ด่าคนขึ้นมา?”
“ตาแก่ เลิกตอแหลได้แล้ว วันนี้พวกเราทั้งสี่ขอเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับเจ้า!”
“ฮ่าฮ่า” แม้จะต้องเผชิญกับแรงกดดันจากสี่กลั่นดวงธาตุ ฉินจิ่วเกอเคลื่อนตันเถียน ควบคุมกู่บงการเทพของสี่ประมุข
สี่ประมุขขุนเขาที่ห้าวหาญทะยานศึกเมื่อครู่ จู่ๆ ก็หยุดฝีเท้า ลมหายใจชะงักค้าง
เมื่อมีวัตถุนี้อยู่ในกำมือ ฉินจิ่วเกอสามารถบงการเป็นตายของทั้งสี่ประมุขได้อย่างง่ายดาย นอกจากชนชั้นกฎสรรพสิ่ง ไม่มีผู้ใดสามารถทำลายพันธะของพลังกฎเกณฑ์ได้!
สี่ประมุขขุนเขาเย็นวาบจากดวงวิญญาณ นี่เป็นพลังที่สามารถดับลมหายใจพวกมันได้ในทันที
“ทั้งสี่ท่าน เฒ่าเสียเยว่สลายหายไปจากโลกนี้แล้ว นับแต่วันนี้ไป ไม่มีนามเสียเยว่อีก” ฉินจิ่วเกออรรถาธิบาย
“ประมุขหลิวตวาดอย่างแข็งกร้าว” ตาแก่ คิดจะฆ่าก็ฆ่า กล่าววาจาโป้ปดไม่ละอายแก่ใจหรือ?”
“ช่างเถอะ พูดมากไร้สาระ กู่บงการเทพทั้งสี่สายนี้สะกดพวกเจ้าไว้นับพันปี สมควรได้เวลาตัดขาดแล้ว เดิมทีข้ายังคิดร่วมจรรโลงบรรพตสละฟ้ากับพวกท่านทั้งสี่ เปิดสถานที่ให้เผ่าพิสดารได้ดำรงชีวิต แต่ตอนนี้ดูจากท่าทีของพวกท่าน พวกเราเก็บข้าวของต่างคนต่างไปเถอะ”
กล่าวจบคำ ฉินจิ่วเกอเคลื่อนพลังวิญญาณบดขยี้สี่ประกายแสงทันที
สี่แมลงคุณไสยสีดำอัปลักษณ์เหนียวข้นที่ถูกผนึกไว้ในอำพันร่วงหล่นลงสู่พื้น ถูกฉินจิ่วเกอใช้หมื่นมารทมิฬกัดกร่อนจนไม่เหลือซาก
พริบตานั้น พันธนาการในร่างของสี่ประมุขขุนเขาคลี่คลายออก ฝันร้ายที่กักขังพวกมันมาเป็นเวลาพันปีสลายหายไปอย่างสิ้นซาก
ไม่ว่าคนมีสติคนใด หากได้ครอบครองกู่บงการเทพ ย่อมไม่มีทางทำลายพันธนาการเด็ดขาด
ที่พวกมันหวาดหวั่นตลอดมา เป็นเพราะกู่บงการเทพที่ถูกฝังลงไปในแกนวิญญาณ สามารถทำลายห้วงสติของพวกมันได้ในทันที
แม้จะไร้ซึ่งแกนวิญญาณแล้ว เพียงสังขารว่างเปล่าของกลั่นดวงธาตุ หุ่นเชิดกลวงว่างเปล่ายังสามารถสำแดงพลังระดับสี่ดวงธาตุได้โดยไม่พ่ายแพ้
กู่บงการเทพ เป็นวัตถุอันตรายถึงชีวิตที่แท้จริง เฒ่าเสียเยว่ย่อมไม่ใจดีมีเมตตาจนถอนคุณไสยด้วยมือของมันเองแน่นอน
“เจ้าไม่ใช่มันจริงๆ ?” ประมุขหยางยามนี้คืนสู่พลังที่แท้จริง ขอบเขตของมันบรรลุถึงขั้นกลั่นดวงธาตุที่แปด คนตื่นเต้นจนสองมือสั่นสะท้าน
ฉินจิ่วเกอยืนขึ้นจากเก้าอี้ประธาน กล้ามเนื้อหน้าขายังรู้สึกปวดล้าจากการออกแรง “เอาล่ะ นับแต่วันนี้ไป ข้าไม่ติดค้างอันใดพวกเจ้าอีก ต่างฝ่ายต่างลบเลือนเรื่องราวแยกย้ายไปในยุทธภพ สลายสำนักบรรพตสละฟ้า พึ่งพาความสามารถของตนหลบหนีเถอะ”
“ช้าก่อน” ประมุขหลิวจูโหวทั้งสาม ยามนี้คืนสู่กลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ด รายล้อมฉินจิ่วเกอไว้กึ่งกลาง
ฉินจิ่วเกอสองแขนราวขาไก่ไขว้กอดอกแน่น ส่งสายตาเตือน “มีอะไร?”
“เมื่อกี้เจ้าบอกว่าจะช่วยจรรโลงบรรพตสละฟ้า เป็นเรื่องจริง?” หากกล่าวว่ามิได้ชื่นชมในความกล้าหาญและพฤติการณ์ของฉินจิ่วเกอ ย่อมเป็นเรื่องโกหก
คนส่วนใหญ่หากได้รับกู่บงการเทพ ย่อมต้องทุ่มหินใส่คนจมน้ำ ใช้ประโยชน์จากพวกมัน
กลั่นดวงธาตุระดับสี่ สามารถกระทำเรื่องราวมากหลาย บนผืนทวีปนี้ไม่มีใครมองข้ามพลังอำนาจนั้น
ทว่าฉินจิ่วเกอ ทั้งไม่ใช้ประโยชน์พวกมันจากผนึกนั้น และยังเป็นคนสลายพันธะออกเองอีกด้วย
พฤติการณ์เช่นนี้ ในสายตาของสี่ประมุข ย่อมต้องแตกตื่นประทับใจยิ่ง
ผู้ใดจะคาด ฉินจิ่วเกอกลับสั่นศีรษะปฏิเสธ ทำสายตาเหมือนคนเป็นอัลไซเมอร์ “จรรโลงบรรพตสละฟ้าอันใด เฒ่าแซ่หนิว เจ้าหลอนแล้ว ข้าบอกว่าต่างฝ่ายต่างเก็บข้าวของ สลายบรรพตสละฟ้า ล้วนซุกหางหลบหนีราวหนูให้หมดสิ้น”
“เป็นไปไม่ได้ เมื่อครู่เจ้าบอกออกมาแล้ว เจ้าจะจรรโลงบรรพตสละฟ้า ช่วยเหลือเผ่าพิสดารทั้งหมด!