เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 130 เถาวัลย์เก่ายังเลื้อยรัดพันไม้ใหญ่
มองดูประมุขน้อยเบิ่งตากว้างโต ใบหน้าแดงเห่อ มือเท้าสั่นเทิ้มไม่หยุด ราวกับขอทานที่ถูกรางวัลใหญ่ ตื่นเต้นยินดีจนแทบโบยบินขึ้นฟ้า
ต่อหน้าชาวประชาสละฟ้า ประมุขหยางแสร้งตีหน้านิ่งทำเป็นหูหนวกตาบอดไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น แต่ในใจกลับลอบตบหน้าอีกฝ่ายซ้ายทีขวาทีอย่างเงียบๆ
จิตใจของมันช่างต่ำช้าไร้ยางอายเหลือรับ เห็นอยู่ว่าตัวเองสามารถเข้าไปหยุดการต่อสู้ได้แท้ๆ ต้องรอจนผู้อื่นก่อกวนเรื่องราวขึ้นมาก่อน ไร้ยางอายเกินไปแล้ว
คนอื่นๆ มาดูความเร้าใจนั้นยังพอเข้าใจได้
แต่บรรพตสละฟ้าแห่งนี้เกินกว่าครึ่งล้วนเป็นของเจ้า มีคนต้องการทำลายเวทีเจ้า แต่เจ้ากลับร่วมวงรับชมความสนุกไปกับเขาด้วย นี่มันจะเกินไปหน่อยแล้วกระมัง
หน้าหลุมแยกขาเป็นท่านั่งม้า พลังพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดระเบิดออกรอบด้าน
มือซ้ายเปลี่ยนเป็นนิ้วเพชร มือขวากำรวบเป็นกำปั้น ยอดกระหม่อมปรากฏแสงสีทองสามชั้น ไอพลังควบผนึกในตันเถียนสำแดงเคล็ดกำลังภายในระดับสี่ออก
แต่ลาหัวล้านที่อยู่ตรงข้ามกับเจ้าหน้าหลุมเมื่อเห็นกระบวนท่านี้กลับไม่ได้แตกตื่นตกใจ คนสำแดงท่ากระเรียนขาเดียว สองมือจรดเป็นท่าพิสดาร ตาจดจ่ออยู่ที่ปลายจมูก
เจ้าหน้าหลุมกระดิกนิ้วเพชรเป็นเชิงท้าทายพร้อมป่าวร้องว่า “เข้ามา! ข้าจะแทงเจ้าให้พรุนเลยคอยดู! ”
“เพ้ย! ” ถ่มถุยน้ำลายคราหนึ่ง “ดูท่ากระเรียนทองคำข้าซะก่อน ฮึกเหิมดั่งตะวันแรกเบิกฟ้า แน่จริงก็เข้ามารับความตายแต่โดยดี! ”
“ดุเดือดเลือดพล่านอะไรเช่นนี้! ” เหล่าคนดูต่างชี้มือชี้ไม้วิจารณ์ สีหน้าแตกตื่นตะลึงลาน
มวยวัดกลางถนนนี้ กลับกลายเป็นศึกนองเลือดไปแล้ว พิสุทธิ์ไพศาลสองคนหมายจะฆ่าจะแกงกัน โชยกลิ่นคาวเลือดมาแต่ไหน ไม่มีใครกล้ารับชมดูตรงๆ
“แบบนี้ก็เรียกประลองยุทธ์ด้วย? ” ฉินจิ่วเกอโง่งมแล้ว พวกเจ้าอย่ามัวแต่ทำสงครามน้ำลายอยู่เลย รีบลงมือกันได้แล้ว!
ได้ยินค่ำร่ำลือมานานว่าในโลกผู้ฝึกตนมีผู้ฝึกตนอิสระปะปนอยู่ในยุทธภพด้วย ผู้ฝึกตนจำพวกนี้ล้วนมีพฤติการณ์แปลกประหลาดบุคลิกลักษณะพิสดาร แถมกระบวนท่าที่ใช้ก็แตกต่างไปจากพรรคสำนักมาตรฐานทั่วไป
แต่เดิมฉินจิ่วเกอยังเฝ้าหวังตั้งตาคอย แต่ใครจะคาดกลับต้องมาเห็นพวกมันพ่นน้ำลายใส่กันไปมาแบบนี้
“ดูนี่! ” เจ้าหน้าหลุมเปลี่ยนกระบวนท่า สองมือเปลี่ยนลักษณ์เป็นท่าเหยี่ยวตะปบกระต่าย “ไข่เจ้าสองใบแหลกคามือข้า! ”
“ข้ากระโดดขึ้นฟ้า พิสุทธิ์ไพศาลไต่ทะยานขึ้นสูงเรื่อยๆ สูงอีก สูงอีก สูงจนไม่มีใครเทียม! ” ลาหัวล้านแก้กระบวน แต่ตัวยืนนิ่งไม่ขยับ มีแต่ปากที่ออกกระบวนไม่ได้หยุด สำแดงศักดาผ่านวาจาพ่นจากปาก
“ต้องอย่างนั้นซี่ ยอดเยี่ยมจริงๆ เชียว! ” ฝูงชนรอบด้านปรบมือกรูเกรียว ทุกคนดื่มด่ำไปกับศึกสะท้านฟ้าตรงหน้า รับฟังจนใบหน้าเต็มอิ่มชื่นบาน
ส่วนฉินจิ่วเกอโง่งมแล้วจริงๆ กล้ามเนื้อทุกมัดบนใบหน้าล้วนแข็งทื่อไม่ขยับ “นะ.. นี่น่ะหรือศึกตัดสินเป็นตายระหว่างผู้ฝึกตนอิสระ? นี่ก็นับเป็นผู้ฝึกตนด้วย? แบบนี้มันสงครามทารกชัดๆ! ไม่สิ แม้แต่สงครามทารกยังต้องออกหมัดเตะเท้าสักสองสามท่า แต่เจ้าสองคนนี้กลับเอาแต่ยืนรากงอก ไม่ขยับเลยสักกระผีกริ้น!”
ประมุขหยางยืนปักหลั่นอยู่ข้างหลัง กล่าวอธิบาย “ประมุขน้อย นี่ก็คือรูปแบบการดวลขนานใหม่ของเมืองอวี่เกอเรา เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไร้ซึ่งมลภาวะ ไม่เพียงรับชมแล้วอุ่นเอิบ ยังตื่นตาตระการใจอีกด้วย”
ล้อกันเล่นแล้ว กฎเหล็กที่กลั่นดวงธาตุขั้นแปดวางไว้ ผู้ฝึกตนอิสระพวกนี้ต่อให้กินดีเสือมา ก็ยังกล้าตบหน้าตัวเองเท่านั้น
บนหน้าปรากฏเป็นรอยยิ้มบาน ยิ้มจนตาหยี รอให้ประมุขน้อยกล่าวชมเชยตนสักหลายประโยค อาทิเช่นเจ้าช่างรู้จักนำทางผู้คน ใช้สอยทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น
ใครเล่าจะคาดฉินจิ่วเกอกลับเผยสีหน้าชิงชังคั่งแค้น ทรวงอกหอบสะท้อนหนักหน่วงยากหายใจอยู่ครึ่งค่อนวัน “น้องสาวเจ้าเถอะ พับผ่าสิ!”
ประมุขหยางกวาดตามองไปรอบๆ อย่างถี่ถ้วน มันแน่ใจว่าตัวเองไม่มีน้องสาวต่างมารดาที่ไหน เหตุใดประมุขน้อยถึงเอ่ยออกมาเช่นนี้ ช่างน่าพิศวงแท้
ศึกสงครามทางฝีปาก ใครก็ทำได้หรือเปล่า หากถึงรอบตนเองขึ้นเวทีขึ้นมา เริ่มแรกก็ใช้ท่าเกี่ยวจันทราก้นสมุทร ต่อด้วยลิงขโมยลูกท้อ
จากนั้นค่อยใช้คัมภีร์ทานตะวันมะรุมมะตุ้มใส่ เจ้าพวกผู้ฝึกตนอิสระพวกนี้ไม่ตายไม่เลิกรา
ชักจะรู้สึกว่าตัวเองสามารถปกครองทวีปฉงหลิงได้ขึ้นมาเลย
หากศึกระหว่างผู้ฝึกตนตัดสินกันด้วยฝีปากละก็ เชื่อว่าศิษย์น้องรองล้วนไม่ใช่คู่มือของมันแน่
“เจ้าคนบาป! ” ชี้นิ้วใส่ประมุขหยาง ฉินจิ่วเกอเอ่ยด้วยน้ำเสียงชอบธรรม
“อ๋า? ” ด้วยสีหน้าระทมขมขื่นใจ ประมุขหยางไม่อาจเข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิด
ฉินจิ่วเกอถอนใจยาว “เจ้าว่านี่คือการบริหารจัดการ? แบบนี้เขาเรียกการพรากเอาวัฒนธรรมสุนทรียะไปจากทวีปฉงหลิงเราต่างหาก ความผิดบาปนี้จะติดตัวเจ้าไปยันชั่วลูกชั่วหลาน ยามตกตายล้วนถูกตอกตรึงเผาร่างจนมอดไหม้ทั้งเป็น! ”
“ประมุขน้อยวางใจได้” ประมุขหยางเข้ามากระซิบข้างหู มันแน่นอนเตรียมการไว้แล้ว “ตอนที่เราดำเนินการ ล้วนทำในชื่อของประมุขน้อย จึงไม่เกี่ยวอะไรเลยกับพวกเรา”
พรู่ดด!
ฉินจิ่วเกอแทบกระอักเลือดเก่าออกมาสามลิตร “เจ้าหมายความว่ายังไง? ”
ครั้งนี้ ประมุขหยางเป็นฝ่ายมองมันด้วยสายตาแปลกพิกล “ก็ท่านคือประมุขน้อยบรรพตสละฟ้าเราน่ะสิ! ทุกอย่างที่พวกเราทำล้วนเป็นไปตามประสงค์ของท่าน นั่นรวมถึงการจัดตั้งกองโจร การปฏิรูปสุขาอนามัยทั้งหลายแหล่”
ฉินจิ่วเกอสูดลมหายใจหนาวเหน็บเข้าปอดเจ็ดครั้งครา หูหัวอื้ออึงไปหมด ยามหายใจออกกลับพ่นออกมาได้เพียงหกลมหายใจครึ่ง
อีกครึ่งลมหายใจที่เหลือ ยังติดคาอยู่ในลำคอ จะขึ้นก็ขึ้นไม่ไหว จะลงก็ลงไม่ได้
สวรรค์! คนต้นคิดอุบายชั่วร้ายพวกนี้ก็คือข้า แต่สุดท้ายคนที่ลงมือก่อการก็คือพวกมันต่างหาก
ไม่นึกว่าจะถูกหักเหลี่ยม โดนลูกน้องก่อวีรกรรมโดยแอบอ้างชื่อตัวเองบังหน้า
คิดแล้วก็คว้าหมับเข้าที่คอเสื้อประมุขหยาง หัวใจมันช่างบีบรัดร้าวราน โฮฮฮฮ หมดกันชื่อเสียงที่สั่งสมมา!
“เจ้าคงจะไม่ได้ร่อนภาพของข้าไปทั่วด้วยหรอกนะ? ” ตอนนี้มันกลัวจนจะปัสสาวะราดอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าต่อจากนี้ ทุกครั้งที่ตนออกไปข้างนอก จำต้องเตรียมใจถูกคนเข้ามาปะทะได้ทุกเมื่อหรอกหรือ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนปฏิรูปสุขาอนามัยนั่น ผู้ฝึกตนทุกคนที่เคยเข้าใช้บริการ มีหรือจะไม่อยากฆ่ามันหมกส้วม!
ประมุขหยางส่ายหน้า “ยังก่อน เพียงแต่ทุกครั้งที่พวกเราดำเนินการ ล้วนป่าวประโคมถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของประมุขน้อยท่านไปด้วย ตอนนี้ยามที่มีคนเอ่ยถึงประมุขน้อยในเมืองนี่มันช่าง…….”
“ช่างอะไร?” ฉินจิ่วเกอโพล่งออกมารวดเดียวในเวลาครึ่งอึดใจ เป้าหมายความเป็นสุภาพชนในใจแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ
ประมุขหยางเอ่ยวาจาอย่างมีจังหวะจะโคน จะขาดก็แค่ตีกลองควบคู่ไปด้วยเท่านั้น “มันช่าง.. ยามเด็กได้ยินก็ร้องไห้น้ำมูกยืด ยามผู้ใหญ่ได้ฟังก็ชักกระตุกจนตัวสั่น หากหมาวิ่งผ่านก็ต้องหยุดยืนไม่กล้าขยับ หากหนูมุดผ่านก็ต้องหยุดยืนไม่กล้ากระโดด ผู้ฝึกตนอิสระพอได้ฟังก็ต้องหัวโกร๋น ผู้ฝึกตนวิชาปีศาจพอได้ฟังก็ต้องวิ่งหนีกลับบ้าน”
“พอแล้ว! ” ฉวยโอกาสที่ตอนนี้โด่งดังเพียงในนาม ไม่เห็นตัวคน ฉินจิ่วเกอรีบมุดหัววิ่งปรู๊ดหนีไปท่ามกลางสายตาสลับซับซ้อนของฝูงชน
ฉาวโฉ่นัก ที่พูดน่ะไม่ใช่ผู้ฝึกตนวิชาปีศาจหรอก แต่เป็นตัวมันเองนี่ล่ะ!
หลังกลับมาโดดเดี่ยวเอกาอยู่ในสวน ฉินจิ่วเกอก็ทรุดตัวลงบนเก้าอี้โยก ใบหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวังระทมทุกข์ ในสมองผุดภาพการต่อสู้เป็นตายระหว่างผู้ฝึกยุทธ์อิสระขึ้นมา เสียดสีดีแท้
ตอนนี้ ฉินจิ่วเกอไม่คิดออกไปไหนทั้งนั้น คิดแต่จะนั่งจมปุ๊กมันอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวก็คงหลับไปเอง
สี่ประมุขเห็นท่าทีแปลกประหลาดของฉินจิ่วเกอก็รู้สึกสงสัย แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปถาม
หลังควานหาตัวอยู่ครึ่งค่อนวัน ก็ประจวบกับที่หลงเฟิงเสร็จจากงานกลับมาพอดี สี่ประมุขจึงรุมล้อมเข้ามาโดยไม่มีเจตนาดี ผลักไสให้เจ้าเด็กน้อยเข้าไปรับหน้าแทน
ภาพลักษณ์ของประมุขน้อยในใจหลงเฟิงก็ยังคงเป็นภาพของภัยพิบัติอันเลวร้าย เป็นต้นตอแห่งความชั่วร้ายทั้งปวงในโลก
“ประมุขน้อย ท่านเป็นอะไรไปแล้ว? ” หลงเฟิงผู้ซ่อนตัวอยู่ไกลลิบ เอ่ยถามมาเสียงเบาหวิว ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายอาจกระโดดงาบหัวตนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ฉินจิ่วเกอเอนกายอิงหมอนหนุน ผินหน้ามาอย่างไม่สู้ดี “แล้วเจ้าไปทำอะไรตั้งไกล อย่าบอกนะว่ากลัวข้ากัด? ”
“มันก็ไม่แน่นี่” หลงเฟิงพึมพำ
ฉินจิ่วเกอเจ็บศีรษะหนักข้อขึ้นกว่าเดิม แทบจะเฮดบัตเจ้าเด็กมังกรหัวสุนัขนี่ให้สมองไหลตายไปเลย
เพียงแต่จากเขาบนหัวของมัน ดูแล้วคนที่จะสมองไหลก็คือตัวมันเอง ประมุขโหวย่องเข้ามาอย่างระแวดระวัง จากนั้นค้อมตัวลงถาม “ประมุขน้อย ท่านสีหน้าไม่สู้ดีเลย เกิดอะไรขึ้น? ”
ฉินจิ่วเกอขี้คร้านเกินกว่าจะใส่ใจพวกมัน ชื่อเสียงข้าป่นปี้หมดแล้ว!
“ขอเพียงท่านระบายมันออกมา ไม่แน่ว่าพวกเราอาจสามารถหาทางออกให้ท่านก็ได้?” ประมุขโหวปลอบใจ
ฉินจิ่วเกอลืมตาโพลง รัศมีพลังกลับกลายเป็นมีกำลังวังชาขึ้นมาทันควัน “ข้าอยากได้ศิลาวิญญาณเยอะๆๆ พวกเจ้าหามาให้ข้าได้หรือเปล่าล่ะ?”
“บ๊ะ ทรัพย์สินทุกสตางค์ของบรรพตสละฟ้าเราล้วนทุ่มให้กับเมืองอวี่เกอไปหมดแล้ว ยังจะมีที่ไหนเหลืออยู่อีก” หลงเฟิงยกมือเท้าสะเอว ตอกกลับเจ้าคนปัญญาอ่อนตรงหน้าอย่างไม่เกรงใจอีก ปากว่าอยากได้เงินๆ แต่กลับมานอนตีโพยตีพายอยู่ตรงนี้เนี่ยนะ
จบกันๆ ยิ่งได้ฟังศีรษะก็ยิ่งปวดร้าว ฉินจิ่วเกอปิดตาลงอย่างรวดร้าว ดิ้นพร่าดๆ อยู่บนเก้าอี้เหมือนปลาขาดน้ำ รู้สึกสิ้นหวังต่อโลกสีเทาหม่นใบนี้อย่างที่สุด
“อย่าลืมว่าเจ้ายังติดเงินข้าอยู่สิบล้าน ขืนยังล่วงเกินข้าอยู่อีก ระวังจะถูกข้าขายทอดใช้แรงงานขุดเหมืองขุดดินจนหมดแรงตายไปเลย!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงดี ท่าทีของหลงเฟิงก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ กลับกลายเป็นมีมิตรไมตรีขึ้นมาทันควัน เหมือนกับชาที่ถูกบดเคี่ยวจนได้ที่
แววตาที่ใช้มองฉินจิ่วเกอก็กลายเป็นเป็นนิ่มนวลอ่อนหวาน แลดูเชื่องเชื่อเป็นอย่างยิ่ง
แม้แต่เขาแหลมบนหัวเองก็ยังดูกลมมนขึ้นมาทันตา
หากฉินจิ่วเกอก็ไม่ได้เบี่ยงหน้าหนี “กลั่นดวงธาตุประสาอะไร แม้แต่ศิลาวิญญาณก็ยังควักออกมาไม่ได้ เสื่อมเสียหน้าตาของโลกุตระจริงๆ”
ในฐานะผู้มีประสบการณ์ ประมุขโหวจุ๊ปากจิ๊จ๊ะ คล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ แต่เรื่องนี้ไม่อาจป่าวประกาศอย่างโฉ่งฉ่าง ดังนั้นก็เลยเอ่ยเสียงกระซิบกระซาบ “ประมุขน้อย ท่านใช่รู้สึกอึดอัดคับข้องจนหายใจไม่ออกหรือไม่?”
ฉินจิ่วเกอก่นด่าในใจ ทั้งชื่อเสียง ทั้งศิลาวิญญาณของปู่น้อยเจ้ายังไม่ทันสั่งสม กลับถูกบ่อนทำลายไปไม่น้อย หากไม่ใช่รอทุนคืนอยู่ละก็ ป่านนี้คงบ่ายหน้ากลับไปหาน้องรอง ผันตัวไปเป็นผู้ติดตามของพระเอกไปแล้ว
“ลมใบไม้ผลิโชยผ่านเนินเขาไสล เถาวัลย์เก่าเลื้อยรัดพันไม้ใหญ่* ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงข้าอายุเยาว์เปี่ยมกำลังวังชา แน่นอนว่าย่อมอึดอัดจนหายใจไม่ออกแล้ว!”
สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมกับข้า! ใครมันจะกล้าออกไปเพ่นพ่านได้อีก
ทั้งกลัวว่าจะถูกคนจำได้ ทั้งกลัวว่าจะถูกคนถ่มน้ำลายใส่ด้วยความพิโรธโกรธา จนจมกองน้ำลายตาย
“อ๊ะ! ” ประมุขโหวที่จู่ๆ ก็ไอคิวพุ่งกระฉูดพลันรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง คล้ายพลันได้รับแสงแห่งปัญญา
หลังคว้าตัวหลงเฟิงออกมา ประมุขโหวก็สุมหัวกับคนทั้งสาม “ข้ารู้แล้วว่าประมุขน้อยป่วยเป็นโรคอะไร”
สามประมุขขุนเขาไม่กล้าทำใจเชื่อ สติปัญญาของเหล่าโหวสูงขนาดนั้นเชียว?
“ป่วยเป็นอะไร”
“โลกเป็นสีชมพู ป่วยเป็นไข้ใจ! ” ประมุขโหวประกาศด้วยสีหน้าของผู้มากประสบการณ์ที่มองทะลุปรุโปร่ง จากนั้นก็ระเบิดหัวเราะอย่างชั่วร้าย เรียกเสียงฮือฮาจากสามประมุขที่เหลือ
ลืมคิดไปได้ยังไง วัยหนุ่มสาวกระปรี้กระเปร่าคึกคัก ใช่เลยเวลานี้เลย
อีกทั้งดูจากพฤติการณ์ของฉินจิ่วเกอ ทั้งต่ำช้าทั้งโสมม เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่พวกมีจิตใจขาวสะอาด
ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นไปได้ แต่ถ้าเป็นแบบนั้นก็งานหยาบแล้ว เพราะในบรรพตสละฟ้าแห่งนี้ไม่มีศิษย์สตรี ดูเอาจากนิสัยการเลือกกินของประมุขน้อย ก็รู้ได้ทันทีว่าเรื่องนี้ย่อมมิใช่เรื่องดีงามเป็นแน่
“ง่ายนิดเดียว ส่งหลงเฟิงไปแทนเสียก็สิ้นเรื่อง”
ฆ่าคนวางเพลิง สี่ประมุขขุนเขาล้วนกล้าทำ แต่ถ้าเป็นเรื่องกระทำชำเราอันเสื่อมเสียชื่อเสียง ยังคงมอบให้ศิษย์น้อยไปทำหน้าที่แทนจะเหมาะสมกว่า
หลงเฟิงหน้าถอดสี มันเป็นคนเย็นชาดั่งน้ำแข็ง นอกจากพร่ำเพียรฝึกฝีมือจนลืมวันลืมคืนแล้ว เรื่องทำนองนี้มันไม่ประสาเลยแม้แต่น้อย
มันยังอายุไม่ถึงร้อยปีด้วยซ้ำ หากว่ากันตามอายุขัยหนึ่งพันปีของกลั่นดวงธาตุ มันยังนับว่าเป็นเด็กคนหนึ่งอยู่เลยนะ!
“ปะ.. เป็นข้าไม่ได้หรอก! ” หลงเฟิงถอยกรูด หน้าแดงก่ำ
“ไม่ได้ก็ต้องได้! ” สี่ประมุขถลึงตาใส่
เมื่อถูกต้อนจนมุม หลงเฟิงจึงได้แต่ต่อรองเสียงละห้อย “สุกรตัวนั้นที่เราเลี้ยงไว้หลังสวนก็อวบอัดสมบุกสมบันดี ไยต้องลำบากไปหาที่ไหนอีก? ”
สี่ประมุขหันหลังให้หลงเฟิงแล้วจับกลุ่มปรึกษากันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นยืดตัวตรง หันหน้ามาพร้อมส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียงกันแล้วกล่าวว่า “ไม่ได้! ”
“ข้าไม่ถนัดเรื่องพวกนี้จริงๆ นะท่าน! ” หลงเฟิงร้องโหยหวนกุมเขาตัวเองอย่างรวดร้าว
“นี่ไม่ง่ายเลยจริงๆ ” ประมุขหลิวเอ่ยอย่างมีประสบการณ์ “ไม่ใช่ว่าช่วงนี้มีค่ายสำนักจากเผ่ามนุษย์มาคอยป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ บรรพตสละฟ้าเราหรอกหรือ เจ้าก็ไปเลือกคนที่ดูเข้าท่าหน่อยแล้วฉุดนางมาซะ”
“ศิษย์ที่สามารถออกหาประสบการณ์บนชายแดน จะต้องมาจากค่ายสำนักที่ไม่ต่ำทรามแน่” ประมุขจูใคร่ครวญพลางเอ่ยเตือน
“พอเสร็จเรื่องก็ปาดคอแล้วเผาทิ้งมันซะเลย ต่อให้เป็นประตูหายนะก็สืบสาวอะไรไม่เจอหรอก ชายแดนก็เป็นแหล่งชุลมุนอึกทึกอยู่แล้ว มีคนตายไปสักคนจะมีอะไรแปลก” ประมุขหลิวฮึ่มฮั่มอย่างไม่แยแส
—————————-
*หมายถึงยามถึงฤดูแห่งความรัก แม้แต่เถาวัลย์เก่า (คนแก่) ยังรู้จักเกี้ยว