เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 133 วิธีการเปิด
“ล้อกันเล่นหรือเปล่า ปู่น้อยเจ้าไม่ได้ย่างเท้าออกนอกประตูเลยแม้แต่ก้าวเดียว! ” คนที่รู้สึกไม่เป็นธรรมด้วยเหมือนกัน ก็คือฉินจิ่วเกอ “สภาพอย่างเจ้า ต่อให้เดินหกล้มอยู่กลางถนนก็ยังไม่มีใครเหลียวแล คุณภาพระดับข้า แม้แต่ยามเข้าซ่องก็ยังไม่ต้องจ่ายเงินสักแดง! ”
ประกายเย็นเยียบยาวสามชุ่นถูกหมุนควง ติงหลันก็เสือกอาวุธในมือเข้าใส่ศีรษะหนาๆ ของอีกฝ่าย “ไอ้คนต่ำช้าไร้ยางอาย! ”
หลังบรรลุพิสุทธิ์ไพศาล การหยั่งรู้ในโลกแห่งจิตก็รุดหน้าไปอีกสามส่วน
ก่อนที่ศาสตราบรรพกาลจะเด็ดหัวตัวเองไป ฉินจิ่วเกอก็กลิ้งหลบออกมาได้อย่างฉิวเฉียด แต่ก็ถูกคมอาวุธเย็นยะเยียบเฉือนผ่านผิวหนัง
“เพ้ย นี่เจ้าเอาจริงเรอะ”
ฉินจิ่วเกอหลบฉากมือลูบแขนป้อยๆ เคลื่อนตัวงุ่นง่านไปตามความมืด
“เจ้ามันนางมารปีศาจเขาตะวันตก ยายแก่แม่น้ำมรณะ สุดยอดมนุษย์ป้ามนุษย์น้ามนุษย์ยาย เอวใหญ่เท่าห่วงยาง ยังกล้าออกมาอาละวาดไล่ดูดไอพลังหยางจากบุรุษรูปงามอายุเยาว์ ความผิดมหันต์ไม่อาจละเว้น!”
“คอยดูว่าข้าจะไล่ผีร้ายอย่างเจ้ายังไง! ” หลังตวาดด้วยความชอบธรรมไปคราหนึ่ง ฉินจิ่วเกอก็ถูกหมัดลุ่นๆ กระแทกเข้าใส่อีกเต็มรัก ทำเอาแก้มบวมเป่งไปครึ่งแถบ
ติงหลันบุกตะลุยเข้ามาเหมือนวัวคลั่ง ออกหมัดออกเท้าอย่างมืดฟ้ามัวดิน
มีอยู่สองเรื่องที่ไม่อาจนำมาพูดกับอิสตรี ประการแรกคือรูปร่างหน้าตา ประการที่สองคืออายุ แต่เมื่อครู่ที่ฉินจิ่วเกอพ่นจนน้ำลายแตกฟอง กลับเหมารวมทั้งสองประการไว้ครบถ้วน แล้วจะไม่ให้นางสติแตกได้หรือ
มือป้องหน้าที่ถูกทำให้เสียโฉม ขาถ่างออกเป็นท่านั่งม้า ไอพลังควบรวมอยู่ที่ตันเถียน “ล้อกันเล่น ปู่น้อยเองก็เป็นยอดฝีมือพิสุทธิ์ไพศาลเหมือนกัน ถึงตาข้าบ้างล่ะ! ”
กล้าทำร้ายดวงหน้าโดดเด่นเลิศล้ำขั้นสุดของมัน ไม่อาจยอมรับได้ ฉินจิ่วเกอเองก็มีกฎเหล็กในใจของมันเช่นกัน: ตีหน้าใครก็ตีไป แต่ตีหน้าข้าไม่ได้
ผลัวะผลัวะเปรี้ยงเปรี้ยง!
พอครบสามยก ฉินจิ่วเกอก็ถูกติงหลันที่บุกตะลุยเข้ามาเตะโครมออกไปจนไปติดอยู่หน้าประตู จากนั้นก็ถูกรัวหมัดใส่อีกเจ็ดแปดครั้ง
จากใบหน้าอันสมมาตรได้สัดได้ส่วน มาตอนนี้กลับถูกบดบี้คลี่ขยายจนดูเหมือนขนมปังใหญ่ๆ แบนๆ ที่ชักจะคล้ายเจ้าอ้วนน่าตายเข้าไปทุกที
ฉินจิ่วเกอตะลึงงันไปแล้ว
อย่าได้มองว่าเด็กหญิงน้อยนี้อยู่เพียงชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลาง เพราะพลังที่แท้จริงที่นางสำแดงออก แม้แต่ตนเองก็ยังไม่ใช่คู่มือ!
โลกแห่งผู้ฝึกตน แบ่งแยกออกเป็นผู้ฝึกตนที่สังกัดค่ายสำนัก กับผู้ฝึกตนอิสระ
ประเภทแรกต้องวัดจากทรัพยากรและมรดกของขุมกำลังเบื้องหลัง บรรดาศิษย์พรรคใหญ่ล้วนมีวิชายุทธ์อันล้ำเลิศที่สามารถก้าวข้ามคู่ต่อสู้ในช่วงชั้นเดียวกันไปได้ ซ่งเล่อเองก็เป็นตัวอย่างที่ดีในกรณีนี้
สำหรับผู้ฝึกตนอิสระ พวกมันเป็นพวกทรหดอดทน เหมือนมีดคมกริบที่ลิ่มเลือดมามาก
ใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ต่อสู้อันโชกโชนและความเหี้ยมเกรียมทรหดที่บ่มเพาะมา ก็สามารถชดเชยความต่างทางมรดกปูมหลังของบรรดาศิษย์สำนักใหญ่ได้
สตรีนางนี้ยามออกท่าออกทาง คล้ายยังฝีมือไม่ถึงอยู่บ้าง
ยามนางออกกระบวน ภายนอกดูดุดันเผ็ดร้อน แต่ที่จริงก็แค่ผิวเผินเท่านั้น หรือว่านางจะเป็นศิษย์อัจฉริยะจากค่ายสำนักใหญ่ใดสักแห่ง?
“ระวังอาวุธลับข้า!” ถูกต่อยตีจนช้ำนอกช้ำใน ฉินจิ่วเกอจึงลอบพ่นน้ำลายใส่ท่ามกลางความมืด จากนั้นก็ตั้งท่าจะวิ่งหนีออกไปขอความช่วยเหลือ
ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร รอให้ปู่น้อยนี้ไประดมพลเหล่าประมุขขุนเขามา ต่อให้เจ้าเป็นกลั่นดวงธาตุก็ยังต้องคุกเข่าวิงวอน!
“โจรบ้ากามอย่าคิดหนี ยังจะกล้าเล่นลูกไม้สกปรกอีก! ” ชักกระบี่ไล่ล่า ประกายวิญญาณสาดวูบ ห้าก้าวซ้อนทับเป็นสอง ระยะทางครึ่งห้องถูกข้ามผ่านในพริบตา
ชิ้ง!
ปลายนิ้วฉินจิ่วเกอเพิ่งจะแตะถูกกลอนประตู คมกระบี่เย็นเยียบสายหนึ่งก็เฉือนเอาขนบนลำคอมันขาดร่วง บนนั้นปรากฏกระบี่เล่มหนึ่งพาดขวางอยู่
ขาดอีกเพียงนิดเดียว ศีรษะมันก็ได้ร่วงกลับบ้านเก่าแล้ว
ผู้มีปัญญาต้องรู้จักจำนนต่อสถานการณ์ พำนักอยู่บนเนินไม่กังวลว่าจะไร้ฟืนไฟหุงอาหาร
จะอะไรก็ช่าง เอาเป็นว่าคำสอนจากสมัยโบราณล้วนสั่งสอนให้เรารู้จักใช้โอกาสตรงหน้าให้เป็นประโยชน์ที่สุด เวลาที่ควรกลัว ก็ควรต้องกลัวไว้ก่อน
“หนีต่อซิ แน่จริงก็หนีเลย! ” ติงหลันกุมกระบี่ ระเบิดสภาวะท่วมโถม มือหยกกุมสาบเสื้อตรงลำคอฉินจิ่วเกอไว้แน่น
ฉินจิ่วเกอสองขาสั่นพั่บๆ คิ้วลู่ตกลงเป็นแนวนอน “แม่หญิง ผู้กล้า ยอดวีรชน โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย! ข้ายังมีอาจารย์แก่ๆ เฒ่าๆ อายุร่วมหลายร้อยปีให้ต้องกลับไปดูแล ไหนจะยังเหล่าศิษย์น้องที่รอให้ข้าหาข้าวหาปลาไปให้อีก ข้ายังตายไม่ได้นะ!”
“ไม่ใช่ว่าเมื่อครู่เจ้าจะจัดการข้าให้เข็ดหลาบเลยหรอกหรือ?” ติงหลันหอบหายใจดั่งวัวคลั่ง คมกระบี่ขูดกับผิวตรงลำคอฉินจิ่วเกอไปมา
แม่น้ำสองสายไหลอาบแก้ม ฉินจิ่วเกอร่ำไห้แล้ว ในใจก็เลือดไหลโจ๊กๆ แล้ว “แม่หญิง จะทำอะไรก็ต้องมีสติไว้ก่อน! ข้าก็แค่จะกลับมานอนเอาแรงที่ห้องสักตื่นหนึ่ง แต่ปรากฏว่าท่านโผล่มาจากไหนไม่รู้ ยิ่งไม่ต้องพูดว่าตั้งแต่ต้นจนจบล้วนเป็นท่านที่ทุบตีข้า”
“หากไม่ใช่เพราะเจ้า มีหรือย่าคนนี้จะต้องตกอยู่ในสารรูปเช่นนี้” ในที่สุดก็จับตัวหัวโจกต้นเรื่องได้ ติงหลันยกมือปาดน้ำตา ตั้งใจจะข่มขู่ให้หมอนี่ปล่อยตัวนางไป
หากฆ่ามันตอนนี้ พวกคนประหลาดที่มีฝีมือไม่ด้อยไปกว่าอาวุโสในพรรคนางข้างนอกนั่นจะต้องไม่ปล่อยนางไปแน่
ฉินจิ่วเกออยู่ๆ ก็สะท้านเฮือกในใจ ร่างกายไม่แข็งทื่อเป็นอัมพาตอีก ตรงข้ามกลับกระเหี้ยนกระหือรือขึ้นมา “แม่นางผู้สวยสะคราญใจดีกระปรี้กระเปร่าและน่าทะนุถนอมที่สุดผู้นี้ เรียนเจ้าตามตรง ที่จริงข้ายังมีน้องชายฝาแฝดอยู่อีกคนนามฉินปาเตา บางทีเจ้าอาจจำผิดคนก็ได้”
“ฉินจิ่วเกอ? ฉินปาเตา? ” ได้ฟังโจรบ้ากามเรียกขานตนเองเมื่อครู่ ติงหลันเองก็เริ่มชั่งใจว่าสมควรเดินหน้าต่ออย่างไร
หากฆ่ามัน นั่นก็คงจะโหดร้ายกับตัวนางเองไปหน่อย หากไม่ฆ่ามัน ทวีปฉงหลิงก็จะถูกหายนะตรงหน้าแผ้วพาน เป็นวิกฤติการณ์ของโลกแห่งผู้ฝึกตน
“ใช่ๆๆ ” ภาพลักษณ์ของฉินจิ่วเกอยามนี้ดูเที่ยงตรงยิ่ง “น้องชายของข้าคนนี้ทั้งด้อยการศึกษาทั้งไร้ทักษะวิชาติดตัว บ่อยครั้งจึงแอบอ้างชื่อข้าเที่ยวไปหลอกลวงผู้อื่น และก็เพราะหน้าตาพวกเราเหมือนกันอย่างกับแกะ จึงถูกคนเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆ ”
“เอาแบบนี้ดีไหม เจ้าปล่อยข้าไป ข้าไปเรียกฉินปาเตามา ให้เจ้าค่อยๆ แล่เนื้อเถือหนังมันช้าๆ จะต้มยำทำแกงอย่างไรก็ตามแต่ใจเจ้า จะใช้มีดใช้ดาบใช้ขวานก็ได้ทั้งนั้น”
หากตนรอดไปได้ละก็ จะจับยัยบ้านี่มาแสดงให้ดูว่าอ๋องน้อยข้าใช่ว่าจะตอแยได้ง่ายๆ ฉินจิ่วเกอคิดแค้นในใจ
“เลิกพูดจาไม่เข้าเรื่องสักที คนอย่างเจ้าไม่รู้ย่ำยีสตรีมาแล้วกี่มากน้อย เทียบกับผู้ฝึกวิชาปีศาจยังต่ำช้ากว่า! ” ติงหลันสบถด่าไม่ไว้หน้า
ด้วยอาการสั่นเทิ้ม ฉินจิ่วเกอยกมือขวาขึ้น “แม่นาง จะทำอะไรก็ต้องอ่อนหวานเข้าไว้ แขนกิเลนคู่ของข้าแม้จะมีเหยื่อต้องสังเวยแปดเปื้อนมานับไม่ถ้วน แต่แม้แต่มือของกุลสตรีทรงวัยวุฒิสักท่านข้าก็ไม่เคยแตะสัมผัสมาก่อน หาว่าข้าย่ำยีสตรี เกินไปหน่อยแล้วกระมัง”
ศิษย์น้องเล็กยังคงเป็นดรุณีวัยแรกแย้ม จัดอยู่ในประเภทมีศักยภาพให้พัฒนา ดังนั้นจึงไม่นับ
นอกจากนี้ ฉินจิ่วเกอพบว่าตัวเองช่างเป็นความล้มเหลวของมนุษยชาติเสียจริง จนป่านนี้ก็ยังทะนุถนอมร่างเอาไว้ ไม่มีตรงไหนด่างพร้อย
“นับไม่ถ้วน? ” ติงหลันตะลึงงัน ที่แท้คนคนนี้ไม่ใช่แค่มารร้ายตัณหาจัดเท่านั้น แต่ยังเป็นมารร้ายกระหายเลือดอีกด้วย
“เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน ให้ข้าตอนเจ้าทิ้ง จะได้ไม่มีเชื้อสายเลวทรามเหลืออยู่อีก! ” เงากระบี่ทอประกายยะเยียบวาบวับ พุ่งลงหมายจะตอนอวัยวะน้อยส่วนล่าง
ฉินจิ่วเกอหนีบขาเข้าหากันโดยอัตโนมัติ ไม่พอยังเอามือป้องปิดไว้อย่างแน่นหนา “แม่นาง นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดทั้งนั้น คนที่มีความแค้นกับเจ้าคือฉินปาเตาน้องชายข้าต่างหาก ข้าคือฉินจิ่วเกอ เจ้าจำคนผิดแล้ว”
“ตาขาว” ติงหลันสบถด่าอย่างดูแคลน ตวัดกระบี่ขึ้นมาพาดอยู่บนลำคอฉินจิ่วเกอดังเดิม “อยากรอดก็สั่งให้คนของเจ้าพาข้ากลับไปยังเผ่ามนุษย์เดี๋ยวนี้ ไม่งั้นข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งซะ”
“ที่แท้ก็เป็นสหายร่วมเผ่า” คนบ้านเดียวกันมาเจอกัน น้ำตาจึงไหลอาบหน้า “เรียนตามตรง ผู้น้อยเองก็เป็นมนุษย์ทั้งแท่ง เป็นคนบ้านเดียวกันกับท่าน! ”
“ใครบ้านเดียวกับเจ้าไม่ทราบ” ปลายกระบี่สั่นเทิ้มอย่างน่าหวาดเสียว เดือดร้อนให้ฉินจิ่วเกอหดคอเกร็งลีบโดยพลัน ไม่กล้าเล่นตลกอีก “เผ่าพันธุ์มนุษย์ข้าล้วนเป็นวีรชนผู้กล้า เป็นยอดคนที่ก้มหน้าไม่อายฟ้า เงยหน้าไม่อายดิน ไม่ใช่ที่ที่คนเสเพลต่ำช้าอย่างเจ้าจะเกิดออกมาได้”
“ก็ได้ ที่จริงข้าเป็นมาร แต่บรรพบุรุษเราล้วนมีความสัมพันธ์กันมาก่อน ดังนั้นอย่าได้ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังเชียว” ฉินจิ่วเกอคอตก ห่อปาก
ยุคสมัยนี้ ซื้อท้อสิบลูกเปรี้ยวไปเก้าลูก คนสิบคนเก้าคนโสด แล้วคนที่เปรียบดั่งสุภาพบุรุษแต้มตำหนิบนหยกขาวอย่างมัน ท่ามกลางมวลหมู่มนุษย์นับล้านล้านอาศัยอะไรมาบอกว่าจะไม่มีอันธพาลโผล่มาสักคน
“ได้ยินอยู่บ่อยๆ ว่าพวกมารหน้าตาดุร้ายอัปลักษณ์ วิธีการต่ำช้าสารเลวไร้ยางอาย ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ติงหลันรำพึงกับตัวเองอยู่ข้างหลัง พ่นเอากลิ่นกล้วยไม้อ่อนจางออกมา
ฉินจิ่วเกอไม่กล้าพูดจา ได้แต่คุยกับตัวเองในใจ เอางั้นก็ได้ เผ่ามนุษย์ล้วนเป็นยอดคนผู้กล้ากันหมด ถามว่าทำไม ก็เพราะมีคนที่แสนจะโดดเด่นอย่างปู่เจ้าคนนี้จุติลงสู่โลกมนุษย์อย่างไร ผนวกกับการที่พระเอกปรากฏตัว เผ่าพันธุ์มนุษย์คิดตกต่ำยังทำได้ยาก
“รอยยิ้มเจ้าบาดนัยน์ตาข้า เลิกยิ้มซะที! ” ปลายกระบี่สั่นกระตุกอีกครา ติงหลันทนมองดูอีกฝ่ายตรงๆ ไม่ได้จริงๆ
ฉินจิ่วเกอรอยดำเต็มหน้าผาก ก็ได้ ไม่ยิ้มก็ไม่ยิ้ม ดวงหน้าฟ้าประทานของปู่น้อยผู้นี้ เจ้าไม่มีคุณสมบัติให้ได้ยลอยู่แล้ว
“ปล่อยข้ากลับสู่เผ่ามนุษย์ซะ แล้วจะถือว่าเรื่องก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้น……” ตราบใดที่นางกลับคืนสู่เผ่ามนุษย์ นางจะไปเรียกอาวุโสหุบเขาเพลิงราชันมาสับสังหารเจ้าหมอนี่ให้เป็นชิ้นๆ ก่อนเลย จากนั้นก็ไปโปรยให้สุนัขรับประทาน
“แล้วค่ายาล่ะ? ” ฉินจิ่วเกอถาม
ได้ยินคำนี้ ในใจติงหลันพลันอุ่นวาบขึ้นมา โจรบ้ากามที่แท้ก็ไม่ได้เกินเยียวยาไปเสียทั้งหมด ยังรู้จักพูดจาเหมือนมนุษย์มนาอยู่บ้าง
เอาเถอะ ไว้กลับถึงเผ่ามนุษย์เมื่อไหร่ ค่อยให้คนมาสหบาทามันสักสามรอบ แล้วปล่อยให้เรื่องจบลงแต่เพียงเท่านี้ก็แล้วกัน
“ไม่ต้องให้เจ้าชดใช้หรอก” ติงหลันกล่าวเสียงสะบัด
“ห๊ะ? ” ฉินจิ่วเกอรีบใช้มือประคองคางที่ร่วงตกลงไป “ความหมายของข้าคือ เจ้าทุบตีข้าจนเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ควรจ่ายข้ารักษาให้ข้าบ้างไม่ใช่หรือ? ”
พูดแล้วก็ถอนใจ ถอนใจแล้วก็พูดต่อ “ดูเจ้าสิ ทั้งประพฤติตัวหยาบกระด้าง ทั้งใจไม้ไส้ระกำตบตีข้า เผ่ามนุษย์ล้วนเป็นยอดคน ไม่มีใครเลวร้ายจนทำเรื่องทำนองนี้ออกมาได้ ว่างๆ เจ้าต้องพิจารณาตัวเองบ้างรู้ไหม”
“สำหรับโจรบ้ากามอย่างเจ้า สมควรแล้ว!”
“ทำเกินไปแล้ว! ข้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมอยู่ๆ ตัวเองก็ต้องถูกตบตีเช่นนี้ แต่ข้าก็ถูกเจ้าตบเอาๆ จนพิกลพิการระดับเจ็ดเป็นวัณโรคระดับแปด เจ้าไม่ชดใช้ศิลาวิญญาณให้ข้าสักหลายล้าน ให้ข้าไปซื้อลูกสุกรมาประทังชีวิต แล้วอย่ามาหาว่าข้าทำชื่อเสียงเผ่ามนุษย์ต้องด่างพร้อย”
“นี่เจ้ายังกล้าข่มขู่ข้า? ” ถูกกระบี่พาดคอยังไม่วายขอตังค์ใช้ ติงหลันตะลึงงัน ตนเองใช่พบเจอคนหน้าด้านเห็นแก่ตัวสุดขอบโลกเข้าแล้วหรือไม่
“แล้วจะทำไม? ” ฉินจิ่วเกอตอบอย่างถือดี “จะต่อรองเหลือสักสองสามแสนก็ได้ ถึงยังไงศิลาวิญญาณระดับต่ำก็ไม่มีมูลค่าอะไรอยู่แล้ว”
“เลิกพล่ามไร้สาระสักที! ” ตวาดแล้วก็ผลักร่างฉินจิ่วเกอนาบเข้ากับบานประตู “ไปเรียกคนมาพาข้ากลับไปเดี๋ยวนี้”
ฉินจิ่วเกอผงกศีรษะเหมือนไก่จิกข้าวสาร “แม่หญิงพูดมีเหตุผล ข้าจะรีบไปเรียกคนมา แต่ก่อนอื่นช่วยเก็บกระบี่ลงก่อนได้หรือไม่”
รอให้ปู่น้อยเจ้าไปเรียกบรรดาขี้ข้ามาก่อนเถอะ ดูว่ายังกล้าทำอวดดีได้อยู่หรือไม่
แม้น้ำเสียงของสตรีผู้นี้จะนิ่มนวลอ่อนหวาน แต่ในความเป็นจริงกลับน่าพรั่นพรึงสุดเปรียบปาน จะให้เทียบก็เหมือนผีตาแดง ปีศาจลืมพอกหน้าที่ใครได้เห็นเป็นต้องหัวใจวายตายเทือกนั้น
“มามามา” ฉินจิ่วเกอไล่ระดับเสียงจนสูงปรี๊ด “แม่หญิงท่านเตรียมตัวให้พร้อมนะ ข้าจะเรียกแล้วนะ ข้าจะเรียกแล้วว”
ติงหลันขนลุกขนพอง ก่อนจะสละมือซ้ายเอื้อมเข้าหาอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจ
พร้อมคว้าหมับลงที่ใบหู จากนั้นบิดหมุนครึ่งรอบแล้วงัดขึ้น
“โอ๊ย นังแพศยาปล่อยมือเดี๋ยวนี้” องคาพยพทั้งห้าของฉินจิ่วเกอขยับโยกย้ายผิดที่ผิดทางไปหมด ปลายเท้าเขย่งเกงกอย ท่าทางเหมือนขีปนาวุธที่ทำท่าจะทะยานออกทั้งๆ ที่ยังเอียงไปทางซ้าย
“เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ? ” ติงหลันบิดหูโจรบ้ากามต่อ
ฉินจิ่วเกอกุมอก ปากยื่นจมูกย่น ริมฝีปากส่งเสียงซี๊ดซ๊าดอย่างทรมานออกมาไม่ขาด
ผ่านไปสักพัก ติงหลันถึงค่อยคลายมือออก ให้มันได้กุมหูไว้
แล้วเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือแหลมสูงก็ดังขึ้น “มีใครอยู่บ้าง พวกเจ้าไปตายห่ากันหมดแล้วหรือไร? ”
ลมพัดกระโชกมาหอบหนึ่ง นกกากระพือปีกบินหนี ใบไม้ต้นหญ้าปลิวกระจาย แต่ไม่มีใครได้ยินสักคน
“เจ้ายังจะเล่นลูกไม้อะไรอีก? ” ติงหลันเมื่อไม่เห็นยอดฝีมือตัวฉกาจพวกนั้นก็รู้สึกจิตใจไม่เป็นส่ำ เป็นต้องบิดหูแดงเห่อของฉินจิ่วเกออีกครั้ง
“อย่า อย่า บางทีอาจเป็นเพราะวิธีการเปิดของพวกเรานั้นไม่ถูกต้อง”
ฉินจิ่วเกอรีบร้องขอชีวิต คนผงะถอยไปสามก้าว ปิดประตูไม้ที่ผ่านแรงกระแทกมาอย่างโชกโชนจนจะพังมิพังแหล่ลงอีกครั้ง
ติงหลันเฝ้ามองการกระทำของโจรบ้ากามทุกฝีก้าว ได้ยินมันท่องคาถาโอเพนเซสซามีอะไรสักอย่างพลางถูมือไปมาอย่างเร็วแรง
ตูม!
บานประตูถูกผลักเปิดใหม่อีกรอบ ฉินจิ่วเกอรีดเค้นพลังแหกปากร้องตะโกนเสียงแหลม “ใครก็ได้ คุ้มกันด้วย ใครมาก่อน ข้าแถมศิลาวิญญาณให้ด้วย”
แซ่กแซ่ก
เสียงลมพัดผ่านบานหน้าต่างกระดาษวิ่นเวิ่น และเสียงคลื่นยังคงเหมือนเดิม
——————————————-
*ฉินจิ่วเกอ ฉินปาเตา
ฉินจิ่วเกอ จิ่วแปลว่าเก้า เกอแปลว่าเพลง
ฉินปาเตา ปา แปลว่าแปด เตาแปลว่ามีด
มุกนี้พระเอกเล่นมุก แปด เก้า เอาตัวรอดไปงั้นๆ เอ