เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 138 ร้อยปักบุปผา
” ที่ใดกันเล่า อย่าได้มองว่าการเย็บปักถักร้อยเป็นเรื่องง่ายดาย จวบกระทั่งเจ้าได้เห็นการเรียงร้อยของด้ายห้าสีอันอ่อนนุ่ม จึงจะรู้ว่าอานุภาพของการปักเป็นอย่างไร เพียงวิถีของการปักเย็บ ยังสามารถแบ่งออกเป็นการปัก ดึง ข้าง หมุน มีหลากหลายประเภทนัก”
“อูแหวะ” หลงเฟิงห่อปาก เดิมทียังคิดว่าก่อนหน้านี้ที่มันไหว้วานเพียงเพราะพูดไปอย่างนั้น คาดไม่ถึงว่ามันจะเอาจริง
สี่ประมุขขุนเขารายล้อมฉินจิ่วเกอ ใช้พลังจิตตรวจสอบร่างกายของฉินจิ่วเกอ
นอกจากหลิงไถที่ไม่สามารถมองเห็นได้แล้ว อย่างอื่นของมันล้วนปกติไม่มีปัญหา ไร้โรคร้ายกล้ำกรายร่าง
ฉินจิ่วเกอไม่แยแสสายตาผู้คน เพียงฉุดดึงมือของติงหลันอย่างเหนียมอาย “พี่สาวที่น่ารัก ลองดูฝีมือปักของน้องสาว ดูดีหรือไม่”
“ปล่อยข้า!” ฉินจิ่วเกอตอนนี้นั่งไพล่ขาราวกุลสตรี ดังนั้นคชสารกระทืบตีนไม่อาจสำแดงฤทธาได้
พอหันไปมองที่ข้างหู ก็มีเข็มปักดอกไม้ทัดไว้ หงสาสยายปีกฉีกใบหูยิ่งไม่มีที่ทางให้สำแดงเดช
“ฮิฮิ ฮิฮิ” ฉินจิ่วเกอกางลวดลายกล้วยไม้อันพัดพลิ้วราวสายลม โบกโบยราวขนปักษา “อ้อนแอ้นดั่งกล้วยไม้ สง่างามดั่งเบญจมาศ สูงส่งดั่งพฤกษา ปราดเปรียวดั่งวิหค”
” ประมุขน้อย พูดภาษาคนหน่อยได้หรือไม่” ประมุขหยางร่ำๆ จะหลั่งน้ำตาแล้ว ทำแบบนี้หัวใจมันรับไม่ไหวจริงๆ
“ประมุขหลิวผงกศีรษะระรัว “ประมุขน้อย ท่านมิใช่ชื่นชอบศิลาวิญญาณยิ่งหรอกหรือ พวกเราพักนี้ธุรกิจดียิ่ง พวกเราจะไปรวบรวมมาให้ท่าน”
“น่าเกลียด ผู้อื่นไม่ต้องการเงินทอง พวกเจ้าไปหาซื้อเส้นด้ายมาให้ข้าหน่อยไป ตรงนี้ข้าใช้ไปเกือบหมดแล้ว เจ้าพวกบุรุษตัวเหม็น” ฉินจิ่วเกอไม่สนใจ ยังคงเอ่ยวาจาอย่างเดิม
ติงหลันสืบเท้าออก ดึงกระโปรงตนเอง “ฉินปาเตา เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะฉีกเจ้าเป็นแปดส่วน”
ประมุขทั้งหลายต่างก็มีความขมขื่นเช่นเดียวกัน ประมุขน้อยของพวกมันยามนี้น่าสะอิดสะเอียนเกินไปจนแทบทนไม่ไหวอยากฆ่ามันปิดปาก หรือว่าทุกคนควรร่วมมือกันแทงมันสักแปดแผลให้จบเรื่องราว
“พี่สาวที่น่ารัก ช่างไม่เมตตาบ้างเลย กระเป๋าสตางค์ของน้องสาวไม่มีของดีอันใด เพียงสามารถเย็บปักถักทอให้แก่ท่านเป็นของขวัญเล็กน้อย ท่านต้องสวมมันด้วยนะ”
“เจ้าปักให้ข้า?” ติงหลันที่ก่อนหน้านี้ยังรู้สึกเหมือนคนนอกมองดูไฟไหม้ ยามนี้กลับกลายเป็นร้อนรนดั่งคนในกองไฟเองซะแล้ว
สี่ประมุขถอนใจโล่งพร้อมกัน ยังดีที่ประมุขน้อยไม่ได้วางแผนปักแผ่นหนังให้พวกมันบ้าง ถ้าหากเกิดขึ้นมาจริงๆ ตนเองสมควรวิ่งไปประกาศก้องร้องป่าวให้ฟ้าเปิดตาดูบ้าง หรือสมควรเอาหัวโหม่งตายต่อหน้ามันจึงจะดี?
” ย่อมแน่นอน นี่ก็คือของที่ข้าบอกจะปักให้ท่านอย่างไร สายรัดเอวยังเหลือท่อนสุดท้ายก็จะเสร็จแล้ว ถึงตอนนั้นพี่สาวท่านอย่าได้รานน้ำใจของน้องสาวที่เหน็ดเหนื่อยเพื่อท่าน ยังไงก็ต้องใส่ให้ได้นะ”
ฉินจิ่วเกอสะบัดเข็มต่อเนื่อง ปักร้อยถักทอผ้าในแนวขวาง เส้นด้ายหลายสิบสีประชันขันแข่ง มีชีวิตชีวายิ่ง
“ข้าไม่เอา” ติงหลันรู้สึกว่าตนเองที่จริงเป็นคนดีมีเมตตาเหลือเกิน ไหนเลยจะเป็นนางมารน้อยอันใด เทียบกับเจ้าหมอนี่แล้ว นางไม่อาจเทียบได้แม้กระผีกริ้น
หลงเฟิงยามนี้วิ่งออกไปอาเจียนข้างนอกจนหมดไส้หมดพุง หากให้สี่ประมุขรู้ว่าเส้นด้ายที่ปักร้อยสารพัดดอกนั่นเป็นมันซื้อหามาให้ มันต้องถูกถลกหนังเป็นแน่
“อย่างนั้นน้องสาวคงช้ำใจแย่ มา ยังเหลืออีกนิดเดียวเอง”
ฉินจิ่วเกอยกมือไม้ละเอียดอ่อนราวไร้กระดูก เรียวนิ้วสะกิดใส่ติงหลัน “พี่สาวที่น่ารัก พี่สาวอันว่าง่าย ยังไงท่านก็ต้องรับไปนะ ข้าจะเอาลายปักนี้วาดภาพเผยแพร่ไปให้ทั่วทวีปฉงหลิง ให้ผู้อื่นได้รับทราบถึงน้ำใจระหว่างพวกเรา”
ขณะกล่าววาจา ฉินจิ่วเกอก็วางขาที่ไพล่ลง สองเท้าสั่นเขย่าไม่หยุดยั้งใต้เก้าอี้นั่ง ดูไปชั่วร้ายอย่างยิ่ง
“ข้าไม่เอา ข้าไม่เอา” ติงหลันถอยกายไปหลายก้าว แทบถูกขู่ขวัญจนแตกตื่นวิ่งหนีไป
ในฐานะธิดาแห่งนายเหนือหุบเขาเพลิงราชัน ติงหลันฟ้าไม่กลัวดินไม่กลัว เกิดมาก็ขวัญกล้าบังอาจ แต่เมื่อพบพานฉินจิ่วเกอ ดูเหมือนขวัญเทียมฟ้าบนร่างตนเองยังไม่อาจเทียบได้กับไอปีศาจบนร่างมัน
“ฉินปาเตา ถ้าเจ้ายังไม่เลิก ข้า ข้าจะไม่สนใจเจ้าอีก!” ติงหลันคิดกระตุ้นความเป็นลูกผู้ชายในตัวของฉินจิ่วเกอ แต่เมื่อมองหน้าของประมุขทั้งสี่แล้ว ดูเหมือนอยากจะผูกคอตายสังเวยชีพมากกว่า
ฉินจิ่วเกอพลันใบหน้าเย็นเยียบ วางมือจากสายรัดเอวลายดอก สองมือยกขึ้นปรบพลางเอียงคอตามจังหวะ “โลกมนุษย์โบยบินบนฟ้ากว้าง ทารกน้อยปรบมือหัวเราะร่า ข้าหลับใหล”
เห็นสายรัดเอวที่วางลงบนโต๊ะ เส้นสายลวดวายบุปผาที่ปักออกมาขยึกขยือดั่งฝันร้าย อัปลักษณ์สุดทนดู
ห้าหกสีสันสารพันเส้นด้ายผสมปนเปจนดูราวกับป้ายหลุมศพอาดูรนับร้อย อัดแน่นด้วยไอหยินชั่วร้ายที่แม้แต่มารยังต้องสะดุ้งผวา
ติงหลันเองยังถูกข่มขู่จนแตกตื่น ทรราชย์สาวในที่สุดก็คิดหลบหนี นางหยีตากล่าวว่า “เร็ว ส่งข้ากลับแดนมนุษย์ ข้าจะกลับแล้ว”
” พี่สาวน่ารัก ท่านยังไปไม่ได้นะ” ฉินจิ่วเกอพูดตรงกันข้ามเร่งดึงมือติงหลันไว้ “พยานสัมพันธ์น้ำใจของเราทั้งสองยังไม่เรียบร้อยเลย ท่านสมควรอยู่ร่วมกับข้าอีกหลายวัน สายรัดเอวที่ผู้อื่นตระเตรียมปักร้อยให้ท่านยังเหลือส่วนสุดท้ายที่ยังไม่เสร็จ”
“ไม่ไม่ไม่” ติงหลันสั่นศีรษะระรัว พวกเราต่างฝ่ายต่างแยกย้ายไปในยุทธภพดีกว่า “ข้านึกขึ้นได้ ก่อนออกมาจากเพลิงราชันข้าต้มน้ำซุปไว้ยังไม่ได้ดับไฟ ต้องรีบกลับไปดูว่าแห้งหมดแล้วหรือไม่”
“ห้ามไปนะ ห้ามไป” ฉินจิ่วเกอยังคงดึงมือติงหลันไว้ กึ่งนั่งลงคร่ำครวญดิ้นรนกับพื้น “พวกเจ้าไม่ว่าใครก็ห้ามอารักขาส่งนางกลับไป อย่างน้อยก็ต้องรอข้าปักผ้าเสร็จก่อน”
“ข้าไปเองก็ได้ ไม่จำเป็นต้องให้พวกเจ้าอารักขา!” ติงหลันถูกฉินจิ่วเกอร่ำร้องใส่จนขนพองสยองเกล้า ต้องออกกระบวนท่าสังหาร “ผ่าทลายหัวซาน!”
ฝ่ามือพิฆาตฟาดทลายใส่กลางกระหม่อมของฉินจิ่วเกอ สตรีนางนี้ดุดันรุนแรงยิ่ง ทั้งบิดใบหูกระทืบเท้า ตอนนี้ยังมีกระบวนผ่าทลายหัวซาน ฟาดใส่ขม่อมฉินจิ่วเกอจนแทบแหลกสลาย
เผียะ!
ประมุขน้อยบรรพตสละฟ้า ยามนี้ถูกฟาดสลบเหมือด
หลังจากแม่นางทีเร็กซ์ฟาดหัวฟาดหางออกไป ก็รีบร้อนลนลานเก็บสัมภาระ สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว
เพียงพริบตาก็แล่นออกห่างจากเมืองอวี่เกอ ไม่หันกลับมามองแม้แต่วินาทีเดียว
สี่ประมุขขุนเขาเบิ่งตามองอย่างตะลึงลาน เด็กน้อยอันประเสริฐ นี่มันมิติใหม่ของการไล่คนชัดๆ!
รอจนติงหลันอันตรธานหายไปไม่หวนกลับ ฉินจิ่วเกอก็ค่อยๆ ฟื้นตื่นจากพื้นห้อง บิดขี้เกียจออกมารอบหนึ่ง “เด็กหญิงน้อยเมื่อไปแล้ว ก็ได้เวลาพวกเราจัดการเจ้าเห็บสามตัวนั่นแล้ว”
“ประมุขน้อยอายุยืนหมื่นปี หมื่นๆ ปี!” สี่ประมุขยินดียิ่ง ฉินจิ่วเกอในที่สุดก็กลับคืนเป็นปกติ กลับเป็นบุรุษหนุ่มที่สามารถจัดการทุกเรื่องราวอีกครั้ง
“แค่กแค่ก” ฉินจิ่วเกอกล้ำกลืน ลุกขึ้นนั่งอย่างแข็งกร้าว “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่…”
“เอ๋?” สี่ประมุขกลายเป็นมึนงง เห? พวกมันไฉนมาอยู่ในที่นี้ เมื่อครู่เกิดเรื่องราวอุบาทว์เกินมนุษย์อันใดขึ้น จำไม่ได้แล้ว ประหลาดจริง
ฉินจิ่วเกอน้ำตารื้น ยกมือกุมศีรษะ หากเงี่ยหูฟัง ในอากาศยังได้ยินเสียงสูดจมูกฟึดฟัด
ประมุขโหวปลอบประโลม “ประมุขน้อยรับความอดสูแล้ว ผู้สำเร็จการใหญ่ไม่สนใจเรื่องเล็ก คิดร้องก็ร้องออกมาเถอะ”
“นางทีเร็กซ์ ลงมืออย่างอำมหิตนัก ข้าเกือบหัวใจวายตายแล้ว รอจนพบกันครั้งหน้า ต่อให้ข้าสู้นางไม่ได้ ก็จะทำให้นางขยะแขยงตาย” ฉินจิ่วเกอแยกเขี้ยวยิงฟันด้วยดวงตาคลอน้ำ
สี่ประมุขตัวเย็นวาบ ที่แท้บนโลกนี้นอกจากยากจนตายที่เป็นเรื่องเจ็บปวดทรมานที่สุด ยังมีขยะแขยงตาย นั่นคงเป็นเรื่องน่าหวาดสยองพองขนสุดขีดแล้ว
“บนตัวข้ามีเพียงประทับกฎเกณฑ์อยู่สามสาย ซึ่งก็หมายความว่า ไพ่ตายของข้าเพียงสามารถใช้ออกได้สามครั้ง” และที่จริงนี่ไม่ใช่พลังจากร่างกายของมัน พลังที่เฒ่าเสียเยว่ตกทอดทิ้งไว้นี้ จะค่อยๆ เสื่อมสลายอ่อนโทรมลงในทุกนาทีทุกวินาที
“ตอนนี้ พวกที่ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับพวกเราคือหอกลืนตะวัน ตำหนักผนึกน้ำแข็ง วังสุนัขป่าสามตระกูล หากคิดใช้กฎเกณฑ์ทั้งสามสายทำลายพวกมัน กลับเป็นการสิ้นเปลืองอยู่บ้าง”
ประมุขโหววิเคราะห์ บรรพตสละฟ้ามีปูมหลังเกี่ยวพันกับเผ่าพิสดารและผู้ฝึกวิชาปีศาจ หากคิดประกาศศักดา กลั่นดวงธาตุต่อให้มีมากมายเท่าใดก็ไม่เท่ากฎสรรพสิ่งเพียงหนึ่งคน
“ลองไปคิดหาวิธี ล่อพวกมันมารวมกันที่เดียว ข้าจะใช้กฎเกณฑ์หนึ่งสายตีภูเขาข่มพยัคฆ์ น่าจะสามารถกำจัดกลั่นดวงธาตุของพวกมันไปได้อักโข ที่เหลือรอด พวกเจ้าก็รับผิดชอบไป”
ฉินจิ่วเกอยามกล่าวถึงเรื่องการงานก็กลายเป็นสีหน้าจริงจัง เข้มแข็งดั่งเหล็กกล้า รัศมีพลังทรราชที่แผ่ออกมาเทียบได้กับรัศมีพลังอันเป็นเอกเทศเช่นติงหลัน
“กลืนตะวันและตำหนักผนึกน้ำแข็งยังพอว่า มีเพียงวังสุนัขป่าที่มีเผ่าอสูรเป็นผู้หนุนหลัง ข้าเกรงว่า….”
ฉินจิ่วเกอตัดบทประมุขจู “ถอนรากถอนโคน ถ้าไม่ทำก็คือไม่ทำ แต่ถ้าทำแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด ต้องให้ทุกผู้คนรู้ถึงความร้ายกาจ ยิ่งเมื่อพวกเราสวมหนังพยัคฆ์เดินหมาก ขอเพียงบอกต่อภายนอกว่าเฒ่าเสียเยว่กลับมาแล้ว ยังมีผู้ใดกล้าระรานเรา?”
การล้างสามตระกูล จะเป็นจุดเริ่มต้นของการคืนบัลลังก์ของบรรพตสละฟ้า กำปั้นเหล็กหมัดนี้ ต้องตีให้หมดจด
ขอเพียงกำจัดล้างสามตระกูลออกไป บรรพตสละฟ้าจะขยายอาณาเขตพรมแดนอย่างไม่มีข้อจำกัด จนคืบคลานไปสู่เมืองเทียนเอินได้
การมีอยู่ของตัวประหลาดกฎสรรพสิ่งและไม่มีตัวประหลาดกฎสรรพสิ่ง เป็นสองสิ่งที่ต่างกันอย่างสุดขั้ว
ต่อให้มีกลั่นดวงธาตุมากมายปานไหน มหาดวงธาตุทองคำบริสุทธิ์ร้อนแรงเพียงใด ล้วนไม่อาจมองข้ามพลังแห่งกฎเกณฑ์
จักรพรรดิเมื่อกล่าวว่าฟ้าดินต้องมีขุนพล ขุนพลก็บังเกิด เมื่อกล่าวว่าสี่ฤดูต้องแบ่งแยก ประวัติศาสตร์ก็เกิดขึ้น
วาจาบัญญัติกฎเกณฑ์ นั่นก็คือกฎสรรพสิ่ง!
ทันทีที่ข่าวการกลับมาของเฒ่าเสียเยว่ป่าวประกาศออกไป กฎสรรพสิ่งผู้ฝึกวิชาปีศาจ แม้แต่เผ่าอสูรยังไม่กล้าตอแย
ใช้ชื่อเสียงทางด้านนี้ วังสุนัขป่าหาที่ตายเอง เชื่อว่าเผ่าอสูรเองก็ไม่มีอะไรจะกล่าว
“ทว่าสามตระกูลเป็นศัตรูซึ่งกันและกัน แม้ตอนนี้จะร่วมมือกันต่อกรกับเรา แต่ย่อมไม่มีทางผสานแนบแน่น ทำอย่างไรจึงจะสามารถล่อพวกมันเข้ามาติดกับรวมกันที่เดียวได้?” ประมุขหยางพลังฝีมือสูงส่งที่สุด ยืนอยู่ด้านล่างสุดประสานมือถามไถ่
“พวกเราลงมือที่เมืองอวี่เกอ ทำลายล้างทั้งสามตระกูล ทรัพยากรของพวกมันล้วนเพียงพอให้เราสร้างเมืองใหม่เป็นสิบเมือง ขอเพียงสามารถดึงดูดนักปรุงยาและนักจัดวางค่ายกลเข้ามาตั้งรกราก สถานะของพวกเราก็มั่นคงแล้ว” ฉินจิ่วเกอตอบ
“เช่นนั้น ประมุขน้อย จะล่อพวกมันมาลงมือในเมืองก่อนได้อย่างไร พวกเราจะได้สู้กลับ” ประมุขหยางเอ่ยถามต่อ
ฉินจิ่วเกอหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ ครั้งนี้มันเรียนรู้แล้วว่าไม่ควรบอกกล่าวตามตรง หากเอ่ยออกมาจากปากของมันเองอีกครั้ง ชื่อเสียงและหน้าตาของมันที่เน่าเหม็นอยู่แล้วคงย่อยยับหนักกว่าเดิม
สายตาฉินจิ่วเกอราวมองไก่ที่ใกล้ถูกเชือด เอ่ยอย่างไร้เจตนาดี “ประมุขหยางพลังฝีมือสูงส่งที่สุด มันสมองเป็นเลิศ ข้าขอทดสอบท่าน ในเมืองอวี่เกอ กิจการของบรรพตสละฟ้าเรา อันใดคือกำไรหลัก”
ประมุขหยางตัวลอยฟ่อง ประมุขน้อยช่างมีนัยน์ตานัก เอ่ยตอบกลั้วหัวเราะ “ห้าธัญญะกลับสังสาร”
“กล่าวได้ดี!” ฉินจิ่วเกอตบมือยืนขึ้น ชี้นิ้ว “ประมุขหยางเมื่อเป็นอาวุโสของบรรพตสละฟ้า ทั้งสูงส่ง! ทรงภูมิ! ยอดเยี่ยมเหลือรับประทาน!”
“ไหนเลยไหนเลย” ใบหน้าเฒ่าชรายามนี้เหมือนบุปผาเบญจมาศเบ่งบานนับพันดอก ประมุขหยางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มองไปที่ประมุขขุนเขาทั้งสามอย่างเหนือกว่า
“ประมุขน้อย ท่านยังไม่ได้บอกแผนเลย” ประมุขหลิวเอ่ยทวง ในใจลอบครุ่นคิดว่าประมุขน้อยของมันไม่เคยเยินยอคนโดยไร้ความคิดเคลือบแฝง
ฉินจิ่วเกอยกนิ้วชี้ใส่ประมุขหยางที่หัวเราะอย่างโง่งมอยู่ “ประมุขหยางมิใช่เอ่ยออกมาเองแล้วหรือ กิจการห้าธัญญะกลับสังสาร ก็คือสิ่งที่จะใช้ดึงดูดสามตระกูลนั่นเข้ามาลงมือ”
“พวกเจ้าลองคิดดู ถ้าขณะกำลังฝึกฝีมืออยู่ครึ่งค่อนคืน จู่ๆ เจอคนมาเทมูลปฏิกูลทิ้ง ปฏิกิริยาแรกของพวกเจ้าคืออะไร” ฉินจิ่วเกออรรถาธิบายอย่างอดทน ขณะเดียวกันก็ลอบสรรเสริญประมุขหยางคิดอ่านหาทางออกมาได้ดียิ่ง เพียงแต่ยังขาดพร่องเล็กน้อยเท่านั้น
ประมุขหลิวจูโหวทั้งสามหัวเราะฮ่าฮ่า ความคิดของประมุขน้อย ไม่สิ ความคิดของเฒ่าหยางช่างล้ำเลิศจริงๆ
“ข้าไม่ได้เป็นคนคิดซะหน่อย!” ประมุขหยางแตกตื่นร้อนรน คนสะดุ้งสะเทือนราวแมวถูกเหยียบหาง นี่มีที่ใดน่าขันกันล่ะ