เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 145 วีรชนมีชื่อ
ประมุขซูร้อนรนเป็นไฟจนต้องเดินกลับไปกลับมา ประเดี๋ยวก็ทุบอก ประเดี๋ยวก็กระทืบเท้า เจ้าฉินจิ่วเกอผู้นั้น ตรรกะความคิดอำมหิตเกินไปแล้วจริงๆ ถึงกับทุบตีศิษย์บ้านอื่นจนกลายเป็นหัวสุกร ตระกูลจวงไม่ตะบึงตะบอนสิจึงจะแปลก
ลอบปาดเหงื่อเย็น ประมุขซูก็ถอนใจไปเปลาะหนึ่ง ยังดีที่อีกฝ่ายไม่ใช่หลานของตน พิสูจน์ว่าสายเลือดและเชื้อสายตระกูลซูของมันยังคงดีเด่นไม่เปลี่ยนแปลง
บุตรของตนแค่ต่อยตีถ่มน้ำลายยังชักนำอาวุโสตระกูลจวง ชนชั้นกลั่นดวงธาตุที่เปรียบเหมือนหินฟอสซิลพันปีในคราบมนุษย์มาถึงบ้าน ประสาอะไรกับฉินจิ่วเกอที่ไปทุบตีลูกหลานเขาจนไม่เหลือสภาพ ตระกูลจวงย่อมไม่รามือเพียงเท่านี้แน่
พบเห็นฉินจิ่วเกอเดินเข้ามา ฝ่ามือของประมุขซูพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดก็กำคลายสลับไปมาอยู่ในชายเสื้อไม่หยุด ฟันขบกันแน่น ราวกับจะฉีกทึ้งเจ้าเด็กเกกมะเหรกตรงหน้าให้ตายคามือ เสียดายที่มันไม่ใช่หลานของตน ไม่ได้คุ้นเคยใกล้ชิดกันขนาดนั้น จะลอบลงมือเก็บกวาดก็น่าละอายเกินไป
จากนั้นหันไปมองสี่ประมุขที่ฉินจิ่วเกอพามา พวกมันต่างกำลังนั่งจิบชาสบายอกสบายใจ ราวกับว่าต่อให้อยู่ๆ บั้นท้ายเกิดติดไฟขึ้นมา พวกมันก็จะยังนั่งนิ่งเป็นภูเขาปักหลั่น ลำบากเพียงผายลมก็สามารถดับไฟได้ทันที
ตระกูลจวงมีการตบแต่งผูกสัมพันธ์เชื้อสายร่วมกับเขาพิรุณเซียนสี่ขุมอำนาจสูงสุดเมืองเทียนเอิน ทำให้ทั้งตัวมนุษย์และเผ่าพันธุ์มนุษย์มีเสถียรภาพสูงล้ำกว่าเผ่าอสูรไปไกล
ยามที่กฎสรรพสิ่งไม่เผยโฉม กลั่นดวงธาตุขั้นแปดขั้นเก้าก็คือตัวแทนระดับชั้นพลังสูงสุดของแดนผู้ฝึกตน อีกทั้ง ต่อให้เป็นสี่ขุมอำนาจใหญ่ก็ใช่ว่าจะต้องมีกฎสรรพสิ่งเสมอไป แต่ในเสี้ยววินาทีที่อาวุโสเฒ่าพวกนั้นจะละสังขาร พวกมันล้วนถูกบีบให้เลือกข้ามหายนะนี้
แน่นอนว่าในชาตินี้ย่อมไม่อาจฝึกกฎเกณฑ์ฟ้าดินได้สำเร็จ แต่การข้ามทะเลอสนีหายนะที่ว่ายังคงช่วยให้พวกมันได้ย่างสู่ขอบเขตแหวกชำระกายา และถือครองพลังไร้ผู้ต้าน
เผชิญหน้ากับตัวตนที่เปรียบดั่งเทพเทวาเช่นนั้น ตระกูลซูย่อมไม่มีไพ่อะไรให้ใช้ ตอนนี้จึงได้แต่นั่งเบื้อใบ้มองดูฉินจิ่วเกอ ทั้งตระกูลจวงและเขาพิรุณเซียนต่างก็เป็นตัวแทนอำนาจเผ่ามนุษย์ในเมืองเทียนเอิน แม้แต่สมาคมนักปรุงยาก็ยังไม่อาจชี้นิ้วสั่งการได้
“ทำยังไงดี ทำยังไงดี” ประมุขซูถามติดๆ กันถึงสองครั้ง ตามองไปที่ฉินจิ่วเกอ
ความหมายชัดเจนยิ่ง ในเมื่อเจ้าเป็นคนสร้างศัตรูมิอาจอยู่ร่วมฟ้าออกมา ก็ไปคิดหาวิธีแก้เอาเองก็แล้วกัน
“ไม่ต้องกังวล ปีนั้นข้ากับประมุขจวงพูดคุยถูกชะตา ยังเชือดไก่เผากระดาษเงินกระดาษทองสาบานเป็นพี่น้องป๋องแป๋ง เรียกได้ว่าสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นปานพี่น้องท้องเดียวกัน” เชื่อว่าประมุขจวงเป็นคนฉลาด คนเสแสร้งหลอกลวงปลอมเปลือกเช่นมัน ย่อมไม่โง่เขลาเบาปัญญา
นึกถึงท่านอาจารย์ อาวุโสใหญ่พรรคหลิงเซียว ภายในเมืองเทียนเอินชื่อเสียงนับว่างั้นๆ เพียงแต่ฉินจิ่วเกอกลับไม่ทราบ ชื่อเสียงของอาจารย์มันในเมืองเทียนเอินไม่ใช่แค่งั้นๆ
หากอยู่ๆ มันก็ไปตบหน้าประมุขพรรคทรราชเข้าหนึ่งฉาด อีกฝ่ายก็ใช่ว่าจะกล้าตอบโต้เสมอไป นี่ก็คือข้อดีของการมีอำนาจ ต่อให้เป็นแหวกชำระกายาก็ยังไม่กล้าพูดว่าพวกมันจะสามารถเอาชนะอาวุโสใหญ่ได้
“เจ้ารู้จักกับประมุขจวงจริงๆ? ” ประมุขซูประหลาดใจเป็นกำลัง มันยังนึกว่าอีกฝ่ายพูดเพ้อเจ้อเสียอีก
“ประมุขจวงถูกขังอยู่ในนาวาเรืองปัญญานานร้อยปี จนกระทั่งมีคนเอาผลอู๋เลี่ยงสดกลับออกมาจากนาวาได้สำเร็จ มันถึงค่อยเป็นอิสระจากพันธนาการ แล้วเจ้าจะไปรู้จักมันได้อย่างไร? ”
ศักดาของผู้เฒ่าเรืองปัญญา ต่อให้บรรพตสละฟ้าตัดขาดจากทางโลกไปแล้ว ก็ยังคงสะท้านเลื่อนลั่นบาดหูอยู่ดี นั่นคือบุรุษผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของมหาทวีปอย่างแท้จริง แม้จะเป็นผู้ชราภาพคนหนึ่ง แต่นั่นก็ไม่ได้มีผลกระทบต่ออำนาจสิเน่หาของเฒ่าเรืองปัญญาเลยแม้แต่น้อย
มนุษย์มารอสูรสามเผ่าพันธุ์ที่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันบนมหาทวีปฉงหลิงมาตลอดหนึ่งล้านปีนับแต่ที่บรรพชนวิญญาณละสังขารไปก็ยังไม่กล้าพูดว่าพวกมันสามารถล่วงเกินอีกฝ่ายได้ ลือกันว่า เฒ่าเรืองปัญญาคือผู้สืบทอดมรดกของบรรพชนวิญญาณ และทำหน้าที่เป็นทูตของบรรพชนวิญญาณหลังจากที่ท่านละสังขารไปแล้ว
ต้นพฤกษาสวรรค์และผลอู๋เลี่ยงสดที่มันถือครองถูกผู้คนในทวีปฉงหลิงยกย่องให้เป็นสมบัติล้ำค่าที่แม้แต่นักปรุงยาขั้นเก้าก็ยังต้องหวั่นไหว
“ข้าย่อมต้องรู้จักประมุขจวงอยู่แล้ว ทั้งพวกเรายังสาบานเป็นพี่น้อง พวกเจ้าไม่รู้อะไร ใบหน้าของมันน่ะนะมีแต่หนวดเคราครึ้มดก ตาก็โตราวปากชาม กำปั้นใหญ่โตราวถังน้ำ เอวกว้างแปดฉื่อแปดชุ่น องคาพยพทั้งห้าไม่สมมาตร หัวหนักตีนเบา”
“จริงหรือ? ” ประมุขซูปาดเหงื่อ รู้สึกยากที่จะเชื่ออยู่บ้าง
หากมันมีรูปลักษณ์หน้าตาเช่นนั้นจริง ประมุขจวงผู้สูงส่งที่เป็นถึงยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุยังไม่ทันที่จะล้างแค้นต่อสังคม ก็คงต้องจุดพลุฉลอง ถูกยกย่องเป็นยอดมหาบุรุษแล้ว
“แน่นอน ลิ้นของมันยาวสามเมตร ซ้ำยังกลายร่างเป็นราชาปีศาจวัวได้ด้วย”
“แค่กๆ ” ประมุขหลิวไอค่อกแค่ก มันไม่ชอบเวลามีคนพูดถึงคำว่าวัว เพราะรู้สึกว่ากำลังมีคนพาดพิงถึงมัน “ประมุขน้อย กำลังรบสูงสุดของตระกูลจวง คือกลั่นดวงธาตุขั้นแปด หากไปล่วงเกินพวกมันเข้า พวกเราก็ยากที่จะรุดหน้าต่อไปในเมืองเทียนเอินได้”
ฉินจิ่วเกอเลิกคิ้วสูงชัน เปล่งเสียงถามอย่างห้าวหาญ “เจ้ากลัว?”
ประมุขหลิวทุบอก คล้ายได้รับความอัปยศอย่างใหญ่หลวง “ข้าผู้แซ่หนิวเคยกลัวเสียที่ไหน อย่าว่าแต่กลั่นดวงธาตุขั้นแปด ต่อให้เป็นกลั่นดวงธาตุขั้นเก้า พวกข้าก็ยังไม่หวั่น”
“เพียงแต่มังกรไม่อาจกำราบงูเจ้าถิ่น ตระกูลจวงกับเขาพิรุณเซียนก็เกี่ยวดองกัน หากไปล่วงเกินตระกูลจวงเข้า คงยากที่จะมีจุดยืนอยู่ที่นี่ นอกเสียจากพวกเราจะอาศัยค่ายพรรคเดชมารหรือสมาพันธ์อู่ซิ่งเข้าช่วย”
ประมุขหลิวลอบมองฉินจิ่วเกออย่างระมัดระวัง อย่าได้มองว่าประมุขน้อยเอาแต่ทำตัวบ้าๆ บวมๆ ไปวันๆ เชียว ลึกๆ แล้วมันเป็นคนหยิ่งทระนงมากทีเดียว หากต้องยอมลงให้ใคร ฉินจิ่วเกอย่อมไม่มีวันยอมแน่
เจ้าใหญ่มาจากไหนกัน ปู่น้อยเจ้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของพระเอก เวลาที่พุทธะเทพเทวาบนสวรรค์พบเห็นข้า ยังต้องไว้หน้าอยู่สามส่วน แล้วกลั่นดวงธาตุนับเป็นหัวผักกาดแบบใดกัน
ฉินจิ่วเกอยกนิ้วโป้งทิ่มเข้าหาตัวเองอย่างเกรี้ยวกราด เอ่ยเสียงดังกังวาน “งั้นเจ้ารู้หรือไม่ ว่าในเมืองเทียนเอินวันนั้นเป็นผู้ใดที่เอาผลอู๋เลี่ยงกลับออกจากนาวาเรืองปัญญา? ”
ประมุขซูได้รับรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้มาไม่น้อย ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเหตุการณ์สำคัญที่ส่งคลื่นระลอกไปทั่วทวีปฉงหลิง “ข้าเพียงได้ยินแต่คนผู้นั้นมีวงแหวนสีดำอยู่บนหัว ยามก้าวเดินจะปรากฏสายฟ้าไหลแปลบปลาบ ทั่วร่างปกคลุมด้วยเมฆหมอกแห่งเซียน สุดที่จะยั้งคาดได้”
“เป็นบิดาผู้นี้ต่างหาก” ฉินจิ่วเกอยกนิ้วโป้งปาดปลายจมูก กล่าวตอบอย่างโอหัง
ช่วยไม่ได้ที่จะทำตัวโอหัง อย่างน้อยๆ ในเวลาเกือบแสนปีมานี้ ก็ไม่มีใครได้ผลอู๋เลี่ยงสดไปครองมาก่อน ต่อให้ท่านมีไอคิวสูงพอ แต่ดูจากกมลสันดานเยี่ยงสุนัขของเฒ่าเรืองปัญญาแล้ว หนังหน้าของท่านย่อมไม่มีวันทาบติด
“เรื่องนี้ข้าพอรู้มาบ้าง” ประมุขหลิวคิดแล้วเอ่ยต่อ “ลือกันว่า ก่อนหน้าที่นาวาเรืองปัญญาจะไปจากเมืองเทียนเอิน ประมุขจวงเป็นคนแรกที่ออกมาก่อน แต่ไม่ได้ผ่านด่านทดสอบ”
“ทว่าหลังจากนั้นอีกหลายวัน กลับมีคนถือผลอู๋เลี่ยงสดเหินตัวออกมาจากนาวาเรืองปัญญาอย่างผ่าเผยไร้ซ่อนเร้น สี่ประมุขยอดอำนาจล้วนมาปรากฏตัว สี่กลั่นดวงธาตุขั้นเก้าต่างถือศาสตราศักดิ์สิทธิ์กันไว้คนละเล่ม ทั่วเมืองปิดล้อมด้วยร้อยกลั่นดวงธาตุ หมายจะโอบล้อมดักจู่โจมศัตรู”
ประมุขหลิวรู้สึกเลื่อมใสสุดหัวใจ สี่กลั่นดวงธาตุขั้นเก้าพร้อมศาสตราศักดิ์สิทธิ์ครบมือ แสดงให้เห็นถึงพลาอำนาจสูงสุดของยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุ กำลังรบระดับนั้น ต่อให้เป็นพวกมันสี่ประมุขขุนเขาก็ยังไม่ใช่คู่มือ
แต่ที่น่าหวาดกลัวชวนผวาที่สุดก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น จนถึงทุกวันนี้ก็ยังสร้างความตื่นผวาให้กับผู้คนมากหลาย
“ได้ยินว่าผู้ที่ได้ผลอู๋เลี่ยงไปครองคือศิษย์จากพรรคสำนักหนึ่ง และวันนั้นก็มีอาวุโสในพรรคคอยให้ความคุ้มครอง สี่กลั่นดวงธาตุขั้นเก้าพร้อมอำนาจศาสตราศักดิ์สิทธิ์ท่วมท้น กลับถูกอาวุโสของคนผู้นั้นกำราบลงอย่างง่ายดาย ทั้งที่อีกฝ่ายเองก็เป็นกลั่นดวงธาตุขั้นสูงสุดผู้หนึ่งเท่านั้น”
“ในวันนั้นกองกำลังกว่าแปดส่วนทั่วเมืองเทียนเอินล้วนขับเคลื่อนเต็มกำลังรบ หาคาดไม่ว่ากลั่นดวงธาตุท่านนั้นหนึ่งต่อสี่ กลับสามารถแย่งชิงศาสตราศักดิ์สิทธิ์ของสี่หัวหอกไปได้อย่างง่ายดาย ซ้ำยังพาลูกศิษย์ของมันจากไปอย่างไม่เห็นหัวใคร”
ยามหยิบยกเหตุการณ์สำคัญที่สั่นคลอนทั่วทั้งมหาทวีปขึ้นมาพูด เหล่าผู้ที่นั่งรับฟังอยู่ไม่มีใครที่ไม่ทอดถอนใจออกมา ทั้งที่เป็นกลั่นดวงธาตุเหมือนกัน แต่คนผู้นั้นกลับจัดการศัตรูทั้งสี่ได้อย่างง่ายดาย ศิษย์สำนักคนนั้นเองก็มีฝีมือไม่ต่ำทราม ถึงกับสามารถกระตุกหนวดเสือของเฒ่าเรืองปัญญาได้
“และที่น่าอัศจรรย์ไปกว่านั้น ข้าได้ยินว่าสามผู้เยี่ยมยุทธ์ประจำเมืองเทียนเอินได้เข้าสกัดพวกมันระหว่างทาง ทั้งสามคนเป็นถึงชนชั้นแหวกชำระกายา เป็นตัวตนใหญ่ยักษ์ในเมืองเทียนเอินที่แม้แต่สี่ยอดอำนาจยังไม่เต็มใจที่จะไปตอแย”
ประมุขซูมีความเข้าใจในเรื่องนี้มากพอตัว ในน้ำคำของมัน ยังแฝงไว้ด้วยความเลื่อมใสไร้สิ้นสุดดั่งน้ำไหลบ่า มากเสียจนผู้รับฟังอย่างฉินจิ่วเกอแทบติดปีกลอยขึ้นฟ้า ไอหยา ลือกันผิดๆ ทั้งนั้นเลย แต่ถ้ายังเยินยอกันอยู่อย่างนี้ ผู้อื่นอาจมีดวงตางอกเงยอยู่บนหน้าผากเลยก็ได้
“อาวุโสท่านนั้น คุ้มกันศิษย์ให้หนีรอดออกไป ลำพังตนเข้ารับมือกับการกลุ้มรุมของสามแหวกชำระกายา ไม่คาดกลับรอดชีวิตออกมาครบสามสิบสอง แม้จะไม่รู้ว่าศิษย์อาจารย์คู่นี้เป็นใครมาแต่ไหน แต่หลังจากนั้นครึ่งปี อาวุโสท่านนั้นก็นำพาศิษย์น้องสองคนมาเยือนถึงถิ่น”
เรื่องราวตอนนี้ที่ออกจากปากของประมุขซูอยู่นี้ คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนที่ฉินจิ่วเกอกำลังถูกเทียนหมิงเสียไล่ล่าสังหารจนพลัดตกลงไปในบึงมารมรณา ตัวมันจึงยังไม่ทราบความ
“เหลือเชื่อจริงๆ ” น้ำเสียงของประมุขซูถึงกับสั่นเทิ้มขึ้นมา เต็มไปด้วยความเชิดชูบูชา ไม่กล้าเอ่ยเสียงดังจนเกินไป “กลั่นดวงธาตุทั้งสาม ปะทะหักหาญกับแหวกชำระกายาจนอีกฝ่ายตายไปสองพิกลพิการไปหนึ่ง เมืองเทียนเอินสะเทือนเลื่อนลั่น ทวีปฉงหลิงแตกตื่นระนาว! ”
“ซี๊ดด” ฉินจิ่วเกอถึงกับต้องสูดลมหายใจหนาวเหน็บ มารดามันเถอะ ที่ประมุขซูกำลังเอ่ยพาดพิง ยังจะไม่ใช่ท่านอาจารย์และพวกอาวุโสสองอาวุโสสามของพรรคมันอีกหรือ
นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าพรรคของมันจะร้ายกาจถึงเพียงนั้น ประจันหน้ากับแหวกชำระกายาอันเป็นเขตแดนที่เหนือกว่ากลั่นดวงธาตุ อย่าว่าแต่สู้ข้ามช่วงชั้น ยังสามารถดับชีพไปสอง ถึงว่าทำไมหลายปีมานี้เมืองเทียนเอินถึงได้สงบสุขปานนั้น
“ไฉนจึงปล่อยให้ปลาหนีรอดร่างแหไปได้? ” สำหรับฉินจิ่วเกอที่เป็นคนประเภทแค้นต้องชำระ เรื่องนี้นับว่าไม่สำเร็จสมบูรณ์แบบ
ประมุขซูตอบกลับ “เหมือนจะได้ยินว่าอีกฝ่ายเรียกหาคนผู้นั้นว่าเหล่าซาน สามแหวกชำระกายาผู้ทระนงอยู่ในเมืองเทียนเอินมานับพันปี ท่านที่ถูกทำลายวรยุทธ์หลบหนีไปได้ทันเวลา ได้ยินว่าเป็นเพราะมันใช้อุบายโปรยเงินว่อนฟ้าจึงรักษาชีพไว้ได้”
ฉินจิ่วเกอพอจะเดาได้แล้วว่าเป็นใคร คนที่ปล่อยให้ศัตรูหนีรอดไปได้ เกรงว่าจะเป็นอาวุโสสามผู้รักเงินทองยิ่งชีพ พอจบเรื่องก็คงมิวายถูกอาวุโสใหญ่ทุบตีจนต้องร้องขอชีวิต ความมั่งคั่งนำมาซึ่งความเจ็บตัวแท้ๆ
ท่านอาจารย์ช่างยอดเยี่ยมกระเทียมดองเกินไปแล้ว ดูจากตรงนี้ ตระกูลจวงเขาพิรุณเซียนกระไรนั่น ล้วนด้อยกว่าบารมีเกรียงไกรของอาวุโสใหญ่ไปไกลลิบ ดูท่าการมาเมืองเทียนเอินเที่ยวนี้ สมควรจะราบรื่นไร้อุปสรรคแล้ว
ถลกหนังเสือมาทำเป็นร่มธง เชื่อว่าย่อมไม่มีใครกล้าทำอย่างไรกับตนเอง
ประมุขจูได้สติคืนมา กลั่นดวงธาตุเยี่ยงนั้น เป็นไปได้สูงยิ่งว่าอีกหน่อยจะได้บรรลุมหาวิถีกฎสรรพสิ่ง ทั้งศักยภาพและพรสวรรค์ของคนผู้นั้น ไม่ใช่สิ่งที่มันจะเทียบได้อีกแล้ว
กล่าวสืบต่อ “กลับมาพูดเข้าเรื่องกันต่อเถอะ เรากำลังพูดเรื่องตระกูลจวงนั่นอยู่ใช่ไหม? ประมุขน้อย ท่านรู้จักกับมันจริงๆ หรือ? ”
“ย่อมแน่นอน” ทั่วร่างฉินจิ่วเกอยามนี้อาบไปด้วยพลังอันเปี่ยมล้น รูขุมขนทั่วตัวเบาสบายเหมือนล่องลอยอยู่กลางเมฆหมอก
ประมุขซูเผยท่าทีประหลาดใจ “ดูจากเวลาที่เจ้ามาถึงเมืองเทียนเอิน นอกเสียจากเจ้าทำความรู้จักกับประมุขจวงตอนอยู่ในนาวาเรืองปัญญา ไม่อย่างนั้น……”
พูดถึงตรงนี้ ทุกคนเป็นต้องมองหน้ากันด้วยความพรั่นพรึง ริมฝีปากอ้าค้าง ทั้งไม่อาจสูดอากาศเข้าไปทั้งไม่อาจปล่อยอากาศออกมา สวรรค์ คนที่ได้ผลอู๋เลี่ยงสดไปครองที่เขาลือกันในวันนั้น ยังมิใช่บุรุษหนุ่มเผ่ามนุษย์หรอกหรือ!
มองดูฉินจิ่วเกอ ทุกการกระทำของคนผู้นี้แม้จะสัปดนน่าขยะแขยงไปบ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบนตัวมันมีแสงสีทองอร่ามกำลังทอสว่างไสวเจิดจ้าอยู่
ฉินจิ่วเกอยกนิ้วโป้งปาดจมูกตัวเองอีกครั้ง แต่คิ้วกระบี่กลับย่นเข้าหากันอย่างฉุนเฉียว “ทำท่าแบบนี้แปลว่าอะไร ไม่เชื่อข้าว่างั้น? ก็พูดอยู่ไม่ใช่หรือว่าคนที่ออกจากนาวาเรืองปัญญาก็คือบิดาผู้นี้”
ระดับไอคิวของประมุขซูชัดเจนว่าไม่พอใช้งาน รู้สึกว่าโลกนี้มันจะบ้ากันไปใหญ่แล้ว “ขอบังอาจถาม ใครคือบิดา? ”
ฉินจิ่วเกอเดาะลิ้นอย่างหัวเสีย เจ้าหมอนี่ทำเป็นไม่เข้าใจหรือมันไม่เข้าใจจริงๆ กันแน่
ข้าพเจ้าที่ทั้งมากพรสวรรค์ รูปโฉมสง่างาม เก่งทั้งบู๊ทั้งบุ๋น ยืดได้หดได้ถึงขนาดนี้ พวกเจ้าทุกคนใช่ตาบอดไปแล้วหรือไม่?
“ประมุขหยางอึกอักลังเลอยู่อย่างนั้น ถึงอย่างไรเรื่องทำนองนี้ก็ไม่มีใครกล้าพูดออกมาง่ายๆ