เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 146 ยุทธภพห่างไกล
นั่นคือเรื่องใหญ่ที่ชนชั้นกฎสรรพสิ่งและสุญญตามากมายปรารถนาที่จะทำ ไม่อาจทำ และไม่กล้าทำ
หลังจากที่นาวาเรืองปัญญาจากไป สมาคมนักปรุงยาก็ได้ถ่ายทอดสารออกมาท่อนหนึ่ง ใจความว่าพวกมันยินดีที่จะให้นักปรุงยาระดับแปดช่วยเหลือสุดความสามารถ ขอเพียงแบ่งผลอู๋เลี่ยงสดครึ่งลูกมาให้พวกมันเท่านั้น
“ประมุขน้อย เป็นท่านจริงๆ? ” สี่ประมุขนั่งไม่ติดที่แล้ว บั้นท้ายยกออกจากที่นั่ง หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อขณะจ้องมองฉินจิ่วเกอ
ฉินจิ่วเกอยิ้มเจ้าเล่ห์ กล่าวตอบอย่างร่าเริง “ไม่ใช่”
พรืด!
ประมุขซูไถลหน้าคะมำ แล้วเจ้าจะอวดเบ่งทำอะไร หายนะกำลังจะร่วงหล่นใส่กบาล ยังมีอารมณ์มาล้อเล่นอยู่อีกรึ
สี่ประมุขเป่าปากออกมาพร้อมกัน แม้ประมุขน้อยของพวกมันจะเป็นปีศาจผู้ชั่วช้าเหนือโลกา แต่ก็ต้องมีขีดจำกัดเหมือนกัน
ได้ผลอู๋เลี่ยงสดไปครอง ข้อเท็จจริงนี้น่าตกใจจนยากที่จะเชื่อ
ฉินจิ่วเกอเป่าปาก เอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ “ก็ได้ๆ ที่จริงเป็นข้าเองแหละ วันนั้นที่ข้ามาเมืองเทียนเอิน เป้าหมายก็เพื่อเข้าสู่นาวาเรืองปัญญา ตอนอยู่ในนาวา ก็ได้ผูกมิตรไมตรีกับประมุขจวง ทั้งยังได้รับผลอู๋เลี่ยงสดมาด้วย”
“หึ”
สี่ประมุขขุนเขากลับมานั่งลอยชายบนเก้าอี้ตามเดิม ไม่คิดเชื่อถือคำพูดของฉินจิ่วเกออีก
“เป็นข้าจริงๆ นะ! ” ฉินจิ่วเกอกระโดดผาง นอกจากตนเองแล้ว ใต้หล้ายังจะมีใครทำเรื่องพลิกฟ้าเช่นนี้ได้อีก
“เจ้าเชื่อหรือเปล่า? ” ประมุขโหวยิ้มยิงฟันถามซูมู่ซวน
ซูมู่ซวนส่ายหน้าหวือ มุกนี้ช่างไม่ตลกเอาเสียเลย ทั้งยังง่ายต่อการถูกคนฆ่าหมกป่า
“แล้วพวกเจ้าล่ะ? ” ประมุขโหวที่คอยสรรเสริญมาตลอดกลับกลายเป็นตัวตั้งตัวตีพลิกฝ่าย
“ไม่เชื่อ! ” ทุกคนตอบรับเป็นเสียงเดียว มติเป็นเอกฉันท์ ทุกคนแยกย้ายกันไปนอน
ปล่อยให้ฉินจิ่วเกอยืนโดดเดี่ยวเคว้งคว้างตรงที่เดิม จากนั้นก็ต้องเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ไอ้เจ้าประมุขโหว ดูท่าคงอยากจะถูกเนรเทศมากเลยสิ เอาเป็นตนหาข้ออ้างมาสักอย่าง แล้วเตะโด่งมันออกไปทำหน้าที่เฝ้ายามอยู่หน้าประตูหลุมถ่าย ให้มันได้สำนึกตนถึงความผิดที่กระทำ
“เป็นข้าจริงๆ นะ เป็นข้า! ” ฉินจิ่วเกอร่ำร้องเสียงสูง ความจริงอันโชกเลือด
หลงเฟิงเดินเข้ามา ตบบ่าฉินจิ่วเกอแล้วพูดว่า “ข้าเชื่อเจ้า”
“จริงนะ? ” ความรู้สึกที่มีคนเชื่อท่านมันช่างงดงามขนาดนี้นี่เอง ฉินจิ่วเกอถึงขนาดว่าใกล้จะบินได้เลยด้วยซ้ำ
ก่อนหน้าที่จะบรรลุเป็นต้าหลัวจินเซียน ตนควรที่จะพิจารณาหนี้สินสิบล้านของหลงเฟิงดูใหม่ดีหรือไม่ เช่นหักลบศิลาวิญญาณออกไปสักครึ่งก้อน
หลงเฟิงผงกศีรษะอย่างขึงขัง สีหน้าเคร่งขรึม “ข้าเชื่อว่าเจ้ายังไม่ตื่น”
“ไสหัวไปเลย! ” ฉินจิ่วเกอยันไปหนึ่งเท้า แต่หลงเฟิงก็ฉากหลบออกไปได้อย่างสง่างาม
มองไปรอบๆ พบว่าโลกนี้ช่างอ้างว้างยิ่งนัก ฉินจิ่วเกอกล่าวอย่างลังเล “สวรรค์ ข้ายอดเยี่ยมขนาดนี้ เหตุใดท่านถึงช่างใจร้ายกับข้านัก? ”
จิ๊ดๆ
มีหนูขนาดใหญ่ตัวหนึ่งวิ่งจากห้องครัวผ่านหน้าห้องโถงไป วิ่งจากไปไกลอย่างหยิ่งผยอง
ประมุขจวงนำพาผู้เคราะห์ร้ายหลบหนี ระหว่างทางก็พยายามยื้อชีวิต จากนั้นก็เคลื่อนย้ายหลบหนีต่อ ในใจสาปแช่งบรรพชนแปดชั่วโคตรของฉินจิ่วเกอไปไม่รู้กี่รอบ ผ่านไปครึ่งราตรี กลั่นดวงธาตุขั้นสามก็แทบสิ้นเรี่ยวไร้แรง สุดท้ายก็วิ่งกลับมาถึงเมืองเทียนเอินได้ในที่สุด
นับแต่ที่ประมุขจวงกลับมา ตระกูลจวงก็กลับมาผงาดอีกครั้ง กลายเป็นขุมกำลังที่เป็นรองเพียงสี่ยอดอำนาจ กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มอิทธิพลใหญ่ของเมือง
ความโดดเดี่ยวของยอดฝีมือ ยุคอันงดงามหิมะขาวตะวันเฉิดฉาย จวงปี้กำลังทอดมองสายน้ำภูเขาตรงหน้า พลางขบคิดว่าตนเองช่างเก่งกล้าจนไร้คู่ต่อกรจริงๆ
เย็นวันนั้น จวงปี้เอาสุราหนึ่งกระปุกกับอาภรณ์สีขาวอีกหนึ่งตัวมายืนรับลมอยู่ใต้ต้นหลี (แพร์) ตาทอดมองทัศนียภาพใต้แสงจันทร์ ช่างน่าเบื่อจริงๆ นอกจากตอนที่ตนพบเจอเจ้าปีศาจร้ายในนาวาเรืองปัญญานั่นแล้ว ประมุขจวงก็รู้สึกว่าตนเองช่างไร้คู่ต่อกรโดยแท้
ขณะที่กำลังดื่มด่ำว่าตนเองได้กลายเป็นยอดฝีมือไร้ผู้ต้านอยู่นั้น พลันปรากฏร่างอาวุโสจวงเฉียนที่ร่ำไห้โหวกเหวกวิ่งหน้าตั้งกลับมาถึง สร้างความตื่นตัวไปถึงครึ่งตระกูล
จวงปี้พลันต้องขมวดคิ้ว ตั้งใจจะกระดกสุราในมือดับความรำคาญ เชื้อชวนดวงจันทร์มาเป็นสหายร่วมดื่ม การทำเช่นนี้มีข้อดีอยู่สองอย่าง
อย่างแรก คือบรรยากาศอันสง่าสูงส่ง ยังมีความสุนทรียะปานเทพเซียนลอยล่อง ห่วงหาปวงประชาบ้านเมือง
อย่างที่สอง การเชื้อชวนดวงจันทร์มาเป็นแขก ไม่จำเป็นต้องเสียเงินเสียทองสักแดงเดียว ถึงอย่างไรการเชิญพระจันทร์มาเป็นเพื่อนดื่ม นอกจากจะไม่เงียบเหงา ยังประหยัดค่าเหล้าค่าอาหารไปในตัว เด็ดสุดคือการที่ท่านสามารถสวาปามทุกอย่างลงท้องตัวเองโดยไม่ต้องไปแบ่งปันกับใคร
มีทั้งเอกลักษณ์ ทั้งประหยัดค่าใช้จ่าย กอดเงินไว้ไม่ใช่ออก ซึมซาบดื่มด่ำต่อความรู้สึกของยอดคน
นี่เปรียบกับท้องอันคับแคบของฉินจิ่วเกอยังคับแคบยิ่งกว่า ไม่ปล่อยให้อะไรไหลออกได้แม้แต่น้อย
“เกิดอะไรขึ้น? ” เมื่อตระกูลเกิดความวุ่นวาย จวงปี้จึงมิอาจไม่ปรากฏตัว อำนาจของกลั่นดวงธาตุขั้นแปดสะเทือนเมืองเทียนเอินไปครึ่งแถบ
อาวุโสหอบหายใจ ตอบ “ท่านประมุข ท่านยังจำเจ้าเด็กที่ถ่มน้ำลายไปต่อยตีไปจากตระกูลเล็กๆ นั่นได้หรือไม่? ”
“ไม่ใช่ว่าเจ้าไปเก็บกวาดเรียกร้องค่าเสียหายจากพวกมันมาแล้วหรอกรึ? เพ้ย เจ้าหมูที่นอนแบบอยู่กับพื้นตัวนี้ คงจะมิใช่ค่าชดเชยของพวกมันหรอกนะ? เล็กน้อยไปหน่อยหรือไม่”
ภายใต้แสงจันทร์นวล ทัศนวิสัยไม่ได้แจ่มชัดเหมือนเช่นปกติ ราวกับว่าระหว่างพวกมันได้มีกระจกพร่ามัวกั้นขวางอยู่
อาวุโสปาดเหงื่อ “ท่านประมุข ตระกูลเล็กจ้อยนั่นมีกลั่นดวงธาตุขั้นสองสอดมือเข้ามายุ่ง ซ้ำยังทำร้ายศิษย์ของเราจนตกอยู่ในสภาพนี้”
“อะไรนะ” จวงปี้หัวร่อ ตัวมันคงจะโดดเดี่ยวเกินไปแล้วจริงๆ “ยังมีคนกล้าไม่ไว้หน้าตระกูลจวงข้าในเมืองเทียนเอินอยู่อีกหรือนี่ คงจะไม่ใช่พวกอาวุโสจากสี่ยอดสำนักหรอกนะ? ”
“สมควรเป็นผู้ฝึกยุทธ์อิสระ ตระกูลเล็กจ้อยนั่นยังมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งอ้างว่าเป็นญาติพวกมัน ทั้งยังบอกว่ารู้จักกันกับท่าน แถมยังเรียกให้ท่านเดินทางไปเมืองล่วนโต้วเพื่อร่ำสุราพูดคุยกับมันอีกด้วย”
“น่าขัน” จวงปี้ดีดนิ้ว “กับอีแค่ตระกูลเล็กๆ อย่าว่าแต่พวกมันเลย แม้แต่เมืองล่วนโต้ว ข้าก็สามารถกำจัดได้เพียงพลิกฝ่ามือ”
“มีกลั่นดวงธาตุขั้นสามอยู่ในตระกูล พวกมันต้องไม่ได้โง่แน่ ท่านประมุข เอาเป็นว่าข้าไปแทนดีหรือไม่? ” อาวุโสผู้กุมอำนาจแท้จริงในตระกูลจวง จวงเกาโฉ่วกล่าว
วรยุทธ์กลั่นดวงธาตุขั้นหก
จวงปี้กำลังร่ำสุราใต้แสงจันทร์อย่างสันโดษ ไม่แยแสสนใจ โบกมือตัดรำคาญ “งั้นเจ้าก็ไปจัดการตระกูลซูกับคนกลุ่มนั้นให้สิ้นเรื่องไปซะ”
จวงเกาโฉ่ว คือหนึ่งในอาวุโสที่มีอำนาจในการตัดสินใจของตระกูลจวง พวกมันต่างมีวรยุทธ์สูงส่ง คิดตะลุยตีไปทั่วเมืองเทียนเอินยังไม่ใช่เรื่องยาก จวงเกาโฉ่วคิดแล้วก็เห็นด้วย ตัวมันเองก็เป็นผู้สูงส่งท่ามกลางหิมะขาวตะวันแดงเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นแล้วจะคู่ควรกับนามของมันได้ยังไง
ด้วยเหตุนี้ จวงเกาโฉ่วเลยเข้าควบคุมสถานการณ์ นำจวงเฉียนเดินทางออกจากเมืองเทียนเอินทันที ด้วยอดใจรอที่จะสะสางบัญชีกับพวกลูกวัวน้อยเหล่านั้นไม่ไหวแล้ว
ฉินจิ่วเกอกำลังนั่งคอตกอยู่ในห้อง ตัวมันเป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่พรรคหลิงเซียวแสนเกรียงไกร แต่คนกลุ่มนี้ถึงกับไม่ยอมเชื่อวาจาของมัน ช่างไร้นัยน์ตากันเสียจริง
ขณะที่กำลังคิดสะระตะและใกล้จะผลอยหลับอยู่นั้น เหนือฟากฟ้าเมืองล่วนโต้ว พลันปรากฏพลังวิญญาณแกร่งกร้าวขุมหนึ่งทาบทับลงมา สยบเมืองที่มีประชากรนับล้านเอาไว้ พลังวิญญาณกวาดกราด ผืนดินแตกกระจาย กายาเหล็กร้อนรุ่ม ฝูงชนต่างแตกตื่นประหลาดใจ
พิสุทธิ์ไพศาล สามารถท่องไปในทวีปฉงหลิง ขอเพียงไม่ไปล่วงเกินขุมอำนาจยักษ์ใหญ่พวกนั้นเข้าก็พอ ส่วนกลั่นดวงธาตุที่อยู่เหนือขึ้นไปอีก สามารถเคลื่อนย้ายข้ามมิติ คิดเดินทางท่องทวีปจนครบทุกซอกมุมย่อมกระทำได้ไม่ยาก
จวงเกาโฉ่ว กลั่นดวงธาตุขั้นหก หากอยู่ในสี่พรรคใหญ่เผ่ามนุษย์ ยังถือว่ามีอำนาจในระดับหนึ่ง
จวงเฉียนชี้นิ้วไปทางสิ่งปลูกสร้างหน้าตาอัปลักษณ์หลังหนึ่งภายในเมือง “นั่นก็คือตระกูลซู! ”
จวงเกาโฉ่วผงกศีรษะ ไอวิญญาณฟ้าดินอันไพศาลก็ผนึกแทนที่ด้วยฝ่ามือขนาดใหญ่ข้างหนึ่งที่ร่วงหล่นลงใส่ตระกูลซูจากบนฟ้าสูงขึ้นไปพันเมตร
ฉินจิ่วเกอเองก็สัมผัสถึงผู้มาได้ ท่ามกลางบรรยากาศของเมืองล่วนโต้ว ต้องออกไปชมดู พลังขุมนั้นแผ่กลิ่นอายยอดยุทธ์เต็มพิกัด แต่ก็ยังห่างไกลจากกลั่นดวงธาตุขั้นแปดอยู่ดี แปลว่าผู้มาไม่ใช่จวงปี้
แค่ต้องรับมือกับพลังกดดันขุมนี้ แม้แต่กลั่นดวงธาตุทั่วไปยังต้องหลั่งเหงื่อกาฬโชกชุ่ม ประสาอะไรกับตระกูลซู ขนาดตัวประมุขเองยังไม่กล้าหายใจ ที่เหลือก็ทำท่าปานจะขาดใจตายให้ได้
สี่ประมุขขุนเขาและหลงเฟิงห้อมล้อมประมุขน้อยเอาไว้ อย่างไรเสียคนผู้นี้ก็ชอบหาเรื่องจนเกินไป ยามหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ยิ่งมีแนวโน้มเป็นพิเศษ
ฉินจิ่วเกอหรี่ตาลง ทอดตามองรังสีพลังของจวงเกาโฉ่ว น่าขัน แค่ชื่อว่าจวงเกาโฉ่ว ก็นึกว่าตัวเองเก่งนักหรือไง ก่อนหน้านี้ตัวมันเองชื่อจางเต๋อไค ยังไม่เห็นจะขายคีมเหล็กอะไรตรงไหนซะหน่อย
“มนุษย์เราควรประพฤติตนเรียบง่ายติดดินเข้าไว้ ไปเหาะเหินอยู่บนฟ้า คิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์นกหรือยังไง? ” ฉินจิ่วเกอไม่ปลื้ม รู้สึกว่าจวงปี้ขาดน้ำมิตร ยามอยู่บนนาวาเรืองปัญญาเชือดไก่สาบาน ไก่ตัวนั้นหมดรสชาติแล้ว
“สอยมันลงมา จากนั้นก็ให้ประมุขจวงมาที่นี่ด้วยตัวเอง! ” ฉินจิ่วเกอสะบัดชายเสื้อเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงคำสั่งการสั้นๆ
สี่ประมุขขุนเขานิ่งคิดอยู่ครู่ จากนั้นหันไปมองหลงเฟิงเป็นตาเดียว หลงเฟิงสีหน้าต้องแปรเปลี่ยนในที่สุด เหมือนสตรีที่ท้องผูกมาครึ่งปี รอบด้านช่างมืดมัวสลัวราง
ตนที่เป็นกลั่นดวงธาตุขั้นสอง เอาแค่รับมือกับกลั่นดวงธาตุขั้นสามทั่วๆ ไปก็ตึงมือมากพอแล้ว พอจะได้ชัยมาอย่างฉิวเฉียด แต่คนที่ตระกูลจวงส่งมาในครั้งนี้ คือกลั่นดวงธาตุขั้นแปดผู้ยิ่งใหญ่ ตนไหนเลยจะสู้รบปรบมือกับมันได้ นี่ยังจะไม่ใช่รนหาที่อีกหรือ?
เหล่าประมุขขุนเขาแค่นเสียงฮึ่มฮั่มออกมา สุดท้ายก็ให้เกียรติผลักไสประมุขหลิวผู้มีอารมณ์ฉุนเฉียวออกไปทำการขับไล่ศัตรู
ไม่ต้องอะไรมาก เอาแค่รอยตะขาบชวนขนลุกบนใบหน้าของประมุขหลิว มันก็สามารถสวมบทผู้ร้ายหน้าดำได้โดยปราศจากแรงกดดันใดๆ แล้ว
ประมุขหลิวถือขวานเล่มโตเดินออกไป หมายมั่นปั้นมือว่าจะสับสังหารเจ้าพวกปัญญาอ่อนนี่ให้แหลกละเอียดไปเลย ถึงแม้ว่าตนจะเกิดมาหน้าตาดูไม่น่าอภิรมย์เท่าใด แต่ก็ไม่ไร้ยางอายเท่าเจ้าพวกนี้หรอก
บนฟ้า จวงเกาโฉ่วยืนครองผืนฟ้านภากาศ รายล้อมด้วยเมฆหมอกขาว ไอวิญญาณข้นเหลวลอยวนอยู่รอบตัว เปล่งสง่าราศีปานไหน
จวงเฉียนรู้สึกเลื่อมใสปานพบเห็นเทพเทวา “อาวุโสเกาโฉ่วบารมีสูงส่ง ทำเอาคนพวกนั้นต้องหน้าดำคร่ำเครียด คาดว่าคงหวาดกลัวจนไม่กล้ากระดิกตัวไปแล้ว”
จวงเกาโฉ่วหัวร่อเสียงดัง เสียงแพร่สะพัดไปทั่วเมืองล่วนโต้ว “นั่นย่อมแน่นอน เราผู้เฒ่าเหยียบย่ำเมืองเทียนเอินไว้แทบเท้า ยากที่จะมีคู่ต่อกร จะมีใครที่ไม่เคารพข้าสักสามส่วน?”
ในตอนนั้นเอง ท่ามกลางคนนับล้านกลับมีเงาร่างสูงใหญ่กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังผู้หนึ่งก้าวเดินออกมา
“เป็นมันหรือเปล่า” จวงเกาโฉ่วถาม มันเองก็รู้สึกได้ถึงพลังยุทธ์ชั้นกลั่นดวงธาตุของอีกฝ่าย
จวงเฉียนส่ายหน้า “ไม่ใช่ ไม่ได้อัปลักษณ์ขนาดนี้”
ในฐานะยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุเหมือนกัน มีหรือประมุขหลิวจะไม่ได้ยิน ในใจเป็นต้องพิโรธคลั่ง “ไอ้ตัวบัดซบทั้งสอง ยังไม่รีบไสหัวลงมา หาไม่แล้วปู่เจ้าผู้นี้จะจับเจ้ามาถลกเนื้อหนังแล้วกลืนลงท้องไปเลย! ”
จวงเกาโฉ่วเป็นชนชั้นไหน ไอ้คนดื้อด้านที่ด้านหน้าตรงนี้ ดูแล้วพลังฝีมือคู่คี่สูสี เป็นอีกฝ่ายส่งมาต้านทานตนเอง
“เจ้าก็คือกำลังเสริมที่ตระกูลซูเชื้อเชิญมา? ”
“ตระกูลซูไม่ได้หน้าใหญ่ขนาดนั้น เป็นข้าที่ตัดสินใจจะยื่นมือเข้ามาเอง พวกเจ้าก็รีบๆ ไสหัวไปเรียกจวงปี้มาได้แล้ว”
“สามหาว! ” พลังกลั่นดวงธาตุขั้นหกกวาดกราดไปทั่วฟ้า จวงเฉียนยังไม่กล้าจ้องมองตรงๆ รีบถอยฉากออกไปไกล
ภายในเมืองล่วนโต้ว ทุกคนต่างก็ทำอะไรไม่ถูก ยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุขั้นหก ถึงกับมีคนกล้าไปตอแยมัน ทั้งคนผู้นี้ยังมาจากตระกูลซูเสียด้วย ทุกคนใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ไม่กล้าทึกทักมั่วซั่ว
ในตระกูลซู ประมุขซูเป็นกังวลจนอยู่ไม่ติดที่ “สหายของท่านคนนั้น แน่ใจนะว่าจะรับมือไหว? ”
ฉินจิ่วเกอจิบชาอย่างไม่นำพา “พี่ซู ท่านมองว่าอย่างไร? ”
“รับมือได้แน่” ซูมู่ซวนกัดฟันกล่าว
ความรู้สึกที่มีคนเชื่อใจท่านช่างเป็นความรู้สึกอันน่าพิสมัยจริงๆ ฉินจิ่วเกอจึงอารมณ์ดียิ่ง “ไม่เสียทีที่ข้าอุตส่าห์ปฏิบัติต่อท่านด้วยดีมาตลอด ท่านนี่ช่างวิสัยทัศน์กว้างไกลจริงๆ ”
ดั่งคำที่ว่าไม่มีใครในโลกที่เข้าใจในตัวบุตรชายไปดีกว่าพ่อของมัน ประมุขซูจึงกระซิบถาม “ทำไมไปตอบอย่างนั้น? ”
ซูมู่ซวนมองไปไกลแล้ว ตอบอย่างคนมีปัญญา “ท่านพ่อ พี่ฉินผู้นี้ทั้งโลภมาก ทั้งตัณหาจัด รักตัวกลัวตาย ได้ไม่รู้จักพอ หวังชื่อเสียงรักผลประโยชน์ ตะกละตะกลาม แถมยัง……”
“พอ” ประมุขซูจ้องมองผู้เป็นบุตรชายด้วยแววตาแปลกพิกล คลังคำศัพท์ของเจ้าเด็กนี่ช่างมีสีสันฉูดฉาดเสียเหลือเกิน
“ข้ามพวกวาทศิลป์พวกนี้ไป” ประมุขซูสั่ง
ซูมู่ซวนผายมือกล่าว “ที่จริงหากไม่นับเรื่องพวกนี้ พี่ฉินคนนี้ก็คือคนที่ถนอมชีวิตตัวเองเป็นที่สุด ไม่ว่าจะเงิน ตัณหา ชื่อเสียง ต่างก็ไม่สำคัญเทียบเท่ากับชีวิตของมัน หากมีอันตรายกล้ำกรายจริง มันย่อมหนีไปเป็นคนแรก ในเมื่อมันไม่หนี ก็แปลว่ามันยังมีไพ่ในมืออยู่”
ประมุขซูคิดตาม แล้วก็ต้องเห็นพ้อง
“อย่าไปตั้งความหวังกับความซื่อสัตย์ภักดีระหว่างกันให้มาก ถ้าอยู่ๆ มีชนชั้นกฎสรรพสิ่งโผล่พรวดเข้ามา เกรงว่าฉินจิ่วเกอตอนนี้คงจะสะบัดตูดยกธงขาวยอมศิโรราบไปแล้ว ไหนเลยจะมานั่งดื่มชาสบายใจเฉิบอยู่ตรงนี้ได้