เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 150 เมืองเทียนเอินหลัก
“ผู้มาเยือนคือแขก พอเจอหน้ากัน อาวุโสซุนกับข้าก็เข้าขากันเป็นอย่างดี ตอนนี้มันเลยกำลังกระชับความสัมพันธ์กับผู้ใต้บังคับบัญชาข้าสี่ประมุขขุนเขาอยู่”
ฉินจิ่วเกอแสดงความรักออกนอกหน้า จากนั้นสั่งให้สี่ประมุขหยุดมือแล้วพาซุนไป๋ออกมาอย่างทะนุถนอม
บนพื้นปรากฏก้อนเนื้อสีขาวที่บวมฉึ่งเป็นพิเศษเพิ่มขึ้นมาก้อนหนึ่ง ทั่วทั้งตัวมีแต่รอยปูดนูนสีแดง เบ้าตาทั้งสองจมลึก แลดูข่มขวัญผู้คนยิ่ง
สำหรับชนชั้นกลั่นดวงธาตุ ต่อให้หักแขนหักขาก็ยังไม่ใช่เรื่องใหญ่
บาดแผลเช่นนี้ดูแล้วน่าสังเวชไม่น้อย แต่สามารถทรมานยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุจนถึงขนาดนี้ก็ยังเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่ออยู่ดี
หนังตาของประมุขจวงกระตุกแล้วกระตุกอีก มองไปทางสี่ประมุขขุนเขา ในใจเป็นต้องพรั่นพรึง
ยังดีที่ท่าทีของมันเมื่อครู่นับว่าไม่เลว ไม่ได้วางท่าอวดเบ่งเหมือนกลั่นดวงธาตุบางคน ไม่งั้นคงได้ดูไม่จืดแน่
ซุนไป๋ตื่นขึ้นมาทั้งที่ยังหัวหมุน ไม่อาจรู้สึกถึงปากตัวเอง เลยได้แต่พึมพำ “ประมุขจวง ช่วยข้าจัดการพวกมันเร็ว กล้าลงไม้ลงมือกับข้า รอข้ากลับไปรายงานท่านเจ้าสำนักก่อนเถอะ พวกเจ้าไม่ได้ตายดีแน่”
ประมุขจวงถูกหนีบขนาบไว้ตรงกลาง รู้สึกกระอักกระอ่วนยิ่ง เรื่องวุ่นวายนี้ ข้ารับประทานจนเกินพอแล้ว และก็ไม่กล้าลงมือกับฉินจิ่วเกอ ไม่งั้นอาวุโสของพรรคมันจะต้องไม่ปล่อยตระกูลจวงไปแน่
อีกอย่าง ที่นี่ยังมีกลั่นดวงธาตุอยู่ถึงสี่คน ทุกคนล้วนฟังคำสั่งจากฉินจิ่วเกอ เพียงแค่ขุมกำลังระดับนี้ ตลอดทั้งเมืองเทียนเอินย่อมไม่มีใครกล้าดูแคลน
“พวกเจ้า? ” ฉินจิ่วเกอแคะหู ปรายตามอง “นับรวมข้าด้วย? ”
“แน่อยู่แล้ว! ” ซุนไป๋ตาห้อเลือด แทบจะพุ่งเข้าไปกัดคนตรงหน้า “โดยเฉพาะเจ้า ข้าขอให้เจ้าถูกทรมาทรกรรมทุกรูปแบบไปเลย”
ฉินจิ่วเกอกระทืบเท้า กล่าวเสียงสลด “คิดแล้วเชียว คิดแล้วเชียว เป็นเพราะข้าเกิดมาหล่อเหลาเกินไป เจ้าก็เลยริษยาข้าจนเสียสติ พยายามที่จะทำลายความงามของโลกอย่างข้า”
ซุนไป๋ที่กำลังนอนเจ็บยิ่งหายใจถี่กระชั้น ปากหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ ช่างเป็นคำพูดที่ไร้ยางอายอะไรขนาดนี้ เจ้าเด็กนี่มันเกินเยียวยาแล้ว
ประมุขจวงไม่ได้แสดงท่าทีอะไร เพียงย่อตัวช่วยพยุงร่างซุนไป๋ขึ้นมา “เหล่าซุน อย่าได้พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย ถือว่าแล้วกันไปเถอะ”
เมืองเทียนเอินไม่ได้มีแต่เขาพิรุณเซียนที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ตอนนี้ ขอเพียงฉินจิ่วเกอนำพาสี่ประมุขของมันไปเข้าร่วมกับค่ายพรรคเดชมารหรือสมาพันธ์อู่ซิ่ง วันข้างหน้าย่อมถึงตาเขาพิรุณเซียนที่ต้องปวดเศียรเวียนเกล้าแล้ว
“ไม่ได้! ” ซุนไป๋ยังใจสั่นไม่หาย ตามองไปทางสี่ประมุขผู้มีสังขารน่าพรั่นพรึง “พวกมันนั้นช่างเถิด แต่กับเจ้าเด็กนี่ ข้าต้องฆ่ามันให้ได้”
“ที่แท้เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ” ประมุขจวงหน้าตึง ไม่กล้าบอกว่าตัวเองเข้าใจทุกอย่างที่เกิดขึ้น
ฉินจิ่วเกอถอนใจกล่าว “พี่จวงอาจไม่ทราบ แต่ตอนที่อาวุโสท่านนี้บุกเข้ามา อยู่ๆ ก็ร้องขอให้พวกข้าทำร้ายมัน ซ้ำยังเน้นว่าให้ทำร้ายอย่างถึงลูกถึงคน พวกข้าตอนแรกก็ไม่อยากลงมือ แต่เพราะเห็นแก่ความจริงใจของมันก็เลยต้องใจอ่อน ยอมสนองความต้องการแอบจิตของมัน”
“เจ้า เจ้าพูดบ้าอะไร ซู๊ดด” ขณะกำลังด่าทอ ปากแผลก็ฉีกเปิด ซุนไป๋ยกมือกุมแผลอย่างเจ็บปวด เลือดท่วมตัว ดูไปเหมือนบุตรไม่รักดีที่ถูกลงทัณฑ์สถานหนัก
“งั้น งั้นทำไมมันถึงได้ตัวแดงเถือกขนาดนี้?” ประมุขจวงถาม
ฉินจิ่วเกอยกมือทาบอก กล่าวอย่างมีไสตล์ “นี่คือซอสปรุงพิเศษจากตระกูลซู ท่านคงต้องถามเอากับประมุขซูเองแล้ว”
จวงปี้ถอนใจ หากรู้แต่แรกมันจะไม่มาเลย แต่คงไปหลบอยู่ในเมืองเทียนเอินช่วยเขาพิรุณเซียนวางแผนแทน เรื่องการหาคู่ครองของสมาพันธ์อู่ซิ่งในอีกไม่กี่วันต่างหากจึงจะเป็นเรื่องเร่งด่วน
ขณะกำลังกระซิบกระซาบกับซุนไป๋ ประมุขจวงก็บอกเล่าเรื่องที่ตนรู้มาทั้งหมดให้อีกฝ่ายฟังไปด้วย สรุปง่ายๆ ก็คือคนผู้นี้เจ้าไม่อาจตอแยโดยเด็ดขาด
เอาแค่ศักยภาพและพรสวรรค์ของมัน วันข้างหน้าพวกตนย่อมไม่อาจไปเทียบได้แน่ นอกจากนี้บรรดาอาวุโสเบื้องหลังมัน ยามเขาพิรุณเซียนพบเห็นยังต้องทำตัวสุภาพนอบน้อมด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ ยังมีกลั่นดวงธาตุระดับสูงสี่คนคอยคุ้มครอง ทั้งยังเชื่อฟังคำสั่งยิ่ง ซุนไป๋ผนึกกำลังกับตนยังไม่แน่ว่าจะทำอะไรอีกฝ่ายได้
ซุนไป๋ไม่ได้เข้าร่วมศึกแย่งชิงผลอู๋เลี่ยงจึงไม่ทราบเนื้อหาตำนานในวันนั้นของฉินจิ่วเกอเท่าใด ตำนานของเจ้าหนุ่มเทพจุติเปล่งรัศมีเฉิดฉาย ในมือถือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ ก้าวเดินออกจากนาวาเรืองปัญญา พรสวรรค์ไร้คู่เปรียญ บดขยี้อัจฉริยะทั่วหล้าในพริบตา
ซุนไป๋เงียบงันไปโดยปริยาย ประมุขจวงพูดถูกแล้ว เทียบกับกลั่นดวงธาตุคนอื่น ฉินจิ่วเกอไม่ใช่คนที่พวกมันจะตอแยได้ยิ่งกว่า เพราะไม่มีใครรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของมัน แต่มีคนกระซิบมาว่า เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามนุษย์
ตำหนักเหนือสุดก่อนสวรรค์ ปกครองหนึ่งล้านปี
กำปั้นที่ยังไม่ถูกปล่อยออกไป คือช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด เพราะไม่มีใครรู้ว่า พลังที่แฝงอยู่ในกำปั้นนั้น จะทรงพลังถึงขั้นบดขยี้ตนให้แหลกเละไปเลยหรือไม่
แต่เดิมทุกคนก็ไม่ได้มีเรื่องเข้าใจผิดอะไร แม้เขาพิรุณเซียนจะเคยสร้างความลำบากให้ แต่ตัวแทนของมันก็ถูกทุบตีไปแล้ว สุภาพบุรุษฉินอย่างมัน ย่อมไม่เสแสร้งจนไม่รู้จักปล่อยวางแน่
ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ ตอนนี้ตัวมันก็คือยอดฝีมือชั้นพิสุทธิ์ไพศาล เป็นตัวตนที่มีหน้ามีตาเทือกนั้น
“อ้อ ที่แท้เป็นอาวุโสขั้นหนึ่งตระกูลจวง มิน่าถึงได้สง่างามปานเทพเซียน สังขารกระดูกยอดเยี่ยมปานเทพบนสวรรค์” ฉินจิ่วเกอยังคงเลียประจบไม่เลิก แสดงความชื่นชมเลื่อมใสเหมือนปรนนิบัติต่อบรรพชน เรียนเชิญซุนไป๋สู่ที่ประทับ
จากนั้นกล่าวต่อ “ดูท่านสิ ซุกซนจริงเชียว ดันเอาตัวไปจุ่มไหพริกแดงจนเปียกชุ่มแดงเถือกไปทั้งร่าง ใครไม่รู้ อาจคิดว่าพวกเรารุมทำร้ายท่าน เกิดเรื่องแพร่ออกไปอาจสร้างความเข้าใจผิดได้ง่ายๆ ”
สมาชิกตระกูลค่อยๆ ทยอยกันออกมาทั้งที่ยังตัวสั่นด้วยความกลัวกันอยู่ ปลุกขวัญกำลังใจตัวเองคารวะทักทายแขกเหรื่อสูงศักดิ์ในที่นี้ พอเห็นซุนไป๋ที่เนื้อตัวแดงเถือกไปหมดก็อดคิดไม่ได้ว่าแทนที่จะใช้ชื่อซุนไป๋ (ขาว) ควรเปลี่ยนเป็นซุนหง (แดง) ยังจะเหมาะกว่า ดูหน้าเทพเซียนของท่านสิ ช่างแดงปลั่งจริงแท้
จากนั้นทุกคนก็พากันร้องอุทานออกมา ที่แท้อาวุโสเทพเซียนก็มีรสนิยมประหลาด ชอบลงไหไปหาน้ำพริกกิน ซุกซนจริงแท้ สมกับที่เป็นยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุ ยามกระทำเรื่องราวก็ทำอย่างที่ใจต้องการ หากใครไม่รู้ อาจคิดว่ามันถูกคนทำร้าย ชวนให้เข้าใจผิดเอาง่ายๆ
แต่ช้าก่อน เมื่อไหร่กันที่ตระกูลเราทำไหพริกเอาไว้?
ซุนไป๋รู้ว่าฉินจิ่วเกอจงใจ ความเข้าใจผิดอันแสนงดงามนี้ เป้าหมายก็เพื่อระบายโทสะกับเขาพิรุณเซียน ก็ใครใช้คนบ้านท่านมารังแกพวกข้าก่อนเล่า
แต่ว่า ตอนนั้นตัวมันกำลังปิดด่านฝึกตน ไม่ได้ทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่กระผีก คนต้นเรื่องมาเกี่ยวอะไรกับตน เทียบกับหลบอยู่ดีๆ กระสุนหล่นลงหัวแล้วยังน่าสลดยิ่งกว่า!
ฉินจิ่วเกอเองก็เข้าใจหัวอกซุนไป๋ แต่ใครใช้ให้เข้ามาเจอกับคนที่ไร้เหตุผลปานนี้กันเล่า
สุภาพบุรุษฉินรู้สึกผิดต่อซุนไป๋ หลังกล้ำกลืนความเจ็บปวดอย่างสุดซึ้ง ถึงค่อยควักแหวนมิติออกมาวงหนึ่งได้ “นี่..ก็..คือ.. นี่ก็คือ… ของชดเชยต่อเรื่องเมื่อเย็น”
ประมุขจวงตาโตเป็นไข่ห่าน ไม่กล้าทำใจเชื่ออย่างแท้จริง เพียงแค่มองปราดเดียวมันก็รู้ได้ว่าฉินจิ่วเกอเป็นคนขี้เหนียวขนาดไหน แต่นี่ยังไม่ต้องพูดถึงคำขอโทษ อีกฝ่ายถึงกับยอมมอบของชดเชยออกมาให้
สี่ประมุขขุนเขาเองก็มองภาพตรงหน้าด้วยอาการไม่ต่างกัน ประมุขน้อยใช่กินอะไรผิดสำแดงมาหรือไม่ ถึงกับเสนอตัวยอมจ่ายค่าชดเชย นี่จะต่างอะไรกับยกชีวิตให้อีก? ดูท่าวันนี้ฤกษ์งามยามดี ฟ้าสดใสสรรพสิ่งเบิกบาน คนคงกินอะไรผิดสำแดงไปแน่ๆ
จวงปี้อ้าปากพะงาบๆ อยู่นาน แต่ก็ไม่อาจเปล่งเสียงออกมาได้ ไฉนแหวนมิติในมือของซุนไป๋ถึงได้ดูเหมือนของอาวุโสตระกูลมันเลยล่ะ
ซุนไป๋ไม่เข้าใจอยู่บ้าง คิ้วที่เปื้อนเลือดขมวดมุ่น ติดค้างเงินทองก็ต้องจ่าย ฆ่าคนก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต นี่เป็นหลักการปกติ ทุบตีตนเองจนบาดเจ็บระดับแปด แค่ชดเชยด้วยเงินไม่กี่ก้อน ไยต้องทำเหมือนเป็นเรื่องใหญ่กันด้วย
จริงน้า คนพวกนี้ช่างไร้เหตุผลเสียจริง
หลังได้แหวนมา ซุนไป๋ก็ตั้งใจจะดูว่าในนั้นมีเงินเท่าไหร่ กลั่นดวงธาตุขั้นแปดถูกทำร้ายทั้งที ขี้หมูขี้หมาก็ต้องเจ็ดแปดล้านขึ้นไป
ฉินจิ่วเกอรีบดึงมือซุนไป๋ไว้ก่อน ทั้งยังขยิบตาให้ เป็นอันรู้กันว่า ข้าพเจ้าเป็นคนดีมีศีลธรรม ยังคงไว้หน้าข้าพเจ้าสักหน่อยดีหรือไม่
ฉินจิ่วเกออธิบายถึงสาเหตุที่ตนมาเมืองเทียนเอิน เป้าหมายไม่ใช่เพื่อครอบครองพื้นที่ แต่เพื่อหารายได้เล็กๆ น้อยๆ เพื่อเอาไปบริหารพรรคต่อ
ตระกูลจวงและเขาพิรุณเซียนต่างก็มีศัตรูร่วมกันใช่หรือไม่? จะค่ายพรรคเดชมารก็ดี สมาพันธ์อู่ซิ่งก็ดี โดยเฉพาะพรรคทรราช นั่นคือขุมกำลังของเผ่าอสูร ในเมื่อเป็นมนุษย์เหมือนกัน ย่อมต้องร่วมหัวจมท้ายกันอย่างขมักเขม้น
มังกรไม่อาจกำราบงูเจ้าถิ่น
ฉินจิ่วเกอไม่ได้วางแผนว่าจะแก่งแย่งดินแดนกับงูเจ้าถิ่นพวกนี้ นอกจากเมืองล่วนโต้ว พวกตนก็ไม่ไปไหนทั้งนั้น ทำเช่นนี้ ก็จะลดการโต้กลับของสี่ขุมอำนาจสูงสุดไปได้มาก
ก็แค่แล่หนังพวกมันออกมาบางๆ ไม่ได้ถลกหนังออกมาทั้งยวงเสียหน่อย แค่นี้น่าจะอยู่ในขอบเขตที่พวกมันรับได้กระมัง
ทำการค้า ท่องไปทั้งเหนือใต้ นี่จึงเรียกว่ากระทำแบบไม่กระทำ
ซุนไป๋ส่งเสียงฮึ่มฮั่มออกมาอีกหลายที แต่ก็ไม่ได้ไปสนใจ ถึงอย่างไรหากคิดร่วมมือกับเขาพิรุณเซียน เกณฑ์ส่วนแบ่งคือสิบต่อสอง หากฉินจิ่วเกออยากได้ส่วนแบ่งที่ว่า ก็ต้องทำตามกฎระเบียบที่วางไว้
สี่ขุมอำนาจสูงสุดเป็นเหมือนหอคอยที่ผงาดง้ำเหนือเมืองเทียนเอินมานับล้านปี ไม่ว่าขุมอำนาจใด ก็ต้องกอดขาอาศัยพวกมันจึงจะรอดชีวิตต่อไปได้ ฉินจิ่วเกอจึงเลือกที่จะเกาะขาเขาพิรุณเซียนผ่านการช่วยเหลือของตระกูลจวง อย่างไรเสียพวกมันต่างก็เป็นคนของเผ่ามนุษย์เหมือนๆ กัน
สิบต่อสองก็คือการแบ่งกำไร คาดว่ากฎของอีกสามตระกูลเองก็ไม่ต่างกันนัก ตระกูลจวงและเขาพิรุณเซียนเกี่ยวดองกันอยู่ ส่วนแบ่งกำไรในแต่ละปีก็คือสิบต่อสอง ซึ่งถือว่ามากทีเดียว
ส่วนแบ่งกำไรนี้มากพอที่ฉินจิ่วเกอต้องเลิกคิ้ว ต่อให้เป็นหนึ่งร้อยต่อห้า มันก็ยังมองว่ามากอยู่ดี ประสาอะไรกับสิบต่อสอง มีหรือไอ้เด็กนี่จะไม่ฉวยเอาไว้
ฉินจิ่วเกอถลกแขนเสื้อขึ้น หน้าดำมะเมี่ยม แทบจะแตกหักกับซุนไป๋มันตรงนั้น ใช้การคว่ำถ้วยส่งสัญญาณ แล้วบดขยี้ตาแก่ซุนไป๋นี่ให้เป็นหมูบดไปเลย
ประมุขจวงเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี ก็รู้ได้ทันทีว่าน้องฉินผู้นี้ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย คิดเสวนากับมัน ขอเพียงอย่างเดียวอย่าวกเข้าเรื่องเงิน ที่เจ้าให้เงินไป เท่ากับยอมควักเนื้อตัวเองออกมา ที่เสียหายไม่ใช่แค่มิตรภาพระหว่างกัน แต่ยังมีความเจ็บปวดทางกายภาพอีกด้วย
“น้องฉิน สงบจิตสงบใจก่อน ราคานี้ถือว่าเป็นที่ยอมรับกันทั่วเมืองเทียนเอิน มีขุมกำลังเล็กๆ ไม่น้อยที่ได้ส่วนแบ่งสิบต่อสาม หากเจ้ายินดี จะหนึ่งร้อยต่อสิบห้าก็ล้วนเจรจากันได้”
ประมุขจวงกลัวว่าฉินจิ่วเกอจะวู่วามขาดสติ ถึงอย่างไรนายน้อยคนนี้ก็เป็นบุคคลประเภทไม่เกรงฟ้ากลัวดินอยู่แล้ว ต่อให้ราชันปรโลกมาเองก็ยังกล้าไปกระตุกหนวดเทือกนั้น
ซุนไป๋พอเห็นท่าทีของฉินจิ่วเกอก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง ถึงยังไงจนถึงตอนนี้หน้ามันก็ยังเจ็บๆ แสบๆ อยู่เลย
“จริงสิ ข้ายังไม่ได้ถามเจ้าเลย เจ้าไปหายอดฝีมือตั้งหลายท่านนี้มาจากไหนกัน? ” จวงปี้ถามอย่างเป็นกันเอง ตั้งใจว่าจะเปลี่ยนบรรยากาศอันเย็นเยือกนี้
มีคนเล่าลือหรือกระทั่งสาบานว่าฉินจิ่วเกอมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามนุษย์
แต่สี่ประมุขที่มันพามา แม้ระดับฝีมือจะไม่ต่ำทราม แต่ชัดเจนว่าเป็นคนของเผ่าพิสดาร
ในมหาทวีป ฐานะของเผ่าพิสดารนับว่าเลวร้ายยิ่ง เป็นเหมือนพวกนอกรีตที่ไม่เป็นที่ยอมรับ
นี่ก็คือเมืองเทียนเอิน สถานที่ที่มองผลประโยชน์และอำนาจมาเป็นสำคัญ ในถิ่นของสามเผ่า เผ่าพิสดารกลับมาปรากฏตัวอย่างไม่เห็นหัวใคร ย่อมไม่พ้นถูกขับไล่ไสส่งแน่
ฉินจิ่วเกอทำตัวมีเลศนัย “สวรรค์เบื้องบนกล่าวไว้ มิอาจแง้มพราย”
“งั้นตัวเจ้าตอนนี้ เป็นตัวแทนของพรรคเบื้องหลังเจ้า หรือจากขุมกำลังที่จัดตั้งขึ้นเองกันล่ะ? ” เมื่อมีคนอยากเข้าร่วม ในฐานะบุคคลลำดับสองของเขาพิรุณเซียน ซุนไป๋ย่อมต้องยินดีอยู่แล้วเป็นธรรมดา
อาศัยยอดฝีมือใต้อาณัติของฉินจิ่วเกอ ย่อมช่วยให้เขาพิรุณเซียนพลิกสถานการณ์ในปัจจุบันได้เลย
อีกอย่าง คนพวกนี้เพียงมุ่งหมายไปที่ทรัพยากรฝึกฝีมือ ไม่หวังครอบครองอาณาเขต ซุนไป๋แน่นอนว่าต้องยินยอมขึ้นโต๊ะเจรจา คัดกรองเงื่อนไขอย่างรอบคอบ