เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 16 ผู้อื่นวิวาห์เข้าหอห้อง
บนปลายเล็บคมกุดหยาบกร้าน สามารถพบเห็นเศษผ้าที่ขาดติดอยู่บนนิ้วทั้งห้าของหมีเซียนแดงได้ ก่อนที่ในพริบตาต่อมาจะถูกพลังอันมหาศาลของเจ้าสัตว์หน้าขนบดขยี้ให้เป็นผง หมีเซียนแดงหอบถี่อย่างหนักหน่วง เลือดไหลหยดเป็นทาง อาบย้อมขนบนตัวจนแดงฉานเป็นหย่อมใหญ่
“ในเมื่อแขกมาถึงแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องประวิงเวลาอีก”
ภายใต้เสื้อคลุมดำ เสียงแหบพร่าดังลอดออกมา น้ำคำแผ่วระโหย คาดว่าคนผู้นี้ต้องมีอายุอานามไม่น้อย
“กระบี่มหานทีสะบั้นสุริยัน!”
ปลายกระบี่เปลี่ยนเป็นสีแดงดั่งโลหิต ยอดจรดชี้ขึ้นฟ้า ยามทับซ้อนกับดวงตะวันที่กำลังตกจมขอบฟ้าจึงเกิดเป็นภาพทะเลโลหิตอันเดือดพล่านขึ้นมา
แมกไม้ดกครึ้มบนศีรษะถูกแรงกระแทกจากหมีเซียนแดงทำลายจนเป็นช่องโหว่พอให้ลำแสงอันเยียบเย็นทว่าเจิดจรัสบางส่วนส่องผ่านลงมาได้
พริบตานั้น แสงเจิดจ้าเรืองรองจากด้านหลังเสื้อคลุมดำ คนยกกระบี่ยาวขึ้นเหนือศีรษะ
ตัวกระบี่สีเงินยวงยามนี้กลับเปล่งประกายสีรุ้งเลือนราง ประดุจดั่งรุ้งกินน้ำที่พาดผ่านผิวน้ำ เชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกัน
“ตาย!”
แสงสีทองพิฆาตทะยานออกใส่หมีเซียนแดงที่หมดเรี่ยวสิ้นแรง ลำแสงมุ่งตรงใส่ศีรษะขนปุกปุยขนาดยักษ์ที่เบื้องหน้า
หมีเซียนแดงที่เมื่อครู่ไม่อยากจากไป เมื่อเห็นลำแสงสีทองพิฆาตพุ่งตรงมาหา แตกตื่นจนนัยน์ตาสัตว์ป่ายิบหยี มันสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ลำแสงสีทองนั่นสามารถเอาชีวิตมันได้
หมีเซียนแดงไม่กล้าหยุดยั้งรั้งรอ มันหันหลังวิ่งหนี กลับวิ่งมายังทิศทางของฉินจิ่วเกอทั้งสองที่เฝ้าดูอยู่พอดี
ควันลอยกลางทะเลทราย ตะวันลับที่หวงเหอ
ประกายแสงแห่งสุริยันจันทรา มีที่มาจากครรภ์ไอวิญญาณต้นกำเนิด ไม่อาจหยุดยั้งได้
เห็นหมีเซียนแดงวิ่งแตกตื่นเข้ามาอย่างไม่คิดชีวิต หากเข้าสู่สมรภูมิรบ พลังโจมตีร่วมพันจินนี้สามารถฉีกทำลายค่ายกลเกราะหนักอันหมดจดได้อย่างง่ายดาย
ฉินจิ่วเกอที่ตั้งการ์ดระแวดระวังเต็มเปี่ยม กอดกระบี่ไว้ไม่ทราบรับมือการโจมตีเยี่ยงไรดี
ระดับที่ห่างชั้น มิใช่ร่องน้ำที่สามารถถมเต็มได้
เมื่อหมีเซียนแดงพุ่งมาถึง เดรัจฉานร้ายที่เคลื่อนใส่ราวเหินบินพลันหยุดชะงักลงกะทันหัน ศีรษะใหญ่ยักษ์ปากอ้ากว้าง คมเขี้ยวอันแหลมคมอ้าพะงาบๆ งับอากาศอย่างไร้จุดหมาย
และแล้วก็ล้มลงกับพื้น หลังศีรษะมีแอ่งโลหิตขนาดเท่ากำปั้นปรากฎอยู่ อันเป็นผลมาจากเคล็ดวิชายุทธ์ของเสื้อคลุมดำคนนั้น
ระดับฝึกปรือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของพละกำลัง นอกนั้นยังประกอบไปด้วยเคล็ดวิชาและสมบัติวิเศษ ทั้งหมดล้วนมีบทบาทสำคัญอย่างที่จะขาดไปไม่ได้
ตามการจัดจำแนกของทวีปฉงหลิง วิชายุทธ์ตั้งแต่ขั้นหนึ่งจนถึงเก้า มีเพียงวิชายุทธ์จากระดับห้าขึ้นไปเท่านั้นที่จะกระตุ้นโสตวิญญาณออกมาได้
ฉินจิ่วเกอที่ฝึกปรือเคล็ดระบำหงส์เหินของพรรคบรรพตหลิงเซียวอันยิ่งใหญ่ นั่นนับเป็นเคล็ดวิชาขั้นกลางระดับสูง เคล็ดวิชาประเภทโจมตียิ่งมีน้อย
เสื้อคลุมดำเหินบินมาจากที่ไกล ผ่าเปิดเนื้อหนังของสัตว์อสูรอย่างไร้น้ำใจ ล้วงเอาลูกแก้วขนาดนิ้วหัวแม่มือออกมาจากภายใน
นั่นก็คือดวงธาตุสัตว์อสูร เป็นที่รวมความแข็งแกร่งของสัตว์อสูร และก็คือสาเหตุการล่าสัตว์อสูรเพื่อแลกเงินที่มีมูลค่าที่สุด
มันเก็บดวงธาตุไปอย่างไม่นำพา ผินหน้ามาผงกศีรษะแก่ซ่งเล่อเล็กน้อย ถือเป็นการทักทายอีกฝ่าย
เมื่อปราศจากหมีเซียนแดงสร้างความวุ่นวาย เสื้อคลุมดำสังเกตเห็นฉินจิ่วเกอ ทั้งร่างของมันพลันสะท้านขึ้น คล้ายคาดไม่ถึงและแตกตื่นตะลึงลานอย่างถึงที่สุด
ฉินจิ่วเกอพยายามส่องสำรวจ จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจมองเห็นใบหน้าอีกฝ่ายได้ ทว่ากลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างนั้น นับว่ามีความคุ้นเคยอยู่บ้าง
“ท่านผู้นี้ พวกเรารู้จักกันหรือไม่?” ฉินจิ่วเกอโยนหินถามทาง แม้ไม่อาจเห็นใบหน้า แต่สังหรณ์ของตนกำลังบอก อีกฝ่ายกำลังจ้องเขม็งมายังตนเอง ปรารถนาในความงามของตน
ผู้อื่นผ่านคืนวิวาห์เข้าหอห้อง ตนเองจากบ้านพันลี้ยังหนีไม่พ้นเจ้าทรัพย์ นี่คือโศกนาฏกรรมขั้นสุดของมนุษย์ ยามได้ยินเจ็บปวดใจ ยามได้ฟังหลั่งน้ำตา
ไยต้องกลัวไม่อาจพบเห็นหน้าอีกฝ่าย ในเมื่อไปไหนยังไม่อาจหนีพ้นเจ้ากรรมนายเวรได้
หากสามารถเกิดปฏิกิริยาพิสดารปานนี้ต่ออีกฝั่ง สมควรเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้า คงมิใช่ตนเองเบียดบังเงินผู้อื่นมาอีกแล้วหรอกนะ?
ฉินจิ่วเกอที่เยือกเย็นมาตลอดเริ่มร้อนใจ ไฉนทั่วทั้งปฐพีจึงมีแต่เจ้าหนี้ของตนเอง
เสื้อคลุมดำท่าทีเย็นชาหมางเมิน จงใจเพิกเฉยต่อการคงอยู่ของฉินจิ่วเกอ หันไปถามซ่งเล่อด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “มันน่ะหรือสหายร่วมทางที่เจ้าว่า”
“เอ่อ” ซ่งเล่อรู้สึกงุนงงกับบรรยากาศน่ากระอักกระอ่วนนี้อยู่บ้าง แต่ก็ยังต้องเอ่ยแนะนำตามสมควร “ท่านนี้คือพี่ฉิน เป็นผู้ประพฤติดี ชอบเอ่ยวาจาติดตลก”
มองออกว่าคนชุดดำมีอคติต่อฉินจิ่วเกอ ซ่งเล่อจึงได้แต่เพิกเฉยต่อความผิดชอบชั่วดีของตนโดยการยกข้อดีของฉินจิ่วเกอขึ้นมาพูด
“ยังมีหน้าตาที่ค่อนข้างโดดเด่นอีกด้วย” ฉินจิ่วเกอกล่าวเสริมอย่างเป็นจริงเป็นจัง
หากต้องกล่าวถล่มตนเพื่อยอมและผูกมิตรกับผู้อื่น ฉินจิ่วเกอพอใจยกหางตนเองมากกว่า พี่ฉิน ท่านหล่อมาก หล่อลากดินเลยทีเดียว
“ฮ่าฮ่า” เสื้อคลุมดำที่ซ่อนใบหน้าไว้หัวร่อขึ้น เอ่ยปากถากถาง “ลูกนกที่กระทั่งด่านปราณสุริยันยังไม่อาจทะลวง จะช่วยอะไรในภารกิจของพวกเราได้?”
“เอ๋?” ซ่งเล่อเหลือบตาไปด้านข้าง มันไม่คาดคิดอย่างสิ้นเชิงว่าฉินจิ่วเกอกระทั่งปราณสุริยันยังไม่อาจข้ามผ่านได้
ระหว่างทางมา ฉินจิ่วเกอไม่มีโอกาสใช้พลังวิญญาณออกสักครั้ง ด้วยระดับการฝึกปรือของซ่งเล่อ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจหยั่งทราบระดับของฉินจิ่วเกอ
ทว่าเมื่อเห็นฉินจิ่วเกอขายชีวิตมายังป่าปีศาจโดยไม่เกรงกลัว มันจึงคาดเดาไปเองว่าอีกฝ่ายสมควรมีระดับชั้นไม่ต่ำกว่าปราณสุริยัน
เห็นเสื้อคลุมดำสามารถเปิดโปงระดับพลังฝีมือของตนได้อย่างง่ายดาย ใบหน้าหนาทนของฉินจิ่วเกอกลับไม่แดง หากแต่ในใจลอบคาดคำนวณ อีกฝ่ายแน่นอนแล้วว่ารู้จักตนเอง มันมั่นใจเกินครึ่งว่าต้องเป็นเจ้าหนี้เก่าของร่างนี้แน่นอน
ทวีปฉงหลิงนี่มีปัญหา ปราศจากหลักการสิ้นดี คนยืมคือหลานชาย คนชดใช้ดันกลายเป็นเราบรรพบุรุษ
อีกฝ่ายมองเห็นฉินจิ่วเกอ ไม่ร้องร่ำคร่ำครวญทวงหนี้ก็พอแล้ว ที่หนักกว่าคือยังรุกรานคน
ไอ้เต่าหดหัว ข้าไม่คืนเงินเจ้าแน่ ถือเป็นค่าทำขวัญของข้าแล้วกัน ฉินจิ่วเกอคิดในใจ
เมื่อรับรู้ระดับพลังฝีมือของฉินจิ่วเกอ ซ่งเล่อบังเกิดความกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ใคร่ครวญว่าตนเองใช่สมควรเชื้อเชิญฉินจิ่วเกอกลับไปอาบน้ำนอนดีหรือไม่
ไม่คาด มันไม่ทันออกปาก เสื้อคลุมดำที่ด้านข้างพลันชักกระบี่อีกครั้ง จี้ปลายอาวุธไปทางฉินจิ่วเกอ
“ให้ข้าทดสอบฝีมือของเจ้า อย่างน้อยครั้งหน้าก็ไม่เอาชีวิตมาทิ้งมั่วๆ เจ้าจะไม่ได้มีโอกาสเช่นนี้อีกแล้ว ”
คมกระบี่นี้ กระทั่งหมีเซียนแดงที่พลังป้องกันสูงสุดยอดยังไม่อาจรับไว้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงฉินจิ่วเกอ เมื่อเห็นอีกฝ่ายรุกไล่บีบคั้นเข้ามาทุกย่างก้าว ฉินจิ่วเกอถอยแล้วถอยอีกจนสุดทางถอย ต้องยกกระบี่หนักขึ้นด้วยความโกรธ รีดเค้นพลังวิญญาณทั่วร่างออกมาต้านทานไว้
พลังวิญญาณปะทะ ด้านแบนของกระบี่หนักไร้คมถูกกระบี่เขียวสามฉื่อจี้ใส่อย่างรุนแรงคราหนึ่ง ตัวกระบี่เริ่มสั่นสะท้าน พลังอันเข้มแข็งสายหนึ่งแล่นจู่โจมเข้าใส่กระดูกเส้นเอ็น
“หลอมวิญญาณขั้นเก้า ไม่มีความก้าวหน้าอันใด” ฉินจิ่วเกอสำแดงพลังฝีมือแท้จริงของมันออกมา เสื้อคลุมดำกลับไร้ปฏิกิริยา พลังที่หลงเหลือเบี่ยงออกข้างกายฉินจิ่วเกอ
หากมิได้ฮุบเงินอีกฝ่ายมาเป็นร้อยๆ ศิลาวิญญาณ ไม่มีทางก่อความแค้นยิ่งใหญ่ปานนี้แน่ๆ
“ทำเป็นมีลับลมคมนัย แน่จริงก็โผล่หัวออกมาจากชุดคลุมดำนั่น ให้บิดาได้ดูหน่อยเถอะว่าเจ้าหน้าตาอัปลักษณ์ผิดสัดผิดส่วนขนาดไหน ถึงได้ไม่กล้าพบหน้าผู้คนถึงเพียงนี้”
กระต่ายที่ถูกต้อนจนมุมยังกัดตอบ ฉินจิ่วเกอเกร็งกำลังกระชับด้ามกระบี่ที่จวนเจียนจะหลุดออกจากมือเอาไว้มั่น ก่อนจะรีดเค้นพลังจากทั่วร่างตระเตรียมจู่โจมสวนกลับโดยที่ไม่คิดจะเก็บงำพลังอีก
“หาที่ตาย!” เกิดเสียงคำรามเปี่ยมความพิโรธดังลอดออกจากภายใต้ชุดคลุมดำ
ความต่างชั้นระหว่างขอบเขตหลอมวิญญาณและปราณสุริยันเรียกได้ว่ามากมายนัก เอาแค่เรื่องที่ยอดฝีมือชั้นปราณสุริยันสามารถควบกลั่นไอวิญญาณออกมาเป็นเกราะคุ้มภัยได้ พลังโจมตีของผู้ที่อยู่ในขอบเขตหลอมวิญญาณก็ไม่อาจฝ่าเข้าไปได้แล้ว
กระนั้น ฉินจิ่วเกอมิใช่พวกรามือรอความตาย ต่อให้เป็นเง็กเซียนฮ่องเต้มาเอง มันยังกล้าแว้งกัดสักคำ
อย่างน้อยแม้ไม่อาจกัดคนจนตาย ยังสามารถถ่ายทอดพิษสุนัขบ้าแก่มัน ฉินจิ่วเกอเชื่อมั่นเช่นนั้น
“ทั้งสองยั้งมือด้วย ต่างเป็นสหายที่เราซ่งเล่อเชื้อเชิญมา ยังมีเรื่องราวต้องกระทำร่วมกัน ภายในป่าปีศาจที่แฝงอาถรรพ์ภยันตรายทุกย่างก้าวนี้ แม้แต่ยอดยุทธ์ชั้นพิสุทธิ์ยังไม่กล้าประมาทเลินเล่อ ผู้คนต้องสามัคคีรวมกลุ่มกันไว้ จึงสามารถล่าถอยกลับมาอย่างปลอดภัย”
ซ่งเล่อเร่งห้ามปรามคนทั้งคู่ สองมือแยกย้ายออกไปสองข้าง ยั้งการโจมตีของทั้งสองฝ่ายไว้
สมเป็นศิษย์ประตูหายนะ ระดับชั้นปราณสุริยันขั้นกลาง การลงมือหนักแน่นแม่นยำ พื้นฐานหนักแน่นยิ่ง
พอเห็นซ่งเล่อหยุดปลายกระบี่ของตนไว้ได้อย่างง่ายดาย คนชุดดำจึงต้องล้มเลิกแผนการอย่างไม่เต็มใจ ยังคงเอ่ยวาจาถากถาง “ไม่รู้จักประมาณตน ระวังจะได้นอนทอดกายอยู่ในป่าปีศาจสวรรค์แห่งนี้โดยไร้ที่กลบฝัง”
“เข้าใจแล้วๆ” ฉินจิ่วเกอผงกศีรษะ “ทักษะด้านอื่นของพี่เฉินยังไม่ต้องพูดถึง เอาแค่ใบหน้าผิดสัดผิดส่วนนั่น ขอเพียงแค่เผยโฉมออกมา สัตว์อสูระดับกลั่นดวงธาตุยังต้องตกใจกลัวจนขี้หดตดหาย ไหนเลยจะกล้าแลกเปลี่ยนฝีมือกับท่าน”
ถ้าเทียบกันด้านฝีมือ ฉินจิ่วเกอย่อมเทียบไม่ติด ใครใช้ให้มันไม่ใช่ตัวเอกกันล่ะ
แต่ถ้าเทียบกันด้านความหนาของหน้า ฉินจิ่วเกอต่ำใต้ไร้คู่เปรียญ โดยเฉพาะริมฝีบากบนใบหน้าอันหนาทนของมันที่ผ่านการขัดเกลาลับฝีปากมาเป็นอย่างดีนั้น สามารถพูดจาสั่งเป็นสั่งตายได้ในทันที
“พวกนอกคอก” คนชุดดำไม่อาจตีฝีปากเทียบกับอีกฝ่ายได้ เป็นต้องชักกระบี่ออกมาด้วยความเดือดดาลอีกครั้ง
“พอได้แล้ว” ซ่งเล่อรีบปรามเมื่อเห็นว่าทั้งสองฝ่ายร่ำๆ จะห้ำหั่นกันอีกครา
ไม่แน่ว่าภายใต้ชุดคลุมดำ อาจเป็นใบหน้าที่กลาดเกลื่อนไปด้วยรูขุมขนและรอยแผลเป็น
ไม่ใช่สิ ควรจะเป็นรอยแผลเป็นที่เป็นรูปหน้าคนเสียมากกว่า แค่คิดก็ขนลุกแล้ว
ฉินจิ่วเกอรีบกลืนคำพูดลงท้องไป มันกลัวว่าถ้าเกิดพูดออกมา อีกฝ่ายคงไม่แคล้วไล่ล่าตนไปจนสุดขอบหล้าฟ้าเขียว เพื่อความสงบสุขปลอดภัยของชีวิต ยังคงไม่พูดออกไปจะดีกว่า
“เรื่องระดับฝีมือของพี่ฉิน” ซ่งเล่อไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี หลอมวิญญาณกับปราณสุริยันเป็นหนังคนละม้วนเลยทีเดียว
พอล่วงรู้ถึงระดับฝึกปรือที่แท้จริงของฉินจิ่วเกอ ซ่งเล่อไม่ได้เบนหน้าหนีอย่างรังเกียจหรือพูดจาซ้ำเติมถากถางแต่อย่างใด แม้แต่น้ำเสียงก็ยังคงเหมือนกับที่ผ่านมา
ความรู้สึกดีที่มีต่อซ่งเล่อพลันเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน คนๆ นี้ช่างรัดกุมไม่เหลาะแหละ ไม่คิดสร้างศัตรูกับใครทั้งนั้น เห็นทีคงต้องศึกษาเอาเยี่ยงอย่างมันบ้างแล้ว
“พี่เฉินไม่อาจประเมินผู้อื่นต่ำไป ลองเอาหมีเซียนแดงมาเทียบกับมดตัวหนึ่ง บางทีหมีเซียนแดงอาจฆ่ามดตัวนั้นได้เพียงพลิกฝ่ามือ แต่มดเองก็สามารถชอนไชผ่านช่องแคบเล็กๆ จนไปถึงส่วนที่หมีเซียนแดงมิอาจเอื้อมถึง นี่เองก็นับเป็นความสามารถชนิดหนึ่งมิใช่หรือ?”
ฉินจิ่วเกอเอ่ยด้วยท่าทีนิ่งเฉยไม่อ่อนข้อ
พลังฝีมือน่ะหรือ ตนเองเป็นหนี้เป็นสินตั้งมากมายปานนี้ ใช้ชีวิตอยู่อย่างเต็มไปด้วยความหวาดระแวง ลำพังพลังฝีมือนับเป็นอย่างไรได้
“นับว่าเจ้ามีความสำนึกประมาณตน ยังรู้ว่าตัวเองเป็นเพียงมดปลวก” เสื้อคลุมดำตีฝีปากอีกรอบ ชัดเจนว่ามีอคติต่อฉินจิ่วเกออย่างไม่อาจแก้ไข
ฉินจิ่วเกอแค่นหัวเราะ เก็บกระบี่กลับคืน “ขอเพียงเจ้ายอมรับว่าตนเองเป็นหมีตายตัวนั้น ให้ข้าเป็นมดปลวกล้วนไม่นับเป็นอันใด เพียงแต่ทั่วร่างเต็มไปด้วยขนงอกเงยรกรุงรังปานนั้น คงต้องเสาะหามีดแล่หมูมาโกนขนแทน”
“คุกคามคนเกินไปแล้ว!” เสื้อคลุมดำกุมศีรษะ เพียงไม่พบหน้าไม่กี่เดือน มันที่แท้ประสบเรื่องราวใดมา ฝีปากไฉนเปลี่ยนเป็นร้ายกาจปานนี้ ทำให้ตนเองมิอาจไม่ฉีกมันออกเป็นชิ้นๆ
เห็นคนเสื้อคลุมดำโมโหจนแทบตะกายกำแพง ในแววตาของซ่งเล่อฉายแววครุ่นคิดใคร่ครวญ “ที่แท้พี่ฉินตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็เคลื่อนไหวเถอะ”
“ถูกต้อง เจ้าบ่งบอกพวกเราเรื่องการเคลื่อนไหวและสภาพการณ์มา ทุกคนช่วยกันเค้นสมองความคิด ปฏิบัติภารกิจนี้ให้ลุล่วง”
ฉินจิ่วเกอกระเหี้ยนกระหือ ในสายตามันแล้ว นี่ไม่ต่างจากการลักพาตัวเรียกค่าไถ่เท่าใด ที่ต้องใช้คือสมอง ไม่ใช่กำลัง
“ตกลง รังอสูรที่เราจะไป ภายในอาศัยด้วยอสรพิษปาฉือยักษ์ เป็นยอดอสรพิษที่มีขนาดมโหฬารประเภทหนึ่ง อสรพิษปาฉือตัวเต็มวัยมีความยาวหลายสิบเมตร สามารถกลืนช้างได้ทั้งตัว สามปีให้หลัง กระดูกช้างที่กลืนลงไปค่อยถูกขย้อนออกมา อสรพิษปาฉือเต็มวัยตัวหนึ่ง พลังโจมตีสามารถเปรียบได้กับยอดคนชั้นพิสุทธิ์”
ซ่งเล่ออธิบายเรื่องราวเบื้องต้นเกี่ยวกับอสรพิษปาฉือ ใบหน้าฉินจิ่วเกอจากเขียวเปลี่ยนเป็นม่วง จากม่วงกลายเป็นแดง สุดท้ายกลายเป็นห้าหกสีผสมปนเปกัน
“ระดับพิสุทธิ์ขั้นสูงสุด? พวกเรามีกันแค่สามคน ถ้านี่ไม่ใช่ไปหาที่ตายแล้วอะไรจึงจะใช่?”
จบสิ้นกัน บนโลกนี้คนบ้ามีเยอะเกินไปแล้ว ซ่งเล่อที่ตรงหน้ามันนี่ก็หนึ่งในนั้น
ถึงจะเอาชนะมันไม่ได้ แต่เอาค้อนทุบหัวสุนัขของหมอนี่สักทีคงได้กระมัง