เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 161 พร่ำแต่งโคลงกลอน
หลงเฟิงพ่นวาจาชืดชาออกมาประโยคหนึ่ง “เจ้าลืมศิษย์น้องเล็กของเจ้าไปแล้วรึ? ”
“เจ้ารู้ได้ยังไง? ” ฉินจิ่วเกอตั้งตัวไม่ทัน หรือมันจะอ่านใจคนได้?
ด้วยสีหน้าที่ยังชาเฉย หลงเฟิงดูไปคล้ายหิมะที่ตกลงจากฟากฟ้า “ตอนที่ข้าผ่านทางมาคราวก่อน ได้ยินเจ้าละเมอเพ้อพกประมาณว่าดวงไฟสว่างไสวไปหมดอะไรสักอย่าง”
“เจ้าถึงกับล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวข้า แล้วยังไง ข้าไม่อนุญาตให้ครุ่นคิดถึงนางในฝันบ้างเลยรึ? ” ฉินจิ่วเกอขึ้นเสียง การต่อล้อต่อเถียงของคนทั้งสอง ย่อมต้องถูกไป๋หลี่ชิงเฉิงพบเห็น ทันใดนั้น เสียงดีดของผีผาก็ค่อยๆ เบาบางลงอย่างไม่รู้ตัว
น่าแปลก ตอนที่ข้าแสดงตัว ถึงกับมีคนที่ไร้ท่าทีตอบสนองอยู่ด้วย หากเป็นผู้ฝึกตนที่มีวรยุทธ์สูงล้ำก็ว่าไปอย่าง แต่เจ้าพวกนี้ คนหนึ่งเป็นเพียงชนชั้นพิสุทธิ์ไพศาล อีกหนึ่งคือกลั่นดวงธาตุขั้นสอง ไม่ว่ามองยังไงก็แปลกประหลาดไปสักหน่อย
ใต้อาคาร ลมหิมะยังคงโปรยปราย และแล้วฉินจิ่วเกอก็เกิดการตรัสรู้ แม่นางน้อยทั้งหลายไม่ว่างดงามล้ำเลิศอย่างไร แต่มาตรฐานรสนิยมของหลงเฟิงท่านนี้ไม่อาจยกขึ้นมาวิจารณ์ร่วมกับช่วงชั้นศิลปะอันใด หากแต่เหมาะเจาะกับสาวชาวไร่อะไรเทือกนั้นมากกว่า
ขนยาวสลวยเกศายาวสยาย ก้าวเดินด้วยกำปั้น มัดกล้ามเต่งตึง ขนตายาวเฟื้อยเปิดเผยถึงใจ
นี่จะต้องเป็นนางในฝันของหลงเฟิงไม่ผิดแน่ ยิ่งใหญ่ดั่งเขาไท่ซาน ยามก้าวเดินอาภรณ์ฉีกขาดเพราะมัดกล้าม ด้วยการโบกชายเสื้อเพียงหนึ่งครา หมื่นขุนเขาพังราบเป็นหน้ากลอง ด้วยการขยับแขนเพียงหนึ่งครา มหานทีแหวกเปิดออกเป็นทาง
เห็นได้ว่า ไป๋หลี่ชิงเฉิงไม่จัดอยู่ในสตรีประเภทนี้ ดังนั้นจึงไม่อาจดึงดูดสายตาของหลงเฟิงได้เป็นธรรมดา
หากไป๋หลี่ชิงเฉิงสามารถอ่านใจคนได้ ล่วงรู้ถึงความคิดเห็นของฉินจิ่วเกอและความคิดอ่านของหลงเฟิง คาดว่าชาตินี้คงไม่ขอออกนอกหุบเขา แต่เลือกจะใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษในป่าเขาพงไพร ไม่ขอติดต่อสมาคมกับผู้ใดตลอดชีวิต
เสียงผีผาหยุดลงเร็วกว่าปรารถนา เรียกสายตาผู้คนให้หันไปมอง
เมื่อเสียงขาดหาย อัจฉริยะนับร้อยก็ตื่นจากความฝันอันงดงาม รู้สึกพึงพอใจไปทุกรูขุมขน แม้แต่กระดูกยังรู้สึกเบาโหวงเพิ่มขึ้นแปดส่วน
“ชิงเฉิงต้อนรับทุกท่าน เมื่อครู่พบเห็นเหล่าคุณชายคล้ายมีเรื่องเข้าใจผิดกัน ชิงเฉิงจึงอดไม่ได้ที่จะบรรเลงบทเพลงเพื่อจรรโลงสถานการณ์ หวังว่าทุกท่านจะเห็นความสงบสุขมาเป็นสำคัญ”
สุ้มเสียงอ่อนละมุน รับฟังจนกระดูกทั่วร่างแทบอ่อนปวกเปียก
“หามิได้ๆ นั่นก็แค่พวกปลายแถวมาพ่นน้ำลายหาเรื่องเฉยๆ ผู้น้อยเถี่ยซาน ขอคารวะต่อแม่นางไป๋หลี่” เถี่ยซานแม้จะเทียบกับพวกคุณชายรอบด้านไม่ได้ แต่มันก็ยังนับว่ารู้จักมารยาท
“จากมุมมองของข้าน้อย ทุกท่านมิสู้เปลี่ยนความขัดแย้งให้เป็นมิตรภาพ แลกวาจาสร้างมิตร จะดีกว่าหรือไม่? ” ไป๋หลี่ชิงเฉิงสุ้มเสียงดุจดุริยทิพย์ แลน้ำพุวสันต์ บันดาลให้ผู้คนมิอาจปฏิเสธ
แลกวาจาสร้างมิตร? ฉินจิ่วเกอหัวเราะมุมปาก น่าสนใจ ในโลกที่ผู้เข้มแข็งเป็นที่ยกย่อง ถึงกับมีคนใช้วาจาประดานี้ออกมา มีความเป็นไปได้เพียงสองประการ หากไม่ใช่ไร้สมอง ก็คือไม่โง่
ชัดเจนว่าไป๋หลี่ชิงเฉิงเป็นพวกหลัง ฉินจิ่วเกอไม่ได้รังเกียจของสวยของงาม แต่ถ้าเป็นสิ่งสวยงามที่งามงดเกินไป ก็เหมือนกับดอกพลับพลึงแดงที่ตนเคยพบเจอมา หากไม่ระวัง ก็ต้องตายสถานเดียว
“แม่นางชิงเฉิงกล่าวเช่นนี้ พวกเราสี่พี่น้อง ย่อมต้องทำตาม ขอเชิญทุกท่านเป็นพยานด้วย” เถี่ยซานระเบิดวรยุทธ์ขั้นสามกลั่นดวงธาตุออกมา ทำให้ฝูงชนรอบด้านรู้สึกเหมือนถูกเข็มแหลมทิ่มแทง
ความขัดแย้งเมื่อครู่เกิดจากฉินจิ่วเกอและสี่พี่น้องตระกูลเถี่ย ก็ให้พวกมันจัดการกันเอาเอง พอต่างฝ่ายต่างเกิดการสูญเสียบาดเจ็บ ความสง่างามเป็นผู้ดีของผู้รับชมอย่างพวกมันที่ขัดแย้งกับการใช้ความรุนแรงก็จะยิ่งเป็นที่ประจักษ์
ทุกคนกระจายตัวกันออกไปเฝ้ารับชมความสนุกอย่างเงียบๆ ฝ่ายหนึ่งคือสี่พี่น้องตระกูลเถี่ย อีกฝ่ายคือฉินจิ่วเกอ จวงฟาน เจ้าเป้า เจี๋ยชาง และวัวอีกตัวหนึ่ง
ยังไม่ทันแลกวาจา ทั้งสองฝ่ายต่างก็ใช้สายตาโจมตีกันแล้ว ไป๋หลี่ชิงเฉิงเฝ้ามองอยู่วงนอก รอดูว่าฝ่ายไหนจะแพ้หรือชนะ
“ข้าก่อน! ” เถี่ยซานยกมือตบอกตัวเอง แผงหน้าอกแน่นสั่นสะเทือน
ทันทีที่วาดฝ่ามือออก ประจวบกับเกล็ดหิมะกลุ่มหนึ่งร่วงหล่นลงบนฝ่ามือ ก่อนสลายไปพร้อมกับกลิ่นหอม
ทันใดนั้น ลมมา หิมะโปรย นกนวลนางขับขาน ร่ำสุราดื่มด่ำ โฮ่ฮ่าห์ เถี่ยซานส่งเสียงปลุกขวัญกำลังใจ เหมือนนักกวีที่อารมณ์กำลังซึ้งได้ที่ ความอ่อนโยนประดับอยู่เต็มใบหน้า “หนึ่งแผ่นสองแผ่นสามสี่แผ่น”
“เยี่ยม! ” ฉินจิ่วเกอในฐานะคู่มือ ถึงกับชิงเป็นฝ่ายปรบมือโห่ร้องชมเสียงดัง “แต่งได้ดี สอดรับกับความเป็นจริง งามงดหยดย้อย สูงส่งสุดเปรียบ”
“งั้นหรือ? ” เถี่ยซานยกมือเกาหลังศีรษะแกร่กๆ คนผู้นี้มีรสนิยมไม่เลวเหมือนกันแฮะ
ฉินจิ่วเกอชูนิ้วโป้ง ท่าทางดูหยาบโลนพิลึก “พวกเจ้าลองคิดตามนะ เวลาเข้าห้องน้ำ ปลดทุกข์เสร็จเรียบร้อย มิใช่ต้องสะบัดเยื่อกระดาษออกมา นับสองนับสามนับสี่แผ่นหรอกหรือ หนึ่งแผ่นสองแผ่นสามสี่แผ่นนี้ ช่างรังสรรค์ออกมาได้อย่างเหมาะเจาะนัก”
“ฮ่าฮ่า”
ทุกคนพอได้ฟังก็ต้องขำตาม แม้แต่เหล่าหัวหอกที่กำลังวางท่าเป็นยอดฝีมืออยู่ไกลๆ ก็ยังอดไม่ได้ต้องหลุดหัวเราะพรืดออกมา เจ้าเด็กนี่ พอเห็นผู้อื่นคับขันเข้าตาจน ตัวมันก็ต้องหัวใสสมองแล่นปรื๋อขึ้นมาทุกทีสิน่า
ไป๋หลี่ชิงเฉิงยกมือขาวผ่องป้องริมฝีปากแดงฉ่ำที่กำลังส่งเสียงหัวเราะเบาๆ เอาไว้ คนผู้นี้น่าสนใจไม่เลว ในตัวกระทั่งมีกลิ่นอายผู้ฝึกวิชาปีศาจอยู่รางๆ แต่เป็นแบบของเผ่ามนุษย์
“พี่ใหญ่ วลีถัดไปให้เป็นหน้าที่ข้าเอง” เถี่ยฉุยเองก็เกิดแรงบันดาลใจ เจริญรอยตามศิษย์พี่ของมันอย่างลื่นไหล “ห้าแผ่นหกแผ่นเจ็ดแปดแผ่น”
“เยี่ยม! ” ฉินจิ่วเกอปรบมือชมอีกครั้ง รับมือกับกลั่นดวงธาตุที่มีสติปัญญาระดับนี้ มันคนเดียวก็เหลือแหล่
จวงฟานและเจ้าเป้าหน้าดำมะเมี่ยม พวกเจ้าที่แท้โผล่มาจากหลืบไหนกันแน่ มีจุดยืนกันบ้างหรือไม่
“ข้าเองก็คิดได้แล้ว” เถี่ยมู่รู้สึกว่าดวงจิตของตัวเองได้รับการขัดเกลา ที่แท้ไอ้สิ่งที่เรียกว่ามีปัญญาวัฒนธรรม ก็คือการเขี่ยกลอนขี้หมูขี้หมาแบบนี้ออกมานั่นเอง “เก้าแผ่นสิบแผ่นสิบเอ็ดแผ่น”
“ข้าขอเดาว่าเดี๋ยวพวกเจ้าก็จะต่อ สิบสองสิบสามสิบสี่แผ่น” ฉินจิ่วเกอกล่าวเหมือนผู้รู้อนาคต พลางชี้ไปทางเถี่ยฉือที่เป็นลำดับสุดท้าย
เถี่ยฉือยืนนิ่งอยู่ครึ่งค่อนวัน แน่นอนว่ามันไม่อาจปล่อยให้พวกมนุษย์มาลูบคมได้เด็ดขาด ดังนั้นจึงเค้นสมองขบคิด จนในที่สุดก็เกิดแสงแห่งปัญญาขึ้น “ไม่ใช่ ข้าจะพูดว่าสิบห้าสิบหกหลายๆ แผ่นต่างหาก! มากกว่าของเจ้า! ”
ฉินจิ่วเกอพลันชะงักค้าง ที่แท้อีกฝ่ายยังมีไม้นี้อยู่ ทำเอาตนเองตั้งตัวไม่ติดไปเลย
หนึ่งแผ่นสองแผ่นสามสี่แผ่น ห้าแผ่นหกแผ่นเจ็ดแปดแผ่น เก้าแผ่นสิบแผ่นสิบเอ็ดแผ่น สิบห้าสิบหกหลายๆ แผ่น
“แต่งได้เยี่ยม! ” ฉินจิ่วเกอไม่มีอะไรจะพูด ลำบากพวกมันแท้ๆ ยังดีไม่มีสี่หกแผ่นออกมาด้วย
รอจนศิษย์พี่น้องตระกูลเถี่ยท่องผลงานชิ้นเอกของพวกมันจนอิ่มเอมดีแล้ว ทุกคนในที่นั้นจึงพากันปรบมือเสียงดัง ไม่มีใครที่ไม่ได้รับผลกระทบ
พูดบ้าๆ เจ้าเดรัจฉานสี่ตัวนี่ ต่างก็เป็นมหายุทธ์กลั่นดวงธาตุกันหมด ในอนาคตยังมีคุณสมบัติพอจะได้เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่รุดหน้าไปไกลกว่ามหาวิถีดวงธาตุทองคำ หากพวกมันไม่ได้สมองป่วยการกันไปก่อน จะมีใครกล้าล่วงเกินสี่หน่อนี้บ้าง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องเข้าใจได้ที่พวกมันยอมทำตัวหน้าไม่อายยืนปรบมือกันอยู่ตรงนี้
หลังท่องกลอนกันแล้วเสร็จ คนทั้งสี่ก็ใช้สายตาวาววับมองมาทางฉินจิ่วเกอ ความหมายชัดเจนยิ่ง ถึงตาเจ้าแล้ว!
ฉินจิ่วเกอยังตะลึงไม่หาย ตอนที่ยังอยู่ในเมืองอวี่เกอ มันร่ายบทกลอนไปสองประโยค สังหารกลั่นดวงธาตุเป็นผักปลา แม้จะอาศัยพลังแห่งกฎเกณฑ์ของเฒ่าเสียเยว่ช่วย แต่ร้ายดียังไงคนที่ลงมือฆ่าก็คือมันอยู่ดี ใช่ไม่ใช่?
สัตว์อสูรก็เป็นได้แค่สัตว์อสูร เป็นพวกมีตาแต่ไร้แวว ตนเป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ของพระเอกเชียวนะ!
บุรุษหนุ่มย่อมมีจิตใจห้าวหาญและรักการแข่งขันเป็นธรรมดา
ในที่นี้ มีใครบ้างที่ไม่ใช่ยอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์ กล่าวได้ว่าที่นี่คือศูนย์รวมผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์เก้าในสิบส่วนจากทั่วอาณาเขตเทียนเอิน
แน่นอน พวกมันย่อมไม่ยอมลงให้กันอยู่แล้ว
ในขณะนี้ ฉินจิ่วเกอ เจ้าเป้า เจี๋ยชางและจวงฟาน สี่คนจับกลุ่มกันเป็นหนึ่ง รวมกับหลงเฟิง เป็นห้าหน่อ ตระเตรียมปะทะกับพรรคทรราช
เจ้าเป้าที่ทนต่อสายตารอบด้านไม่ไหว ตัวก็เลยสั่นเทิ้มขึ้นมา ชิงเอ่ยขึ้นก่อน “พวกเรามีกันห้าคน งั้นกลอนห้าเป็นอย่างไร?”
เจี๋ยชางถามอย่างงุนงง: “ห้าคนก็กลอนห้า?งั้นกลอนเจ็ดเล่า?”
“อย่างนั้นคงต้องมีเจ็ดคน แต่ละคนท่องออกมาหนึ่งประโยค” เจ้าเป้าส่ายหน้าตอบ ชัดเจนว่าพวกที่สามารถฝึกตนบำเพ็ญเพียร ระดับภูมิปัญญาย่อมไม่ได้มีมากเท่าฉินจิ่วเกอ
ฉินจิ่วเกอปาดเหงื่อ “ใช่อย่างที่พวกเจ้าคิดที่ไหนเล่า หากเป็นอย่างที่ว่าจริง ไม่สู้เปลี่ยนเป็นโคลงสี่บาทไปเลยเล่า”
เจ้าเป้าคล้ายค้นพบขุมสมบัติ ตบเข่าฉาดร่ำร้อง “ใช่เลย โคลงสี่บาท ฟังดูดี คำก็น่าจะน้อยกว่าหน่อยนึงด้วย”
หลงเฟิงทำท่าเหมือนร่อนจานบินอยู่บนเขา สีหน้าคล้ายคนท้องผูกมาสามเดือน ตัวแข็งเกร็งไปหมด “มัวพูดไร้สาระอะไรกันอยู่ได้ ถ้ายังไม่ต่อกลอน พวกเราจะแพ้แล้วนะ”
เจี๋ยชางมือโบกพัดขาว อาภรณ์พลิ้วไสว แม้จะแต่งตัวเหมือนพวกบัณฑิต แต่ท่วงท่าสูงส่งดั่งเทพเซียนร่ำสุราอยู่ใต้แสงจันทร์อย่างสันโดษนั้น กลับเป็นงานถนัดของฉินจิ่วเกอ
“เอาล่ะๆ ให้เป็นหน้าที่ข้าเถอะ ข้าขี้คร้านเกินกว่าจะขลุกอยู่กับพวกไร้อารยะอย่างพวกเจ้า ทำชื่อเสียงข้าด่างพร้อยเปล่าๆ ” ฉินจิ่วเกอโบกมืออย่างหมดความอดทน ก็แค่เอื้อนโคลงต่อบทกลอน จะมาเกี่ยงกลอนห้ากลอนเจ็ดทำไม ต่อให้กลอนแปดกลอนเก้าก็ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่”
จวงฟานตาทอประกายระยับ “พี่ฉิน หรือท่านจะมีบทกวีชิ้นเอก? ความคิดท่านช่างฉับไวยิ่งนัก”
เจ้าเป้าแม้ไม่ทราบถึงปูมหลังแน่ชัดของฉินจิ่วเกอ แต่เท่าที่ดูจากลักษณะท่านลุงของมัน ก็รู้ว่าคนผู้นี้ฐานะต้องไม่ธรรมดา ก็เลยเริ่มคาดหวังขึ้นมา “เช่นนั้นพวกเรามาฟังบทกลอนของพี่ฉินกันก่อนดีกว่า เอาให้พวกตีนโตนิ่งอึ้งกันไปเลย”
“หามิได้ๆ ผู้น้อยเปรียบดั่งหยกต้านลม เป็นเพียงมังกรขาวตัวน้อยท่ามกลางทะเลยุทธภพ ไม่อาจเทียบชั้นได้กับทุกท่าน”
ฉินจิ่วเกอกล่าวถล่มตัว ไม่ลืมที่จะเหลือบตามองไปทางสี่พี่น้องตระกูลเถี่ยอย่างดูแคลน: คิดสู้กับข้า? รอจนพวกเจ้าบรรลุกฎสรรพสิ่งแล้วค่อยว่ากันเถอะ!
เจี๋ยชางไม่รู้ว่าฉินจิ่วเกอผู้นี้ตื้นลึกหนาบางยังไง เท่าที่ดูจากท่าทีของเจ้าเป้าและจวงฟาน พวกมันก็ปฏิบัติกับคนคนนี้ด้วยความเคารพไม่น้อย แต่ก็แปลก จนป่านนี้ก็ยังสวมหน้ากากปิดหน้าปิดตาอยู่อีก ไม่ทราบเป็นเพราะขาดความมั่นใจในตัวเอง หรือเป็นเพราะมีศัตรูมากมายเกินไปกันแน่
แต่ในเมื่อฉินจิ่วเกอมั่นอกมั่นใจถึงขนาดนั้น เจี๋ยชางในฐานะผู้แต่งตัวเป็นบัณฑิตเพียงหนึ่งเดียวในที่นั้นจึงต้องประสานมือกล่าว “เช่นนั้นขอให้พี่ฉินนำทัพ ส่งมอบบทเรียนแก่พวกมันทั้งสี่สักกระบวนหนึ่ง”
เถี่ยซานประกายตาดุร้าย กล่าวเสียงเหี้ยม “เจ้าหนู คิดได้หรือยัง”
ต่อหน้าโฉมงาม ทุกคนไม่กล้าทำตามอำเภอใจ ด้วยกลัวว่าจะสร้างความตกใจให้กับนางในฝันของพวกมัน จนชวดเรื่องสำคัญไป ดังนั้นคำขู่ของเถี่ยซานจึงมีใจความประมาณว่า ในเมื่อเจ้ากล้าลูบคมพวกเรา จบงานแล้วเลิกหวังว่าจะมีชีวิตรอดกลับไปได้เลย
“พี่ฉินคือสหายของเขาพิรุณเซียนเรา ไม่ถึงคราวให้เจ้ามากำแหงอยู่ตรงนี้ อย่าไปกลัวมัน พี่ฉินมีบทกลอนเลิศล้ำใดก็ขอให้บอกกล่าวออกมาได้เลย”
เรื่องที่พัวพันถึงความมีหน้ามีตาระหว่างเผ่ามนุษย์และอสูร ผลแพ้ชนะนับเป็นเรื่องรอง
แต่ฝ่ายแพ้ ก็ใช่ว่าจะรักษาหน้าเอาไว้ได้ต่อไป ดังนั้นเจ้าเป้าจึงต้องออกมาพูดอะไรสักหน่อย
คำพูดของเจ้าเป้าสอดคล้องกับความคิดของคนส่วนมากในที่นี้
เมืองเทียนเอิน หลักๆ แล้วอยู่ในการปกครองของเผ่ามนุษย์ เผ่าอสูรกล้ามาทำตัวจองหองพองขนเช่นนี้ หากปราศจากกำลังเบ็ดเสร็จคงไม่พ้นถูกผู้คนรุมประชาทัณฑ์ไปแล้ว
ณ ตอนนี้ มีผู้ฝึกตนไม่น้อยที่อยู่ข้างฉินจิ่วเกอ ส่งเสียงตะโกนปลุกใจ
“เช่นนั้นผู้น้อยก็ขอแสดงทักษะชั้นปลายแถวให้ได้รับชมกัน” ฉินจิ่วเกอย่อมไม่ปล่อยโอกาสอวดเบ่งนี้ไปอยู่แล้ว
ดูอย่างไป๋หลีชิงเฉิงที่ยังยืนมองมันจากบนอาคารนั่นสิ นางแทบจะจับมันกลืนลงท้องอยู่แล้ว
สี่พี่น้องตระกูลเถี่ยยิ่งอยากจะจับมันกลืนลงไปทั้งกระดูก แม้แต่ศิษย์ตระกูลสำนักจำนวนไม่น้อยยังอยากที่จะช่วยพรรคทรราชจัดการกับมัน
ฉินจิ่วเกอส่งเสียงหัวเราะขื่น ความหล่อนำมาซึ่งหายนะ คำพูดนี้ไม่เกินเลยไปจริงๆ
เพียงแต่สายบางคู่ หากแยกแยะออกมา กลับเป็นสายตาแฝงความแค้นลึกล้ำ
ยิ่งไป๋หลี่ชิงเฉิงแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา ฉินจิ่วเกอก็ยิ่งไม่กล้าคลายใจ
เคล็ดหมื่นมารทมิฬ วิชาลมปราณขั้นเจตจำนงสวรรค์ ช่วยให้ฉินจิ่วเกอได้รู้ว่าภายในอาคารหลังนั้น กลับมีกลิ่นอายชั่วร้ายน่าพรั่นพรึงที่คล้ายมีคล้ายไม่มีอยู่ขุมหนึ่ง