เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 177 เปิดตัวอย่างเฉิดฉาย
นี่รวมไปถึงภายในหลิงไถของฉินจิ่วเกอ ที่ยิ่งใหญ่ไพศาลกว่าพิสุทธิ์ไพศาลทั่วไปนับเจ็ดแปดเท่า
อาวุโสใหญ่คิดหยั่งล่วงลึกเข้าสู่ภายใน หากกลับถูกหมอกขมุกขมัวสกัดกั้นขวาง ไม่อาจมองเห็นชัดเจนว่าภายในคืออันใด
ได้แต่ทอดถอนใจต่อชะตากรรมของศิษย์รัก ทว่าวิชาปีศาจที่มันฝึกปรือ ยังมีตำแหน่งหัวหน้าของบรรพตสละฟ้า เท่ากับมันได้นั่งอยู่บนยอดสุดของเผ่าพิสดารแล้ว สองประการนี้ ล้วนเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย อาวุโสใหญ่ขมวดคิ้วไม่กล่าวกระไร
“อาจารย์มิใช่คนหัวโบราณ วิชาทักษะยุทธ์กำลังภายใน ทั้งหมดอยู่ที่ผู้ใช้ ไม่แบ่งแยกดีเลว กลับเป็นเจ้ารับตำแหน่งบรรพตสละฟ้า ตอนนี้ไม่ต่างจากนั่งอยู่บนกองไฟ รอวันถูกเผา”
ฉินจิ่วเกอปิดตาลง ค่อยสูดลมหายใจ ปิดประสาทหูลง เพียงเงี่ยฟังเสียงหัวใจเต้นอันหนักแน่นเข้มแข็งภายในอกของตนเอง
โลหิตระอุอุ่น หัวใจอันอ่อนเยาว์เต้นกระโดดในช่องอก ผสานแสงสีทองและเงามืด เผาผลาญทุกตารางนิ้วบนผิวเนื้อ
คน ล้วนแล้วต้องมีศรัทธา
“ท่านอาจารย์ ศิษย์คิดดีแล้ว”
“อ้อ? คิดดีแล้ว?” อาวุโสใหญ่เห็นสีหน้าจริงจังของศิษย์รัก อดเลิกคิ้วดกดำหนาทึบขึ้นมิได้
มันในยามนี้บรรลุยอดคนพิสุทธิ์ไพศาลแล้ว อนาคตฟ้ากว้างปฐพีไกล รอคอยมันออกท่องทะยาน
มัจฉาว่ายท่องท้องทะเล ผืนฟ้าปักษาเหิน
แม้ในใจของอาวุโสใหญ่ปรารถนาให้ศิษย์รักไม่มีวันเติบโตตลอดกาล สูดน้ำมูกเลอะเทอะ วิ่งตามติดชายเสื้อคลุมของมันไปทุกแห่งหน
ทว่าเพียงพริบตา ศิษย์รักของมันล้วนเติบใหญ่แล้ว
จากวัยอ้อแอ้หัดพูด จนเริ่มย่างเท้าก้าวเดิน จวบจนบรรลุนิติภาวะ
ทุกก้าวย่าง ตนเองเฝ้ามองดูมันเติบโต นับแต่ใบไม้ผลิยันใบไม้ร่วง หน้าหนาวหมุนเวียนเปลี่ยนเป็นหน้าร้อน
อาวุโสใหญ่คิดถึงตอนนี้ สองตาหมดจดเมตตา เรืองประกายแสงสีทองของดวงอาทิตย์ สองมือตบลงบนแผ่นหลังฉินจิ่วเกอ เอ่ยเสียงดังออกมา
ฉินจิ่วเกอตื้นตันในลำคอ ก้มหน้าปิดตาลง เอ่ยเสียงรัวเร็ว “ศิษย์คิดแล้ว แม้ไม่กล้าประกาศว่าจะช่วยเหลือผู้คนที่พบพานความลำบากในฟ้าดิน ทว่าสิ่งที่ตนเองสามารถกระทำ คือมอบผืนแผ่นดินแก่ผู้ถูกขับไล่ได้พักพิงจากพายุ”
อาวุโสใหญ่เร่งสะกดมืออันสั่นสะท้านทั้งสองข้าง สองแก้มแดงเรื่อ ดวงตาเบิกโต “เจ้าว่าต่อ”
เมื่อรู้สึกถึงสายตาของอาวุโสใหญ่ที่จดจ้องลงมาที่ศีรษะของตน ฉินจิ่วเกอขดหลังก้มศีรษะงุด หัวคิ้วขมวดมุ่น ภายในใจบังเกิดความตื้นตันตื่นเต้นอาบเต็มขึ้น
“สรรพชีวิตทั้งหลาย ภายใต้มหามรรคาล้วนเท่าเทียม ไม่ว่าวิญญาณใด เมื่อถูกรังสรรค์ขึ้นมาเป็นชีวิต สมควรมีที่ทางแก่พวกมันได้ดำรงและแข่งขัน ภายใต้สุดขอบพิภพรูปไข่ แดนแมลงเม่าล้วนเหมือนเมล็ดมัสตาร์ด ไม่ควรมีการแบ่งแยกสูงต่ำ ยิ่งไม่มีสิทธิ์เอารัดเอาเปรียบอีกเผ่าพันธุ์ตามอำเภอใจ”
อาวุโสใหญ่ใช้สายตาแตกตื่นของมัน จ้องเขม็งไปยังหนังศีรษะศิษย์รักที่เบื้องหน้าเป็นครั้งแรก
วาจานี้ ราวสาดแสงแก่ผู้มืดมิด เคาะโสตของผู้หนวกใบ้ เป็นวาจาพลิกฟ้าอย่างแท้จริง!
ในเมื่อทุกสรรพชีวิตล้วนเป็นฟ้าดินสรรค์สร้าง ล้วนอยู่ในกำมือของดินฟ้า ถูกกำหนดชะตาเป็นตายอย่างเสรี
เช่นนั้น ห้าสิบก้าวหัวร่อใส่ร้อยก้าว มิใช่น่าเศร้ายิ่งหรอกหรือ?
นี่ไม่ต่างจากเถือเนื้อตนเองเพื่อผู้อื่น เกรงว่าหากวาจานี้แพร่ออกไป ทั่วทั้งทวีปฉงหลิงต้องบังเกิดกลียุคขึ้น
ทว่ามันเองล้วนไม่ได้เอ่ยอันใดต่อ เพียงสูดลมหายใจลึก เดาะปลายลิ้น หากมิได้เอ่ยขัดฉินจิ่วเกอ
เห็นอาวุโสใหญ่ไม่มีปฏิกิริยา ฉินจิ่วเกอก็ผ่อนคลายลง เอ่ยเสียงตื้นด้วยลำคอตีบตัน “ดังนั้นผู้เป็นศิษย์คิดว่า สรรพชีวิตใต้ฟ้า ไม่มีใดยิ่งกว่าความโง่เขลาต่ำต้อย ประพฤติไม่เป็นธรรม ล้วนเห็นแก่ตัว สามเผ่ามารอสูรมนุษย์ ล้วนเป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจ!”
“กล่าวจบแล้วหรือไม่?” อาวุโสใหญ่มองไปทางด้านข้าง หลงเฟิงนัยน์ตาแดงก่ำ ปลายจมูกตื้อตัน
ฉินจิ่วเกอระบายวาจาในส่วนลึกของจิตใจออกมาจนหมดสิ้น คนพลันอารมณ์ดีขึ้นมา
วาจานี้ มันเพียงกล้าเอ่ยออกเบื้องหน้าอาวุโสใหญ่เท่านั้น หากเป็นผู้อื่น เกรงว่าเพียงพริบตาเดียว ฉินจิ่วเกอย่อมพลิกลิ้นด่าทอผู้ฝึกวิชาปีศาจอย่างสาดเสียเทเสีย
ฉินจิ่วเกอปิดตาแน่น สัมผัสรับรู้ถึงฝ่ามือใหญ่โตแก่คร่ำอันอบอุ่นที่กลางหลัง เกลื่อนกล่นด้วยรอยย่นและเหี่ยวเฉา ราวกับร่องรอยของวงปีแห่งพฤกษาพันปี ฝ่ามือใหญ่วางลงบนศีรษะแล้วลูบอย่างอ่อนโยน ส่งประกายสีทองออกมาเป็นพักๆ
“ช่วงระยะนี้เผ่ามนุษย์เกิดเรื่องใหญ่ แต่เมืองเทียนเอินยามนี้ถูกเจ้ารักษารากฐานไว้ได้ งั้นเจ้าก็กลับไปกับข้าสักรอบ เมื่อถึงพรรคเรา อาจารย์จะให้พวกห้องครัวทำกับข้าวเพิ่มขึ้นสักหลายอย่าง ให้ล้วนได้อิ่มหนำกันสักครา”
ฉินจิ่วเกอราวกับฟองน้ำที่ถูกบีบจนเหี่ยวแห้ง ร่างอ่อนยวบลงกะทันหัน ริมฝีปากแห้งผาก หากในใจกลับพลิกกลับ กลายเป็นความผ่อนคลายยินดี “เช่นนั้นย่อมดียิ่ง ศิษย์อยากรับประทานเกี๊ยว”
อาวุโสใหญ่ไม่ได้รักเงินทองเท่าอาวุโสสาม แน่นอนย่อมต้องบันดาลความปรารถนาน้อยๆ ของศิษย์รักให้เป็นจริง “ได้ ต่อจากนี้ครึ่งเดือนพวกเราจะรับประทานเกี๊ยว อยากกินไส้อะไร?”
“ไส้กุ่ยช่าย” ฉินจิ่วเกอร่ำร้องหารสชาติดั้งเดิมจากบ้าน รูขุมขนพองขยาย หลั่งเหงื่อเย็นที่สะสมเก็บไว้มานานจนชุ่มร่าง
อาวุโสใหญ่ใบหน้าสดใส เงยหน้าขึ้นกล่าว “งั้นไปกันเถอะ”
แผ่นดินกว้างใหญ่ ไร้ความยุติธรรม
เกิดแก่เจ็บตาย เข้มแข็งกลืนกินอ่อนแอ ปีติยินดีเศร้าโศกเคียดแค้น คือวัฏฏะสงสารอันไร้สิ้นสุด
อยุติธรรมบังเกิดทั่วแห่งหน เพียงสนชื่อเสียงเงินทอง
ในใจใต้หล้าทอดมองทั่วสี่ทะเล พบเห็นเรื่องราวน้ำใจ แม้หัวใจบอบช้ำแหลกสลาย ล้วนไม่อาจช่วยเหลืออันใดได้
สรุปความแล้ว หากคิดใช้ชีวิตอยู่บนโลกอันโสมมนี้อย่างสุขสบายหน่อย ก็คือสี่คำนี้ : ไม่เกี่ยวกับข้า
ในมหาสงครามบรรพกาล กฎสรรพสิ่งท่านนั้นที่ละสังขารไป ไม่เข้าใจสี่คำนี้ จึงต้องร่วงหล่นเลือนสลาย มรดกถูกฉินจิ่วเกอ ลั่วเฉิน และซ่งเล่อแบ่งรับมา
คนแรกที่พบว่าหากไม่มีแสงก็จะมองไม่เห็นโลก คนแรกที่ค้นพบว่าหากไม่ดื่มน้ำจะกระหายจนตาย คนแรกที่รู้จักใช้การสังเวยเพื่อไขว่คว้าหาความโปรดปรานจากพระเจ้า ก็คือตัวการร้ายอันยิ่งใหญ่ สมควรตายอย่างที่สุด!
นับแต่ออกจากพรรคหลิงเซียวมาก็เกือบสองปีแล้ว และก็ใกล้ถึงวันปีใหม่อีกแล้ว
ฉินจิ่วเกอถ่มเอากลิ่นอายสนิมอันเป็นมลพิษจากเมืองเทียนเอินเฮือกสุดท้ายออก ก้าวเดินสู่เส้นทางคืนสู่บ้าน
ส่วนหลงเฟิง มันรับผิดชอบรั้งอยู่เมืองเทียนเอิน ดูแลเมืองล่วนโต้วและบรรพตสละฟ้า
หลังจากแผนล้อมฆ่ายอดยุทธ์เมืองเทียนเอินของพรรคโลหิตนภาล้มเหลว สี่ประมุขขุนเขากลับคืนสู่บรรพต เริ่มต้นสั่งสมทรัพยากร
ทวีปใหญ่ กำลังจะเกิดกลียุค
มีเพียงเมืองซวนอู่อันเล็กจ้อย ตั้งอยู่บนผืนแผ่นดินโดดเดี่ยวทางใต้ของเผ่ามนุษย์ ที่ยังคงรักษาบรรยากาศความสงบสุขก่อนมหาสงครามจะเริ่มต้นไว้ได้
ภายในป่าปีศาจสวรรค์ที่กว้างขวางนับหมื่นลี้ ยามค่ำคืนจะปรากฏเงาร่างดำมืดนับร้อยพัน เคลื่อนไหวในรัตติกาล
ผิวน้ำในบึงดูเรียบนิ่ง แต่ผู้คนล้วนทราบ ภายใต้ผืนน้ำกลบฝังไว้ด้วยคนชั่วร้ายโสมมและเหล่าผู้ซ่องสุม
คลื่นน้ำไร้เสียงไร้ระลอก ขอเพียงมีคนแตะต้องผิวน้ำ จะบังเกิดความวุ่นวายขึ้นทันที อีกฝ่ายต้องถูกบีบคั้นจนตกตายภายใต้อาณาเขตวารีอันดำมืดชั่วร้าย
หมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงหวาดหวั่นผวา ไม่กล้าเรียกคนมาช่วยเหลือ
เมื่ออาวุโสใหญ่ใกล้ถึงพรรคหลิงเซียว ฉินจิ่วเกอคล้ายบังเกิดความละอาย กระมิดกระเมี้ยนราวอิสตรีร่างเปลือยเปล่า ไม่กล้ามองหน้าผู้คน
สำหรับกับท่าทีเช่นนี้ของศิษย์รัก อาวุโสใหญ่รับรู้มานานแล้ว ไม่สนใจ มันลากศิษย์ของตนมาถึงจนได้ ใครจะคาดว่าฉินจิ่วเกอหย่อนก้นลงนั่งตีโพยตีพาย ไม่คิดขยับไปไหน
ฉินจิ่วเกอจนปัญญา มันเองก็ไม่ทันเตรียมใจ ผ่านไปนานหลายปีป่านนี้ เกรงว่าบรรดาคณะกรรมการผู้ประกอบพิธีศพของมันล้วนถูกโยกย้ายไปหมดสิ้นแล้ว ตอนนี้กลับมาถึง ผู้คนในพรรคอาจกลัวจนขนหัวตั้ง
ยกตัวอย่างเช่นมันจะเผชิญหน้ากับพระเอกของเราอย่างไร จะทำหน้ายังไงเมื่อพบเจอศิษย์น้องเล็ก จะมองหน้าเจ้าอ้วนน่าตายแบบไหน
อืม เจ้าอ้วนน่าตายที่จริงมิใช่ปัญหาใหญ่ หน้าของมันใหญ่โตปานนั้น ยังไงก็ไม่อาจตามองตากับมันได้อยู่แล้ว
ดังนั้นฉินจิ่วเกอไม่คิดกลับไป หากจะกลับพรรค ต้องสรรหาวิธีการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ใดออกมาก่อน
คิดว่าศิษย์พี่ใหญ่ของเราเป็นใคร?
ชัดเจนว่าไม่ถูกต้อง ฉินจิ่วเกอยามนี้กลับไป กลายเป็นพิสุทธิ์ไพศาลผู้ยิ่งใหญ่แล้ว
ไม่ว่าอย่างไร ยามเปิดตัวสมควรเฉิดฉายสักหน่อย มิเช่นนั้นไหนเลยจะคู่ควรคำยอดฝีมือได้
สำหรับพฤติกรรมบ้าๆ บอๆ ของศิษย์รัก อาวุโสใหญ่ไม่เข้าใจเท่าใด ทว่าแต่ไหนแต่ไรมา พวกเล่นพิเรนทร์ไปมากลายเป็นทำตนเองตายขึ้นมาจริงๆ กลายเป็นปลาว่ายไม่พ้นน้ำ ดังนั้นจึงปล่อยศิษย์รักของมันไว้นอกพรรคก่อน ให้มันรับประทานลมตะวันตกเล่น
“อาจารย์ ท่านต้องจดจำไว้ คืนนี้ ต้องให้ทุกคนขึ้นไปบนเวทีใหญ่เพื่อดูดาว” เวลานี้เป็นช่วงหน้าหนาว สายลมเย็นบาดผิวราวคมมีด ประกายเหมันต์กระหึ่มก้อง ทุกที่ทางล้วนเป็นรัตติกาลหนาวยะเยือกอันเงียบงัน
“เข้าใจแล้ว” อาวุโสใหญ่โบกมือ เหยียบยอดวายุน้อยเข้าสู่พรรคไป
เพื่อส่งเสริมความปรารถนาพิกลเล็กน้อยของศิษย์เอก อาวุโสใหญ่เองก็รักษาความเข้มงวดของผู้ฝึกตน มิได้บอกต่อผู้คนว่าฉินจิ่วเกอกลับมาแล้ว ทั้งยังเป็นฉินจิ่วเกอที่มีชีวิตอยู่
ค่ำคืนอันเยียบเย็นปานนี้ แม้แต่น้ำค้างยังแข็ง ทุกที่ทางล้วนปรากฏผู้หิวโหยหิวจนขาดใจตาย
ฉินจิ่วเกอยืนทระนงภายใต้หิมะน้ำแข็งเย็น ขยับเคลื่อนนิ้วมือที่ถูกแช่แข็งจนคล้ายแครอท ดูไปเหมือนนิทานเรื่องเด็กน้อยไม้ขีดไฟไม่ผิดเพี้ยน
หนึ่งอัน สองอัน ฉินจิ่วเกอหักกิ่งก้านแมกไม้ที่ถูกน้ำแข็งแช่แข็งราวคริสตัล อย่างยากลำบาก ประกอบร่างขึ้นมาเป็นโคมลอยอันตราตรึง
วิธีการเปิดตัวของศิษย์พี่ใหญ่นี้ ย่อมต้องสดใหม่และสร้างสรรค์ ทั้งยังเพริศพรายสะท้านจิต
ลองคิดดู ในค่ำคืนร้างไร้กลางเหมันต์หนาวเหน็บ แสงจันทราหนักหน่วง ดาราราวน้ำแข็ง
ศิษย์ทั้งหลายในพรรคหลิงเซียวรวมตัวกันบนเวที ทอดตามองท้องฟ้าไพศาล แผ่นดินกว้างฟ้าไกล
นอกเหนือจากความเป็นไปได้ในการถูกแช่แข็งตายกลางลมหนาวแล้ว การยืนอยู่บนเวทีกลางหน้าหนาว ที่จริงถือเป็นการขัดเกลาความก้าวหน้าในการฝึกวิชาอย่างหนึ่ง ไม่เพียงสามารถชำระกระดูกกล้ามเนื้อเส้นเอ็น ยังขัดเกลาจิตปณิธานและความมุ่งมั่น สำหรับกับอนาคตที่ต้องเหินทะยานสู่โลกแห่งเซียน นับเป็นส่วนช่วยอย่างมหาศาล
และลมเย็นของค่ำคืนนี้ ดวงจันทร์ยิ่งหรุบหรู่ไร้แสง
บรรดาศิษย์บนเวทีกลางพรรค กำลังจะพบว่า พร้อมกับสายลมที่พัดโบกมา จากที่อันแสนไกลนอกพรรคหลิงเซียว ผืนปฐพีอันราบเรียบกว้างขวาง ปรากฏโคมลอยสามพันดวงค่อยๆ ลอยขึ้นเปล่งประกายแสงอันอบอุ่นดั่งดวงดารา
ช่างงดงามจนแทบหลั่งน้ำตา แม้แต่ฟ้าอันไร้ใจยังต้องไหวหวั่น
ผู้คนว่าไว้ ดวงไฟบุปผาราวกลางวัน วีรบุรุษหญิงงามพบพานกลางแสงจันทร์
ที่งามงดที่สุด ก็คือดวงโคมไฟที่ลอยล่องอย่างเสรีกลางท้องนภายามค่ำ พลิ้วไปกับสายลม
นั่นก็คือนางนวลแห่งทะเลเหนือ สามารถท่องทะยานไปได้ทุกที่ทาง
ภาพน่าประทับใจเช่นนั้น ช่างโรแมนติก สวยงามจนแทบไม่อาจหายใจได้
ส่วนฉินจิ่วเกอเล่า ในฐานะผู้วางกลยุทธ์การเปิดตัวครั้งนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องเปิดตัวออกมาท่ามกลางดวงไฟสามพันดวง
ลองคิดว่าหากศิษย์พี่ใหญ่ของพรรค สองเท้าเหยียบย่างบนยอดโคมไฟเหินบิน อาภรณ์ขาวสะบัดพัดพลิ้ว ยืนหยัดกลางนภากาศ ทั่วร่างเจิดจ้าสาดประกายยิ่งกว่าห้วงจักรวาล
สุดท้าย ศิษย์พี่ใหญ่ย่อมต้องร่อนลงสู่พื้น พร้อมกับเหล่าดวงโคมที่จืดจางลง
ทั้งหมดนี้ช่างอบอุ่นร้อนเร่า ไม่ช้าไม่เร็ว เป็นความสำเร็จจากฟ้าที่เป็นไปตามธรรมชาติ ปลอดโปร่งโล่งราวพิภพเซียน
ช่างเป็นฉากการเปิดตัวที่ร้ายกาจอะไรอย่างนี้ เหยียบย่างบนโคมไฟทะยานฟ้า จากนั้นร่วงหล่นลงมาพร้อมดวงไฟ
ดวงหน้าคมราวหยกสลัก เคร่งขรึมจริงจัง สามารถกดข่มซ่งเล่อจนต้องอับอายตายไปเลย
แน่นอน ฉินจิ่วเกอที่กำลังวางแผน พบเจอกับปัญหาใหญ่ยักษ์
นั่นก็คือ ลำพังตัวมันคนเดียว ท่ามกลางคืนอันมืดมิด คิดประกอบโคมลอยสามพันดวงไม่อาจสำเร็จได้
ไม่เพียงสามพันดวงไม่ได้ เกรงว่าสามร้อยยังไม่มีปัญญา
ฉินจิ่วเกอยามนี้ร้อนรนจนเหงื่อแตก คิดว่าแผนการล้วนต้องเหี่ยวเฉา พลันมองเห็นที่ยอดเขาปรากฏหิมะขาวโพลนโปรยปราย
นี่รวมไปถึงภายในหลิงไถของฉินจิ่วเกอ ที่ยิ่งใหญ่ไพศาลกว่าพิสุทธิ์ไพศาลทั่วไปนับเจ็ดแปดเท่า
อาวุโสใหญ่คิดหยั่งล่วงลึกเข้าสู่ภายใน หากกลับถูกหมอกขมุกขมัวสกัดกั้นขวาง ไม่อาจมองเห็นชัดเจนว่าภายในคืออันใด
ได้แต่ทอดถอนใจต่อชะตากรรมของศิษย์รัก ทว่าวิชาปีศาจที่มันฝึกปรือ ยังมีตำแหน่งหัวหน้าของบรรพตสละฟ้า เท่ากับมันได้นั่งอยู่บนยอดสุดของเผ่าพิสดารแล้ว สองประการนี้ ล้วนเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย อาวุโสใหญ่ขมวดคิ้วไม่กล่าวกระไร
“อาจารย์มิใช่คนหัวโบราณ วิชาทักษะยุทธ์กำลังภายใน ทั้งหมดอยู่ที่ผู้ใช้ ไม่แบ่งแยกดีเลว กลับเป็นเจ้ารับตำแหน่งบรรพตสละฟ้า ตอนนี้ไม่ต่างจากนั่งอยู่บนกองไฟ รอวันถูกเผา”
ฉินจิ่วเกอปิดตาลง ค่อยสูดลมหายใจ ปิดประสาทหูลง เพียงเงี่ยฟังเสียงหัวใจเต้นอันหนักแน่นเข้มแข็งภายในอกของตนเอง
โลหิตระอุอุ่น หัวใจอันอ่อนเยาว์เต้นกระโดดในช่องอก ผสานแสงสีทองและเงามืด เผาผลาญทุกตารางนิ้วบนผิวเนื้อ
คน ล้วนแล้วต้องมีศรัทธา
“ท่านอาจารย์ ศิษย์คิดดีแล้ว”
“อ้อ? คิดดีแล้ว?” อาวุโสใหญ่เห็นสีหน้าจริงจังของศิษย์รัก อดเลิกคิ้วดกดำหนาทึบขึ้นมิได้
มันในยามนี้บรรลุยอดคนพิสุทธิ์ไพศาลแล้ว อนาคตฟ้ากว้างปฐพีไกล รอคอยมันออกท่องทะยาน
มัจฉาว่ายท่องท้องทะเล ผืนฟ้าปักษาเหิน
แม้ในใจของอาวุโสใหญ่ปรารถนาให้ศิษย์รักไม่มีวันเติบโตตลอดกาล สูดน้ำมูกเลอะเทอะ วิ่งตามติดชายเสื้อคลุมของมันไปทุกแห่งหน
ทว่าเพียงพริบตา ศิษย์รักของมันล้วนเติบใหญ่แล้ว
จากวัยอ้อแอ้หัดพูด จนเริ่มย่างเท้าก้าวเดิน จวบจนบรรลุนิติภาวะ
ทุกก้าวย่าง ตนเองเฝ้ามองดูมันเติบโต นับแต่ใบไม้ผลิยันใบไม้ร่วง หน้าหนาวหมุนเวียนเปลี่ยนเป็นหน้าร้อน
อาวุโสใหญ่คิดถึงตอนนี้ สองตาหมดจดเมตตา เรืองประกายแสงสีทองของดวงอาทิตย์ สองมือตบลงบนแผ่นหลังฉินจิ่วเกอ เอ่ยเสียงดังออกมา
ฉินจิ่วเกอตื้นตันในลำคอ ก้มหน้าปิดตาลง เอ่ยเสียงรัวเร็ว “ศิษย์คิดแล้ว แม้ไม่กล้าประกาศว่าจะช่วยเหลือผู้คนที่พบพานความลำบากในฟ้าดิน ทว่าสิ่งที่ตนเองสามารถกระทำ คือมอบผืนแผ่นดินแก่ผู้ถูกขับไล่ได้พักพิงจากพายุ”
อาวุโสใหญ่เร่งสะกดมืออันสั่นสะท้านทั้งสองข้าง สองแก้มแดงเรื่อ ดวงตาเบิกโต “เจ้าว่าต่อ”
เมื่อรู้สึกถึงสายตาของอาวุโสใหญ่ที่จดจ้องลงมาที่ศีรษะของตน ฉินจิ่วเกอขดหลังก้มศีรษะงุด หัวคิ้วขมวดมุ่น ภายในใจบังเกิดความตื้นตันตื่นเต้นอาบเต็มขึ้น
“สรรพชีวิตทั้งหลาย ภายใต้มหามรรคาล้วนเท่าเทียม ไม่ว่าวิญญาณใด เมื่อถูกรังสรรค์ขึ้นมาเป็นชีวิต สมควรมีที่ทางแก่พวกมันได้ดำรงและแข่งขัน ภายใต้สุดขอบพิภพรูปไข่ แดนแมลงเม่าล้วนเหมือนเมล็ดมัสตาร์ด ไม่ควรมีการแบ่งแยกสูงต่ำ ยิ่งไม่มีสิทธิ์เอารัดเอาเปรียบอีกเผ่าพันธุ์ตามอำเภอใจ”
อาวุโสใหญ่ใช้สายตาแตกตื่นของมัน จ้องเขม็งไปยังหนังศีรษะศิษย์รักที่เบื้องหน้าเป็นครั้งแรก
วาจานี้ ราวสาดแสงแก่ผู้มืดมิด เคาะโสตของผู้หนวกใบ้ เป็นวาจาพลิกฟ้าอย่างแท้จริง!
ในเมื่อทุกสรรพชีวิตล้วนเป็นฟ้าดินสรรค์สร้าง ล้วนอยู่ในกำมือของดินฟ้า ถูกกำหนดชะตาเป็นตายอย่างเสรี
เช่นนั้น ห้าสิบก้าวหัวร่อใส่ร้อยก้าว มิใช่น่าเศร้ายิ่งหรอกหรือ?
นี่ไม่ต่างจากเถือเนื้อตนเองเพื่อผู้อื่น เกรงว่าหากวาจานี้แพร่ออกไป ทั่วทั้งทวีปฉงหลิงต้องบังเกิดกลียุคขึ้น
ทว่ามันเองล้วนไม่ได้เอ่ยอันใดต่อ เพียงสูดลมหายใจลึก เดาะปลายลิ้น หากมิได้เอ่ยขัดฉินจิ่วเกอ
เห็นอาวุโสใหญ่ไม่มีปฏิกิริยา ฉินจิ่วเกอก็ผ่อนคลายลง เอ่ยเสียงตื้นด้วยลำคอตีบตัน “ดังนั้นผู้เป็นศิษย์คิดว่า สรรพชีวิตใต้ฟ้า ไม่มีใดยิ่งกว่าความโง่เขลาต่ำต้อย ประพฤติไม่เป็นธรรม ล้วนเห็นแก่ตัว สามเผ่ามารอสูรมนุษย์ ล้วนเป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจ!”
“กล่าวจบแล้วหรือไม่?” อาวุโสใหญ่มองไปทางด้านข้าง หลงเฟิงนัยน์ตาแดงก่ำ ปลายจมูกตื้อตัน
ฉินจิ่วเกอระบายวาจาในส่วนลึกของจิตใจออกมาจนหมดสิ้น คนพลันอารมณ์ดีขึ้นมา
วาจานี้ มันเพียงกล้าเอ่ยออกเบื้องหน้าอาวุโสใหญ่เท่านั้น หากเป็นผู้อื่น เกรงว่าเพียงพริบตาเดียว ฉินจิ่วเกอย่อมพลิกลิ้นด่าทอผู้ฝึกวิชาปีศาจอย่างสาดเสียเทเสีย
ฉินจิ่วเกอปิดตาแน่น สัมผัสรับรู้ถึงฝ่ามือใหญ่โตแก่คร่ำอันอบอุ่นที่กลางหลัง เกลื่อนกล่นด้วยรอยย่นและเหี่ยวเฉา ราวกับร่องรอยของวงปีแห่งพฤกษาพันปี ฝ่ามือใหญ่วางลงบนศีรษะแล้วลูบอย่างอ่อนโยน ส่งประกายสีทองออกมาเป็นพักๆ
“ช่วงระยะนี้เผ่ามนุษย์เกิดเรื่องใหญ่ แต่เมืองเทียนเอินยามนี้ถูกเจ้ารักษารากฐานไว้ได้ งั้นเจ้าก็กลับไปกับข้าสักรอบ เมื่อถึงพรรคเรา อาจารย์จะให้พวกห้องครัวทำกับข้าวเพิ่มขึ้นสักหลายอย่าง ให้ล้วนได้อิ่มหนำกันสักครา”
ฉินจิ่วเกอราวกับฟองน้ำที่ถูกบีบจนเหี่ยวแห้ง ร่างอ่อนยวบลงกะทันหัน ริมฝีปากแห้งผาก หากในใจกลับพลิกกลับ กลายเป็นความผ่อนคลายยินดี “เช่นนั้นย่อมดียิ่ง ศิษย์อยากรับประทานเกี๊ยว”
อาวุโสใหญ่ไม่ได้รักเงินทองเท่าอาวุโสสาม แน่นอนย่อมต้องบันดาลความปรารถนาน้อยๆ ของศิษย์รักให้เป็นจริง “ได้ ต่อจากนี้ครึ่งเดือนพวกเราจะรับประทานเกี๊ยว อยากกินไส้อะไร?”
“ไส้กุ่ยช่าย” ฉินจิ่วเกอร่ำร้องหารสชาติดั้งเดิมจากบ้าน รูขุมขนพองขยาย หลั่งเหงื่อเย็นที่สะสมเก็บไว้มานานจนชุ่มร่าง
อาวุโสใหญ่ใบหน้าสดใส เงยหน้าขึ้นกล่าว “งั้นไปกันเถอะ”
แผ่นดินกว้างใหญ่ ไร้ความยุติธรรม
เกิดแก่เจ็บตาย เข้มแข็งกลืนกินอ่อนแอ ปีติยินดีเศร้าโศกเคียดแค้น คือวัฏฏะสงสารอันไร้สิ้นสุด
อยุติธรรมบังเกิดทั่วแห่งหน เพียงสนชื่อเสียงเงินทอง
ในใจใต้หล้าทอดมองทั่วสี่ทะเล พบเห็นเรื่องราวน้ำใจ แม้หัวใจบอบช้ำแหลกสลาย ล้วนไม่อาจช่วยเหลืออันใดได้
สรุปความแล้ว หากคิดใช้ชีวิตอยู่บนโลกอันโสมมนี้อย่างสุขสบายหน่อย ก็คือสี่คำนี้ : ไม่เกี่ยวกับข้า
ในมหาสงครามบรรพกาล กฎสรรพสิ่งท่านนั้นที่ละสังขารไป ไม่เข้าใจสี่คำนี้ จึงต้องร่วงหล่นเลือนสลาย มรดกถูกฉินจิ่วเกอ ลั่วเฉิน และซ่งเล่อแบ่งรับมา
คนแรกที่พบว่าหากไม่มีแสงก็จะมองไม่เห็นโลก คนแรกที่ค้นพบว่าหากไม่ดื่มน้ำจะกระหายจนตาย คนแรกที่รู้จักใช้การสังเวยเพื่อไขว่คว้าหาความโปรดปรานจากพระเจ้า ก็คือตัวการร้ายอันยิ่งใหญ่ สมควรตายอย่างที่สุด!
นับแต่ออกจากพรรคหลิงเซียวมาก็เกือบสองปีแล้ว และก็ใกล้ถึงวันปีใหม่อีกแล้ว
ฉินจิ่วเกอถ่มเอากลิ่นอายสนิมอันเป็นมลพิษจากเมืองเทียนเอินเฮือกสุดท้ายออก ก้าวเดินสู่เส้นทางคืนสู่บ้าน
ส่วนหลงเฟิง มันรับผิดชอบรั้งอยู่เมืองเทียนเอิน ดูแลเมืองล่วนโต้วและบรรพตสละฟ้า
หลังจากแผนล้อมฆ่ายอดยุทธ์เมืองเทียนเอินของพรรคโลหิตนภาล้มเหลว สี่ประมุขขุนเขากลับคืนสู่บรรพต เริ่มต้นสั่งสมทรัพยากร
ทวีปใหญ่ กำลังจะเกิดกลียุค
มีเพียงเมืองซวนอู่อันเล็กจ้อย ตั้งอยู่บนผืนแผ่นดินโดดเดี่ยวทางใต้ของเผ่ามนุษย์ ที่ยังคงรักษาบรรยากาศความสงบสุขก่อนมหาสงครามจะเริ่มต้นไว้ได้
ภายในป่าปีศาจสวรรค์ที่กว้างขวางนับหมื่นลี้ ยามค่ำคืนจะปรากฏเงาร่างดำมืดนับร้อยพัน เคลื่อนไหวในรัตติกาล
ผิวน้ำในบึงดูเรียบนิ่ง แต่ผู้คนล้วนทราบ ภายใต้ผืนน้ำกลบฝังไว้ด้วยคนชั่วร้ายโสมมและเหล่าผู้ซ่องสุม
คลื่นน้ำไร้เสียงไร้ระลอก ขอเพียงมีคนแตะต้องผิวน้ำ จะบังเกิดความวุ่นวายขึ้นทันที อีกฝ่ายต้องถูกบีบคั้นจนตกตายภายใต้อาณาเขตวารีอันดำมืดชั่วร้าย
หมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงหวาดหวั่นผวา ไม่กล้าเรียกคนมาช่วยเหลือ
เมื่ออาวุโสใหญ่ใกล้ถึงพรรคหลิงเซียว ฉินจิ่วเกอคล้ายบังเกิดความละอาย กระมิดกระเมี้ยนราวอิสตรีร่างเปลือยเปล่า ไม่กล้ามองหน้าผู้คน
สำหรับกับท่าทีเช่นนี้ของศิษย์รัก อาวุโสใหญ่รับรู้มานานแล้ว ไม่สนใจ มันลากศิษย์ของตนมาถึงจนได้ ใครจะคาดว่าฉินจิ่วเกอหย่อนก้นลงนั่งตีโพยตีพาย ไม่คิดขยับไปไหน
ฉินจิ่วเกอจนปัญญา มันเองก็ไม่ทันเตรียมใจ ผ่านไปนานหลายปีป่านนี้ เกรงว่าบรรดาคณะกรรมการผู้ประกอบพิธีศพของมันล้วนถูกโยกย้ายไปหมดสิ้นแล้ว ตอนนี้กลับมาถึง ผู้คนในพรรคอาจกลัวจนขนหัวตั้ง
ยกตัวอย่างเช่นมันจะเผชิญหน้ากับพระเอกของเราอย่างไร จะทำหน้ายังไงเมื่อพบเจอศิษย์น้องเล็ก จะมองหน้าเจ้าอ้วนน่าตายแบบไหน
อืม เจ้าอ้วนน่าตายที่จริงมิใช่ปัญหาใหญ่ หน้าของมันใหญ่โตปานนั้น ยังไงก็ไม่อาจตามองตากับมันได้อยู่แล้ว
ดังนั้นฉินจิ่วเกอไม่คิดกลับไป หากจะกลับพรรค ต้องสรรหาวิธีการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ใดออกมาก่อน
คิดว่าศิษย์พี่ใหญ่ของเราเป็นใคร?
ชัดเจนว่าไม่ถูกต้อง ฉินจิ่วเกอยามนี้กลับไป กลายเป็นพิสุทธิ์ไพศาลผู้ยิ่งใหญ่แล้ว
ไม่ว่าอย่างไร ยามเปิดตัวสมควรเฉิดฉายสักหน่อย มิเช่นนั้นไหนเลยจะคู่ควรคำยอดฝีมือได้
สำหรับพฤติกรรมบ้าๆ บอๆ ของศิษย์รัก อาวุโสใหญ่ไม่เข้าใจเท่าใด ทว่าแต่ไหนแต่ไรมา พวกเล่นพิเรนทร์ไปมากลายเป็นทำตนเองตายขึ้นมาจริงๆ กลายเป็นปลาว่ายไม่พ้นน้ำ ดังนั้นจึงปล่อยศิษย์รักของมันไว้นอกพรรคก่อน ให้มันรับประทานลมตะวันตกเล่น
“อาจารย์ ท่านต้องจดจำไว้ คืนนี้ ต้องให้ทุกคนขึ้นไปบนเวทีใหญ่เพื่อดูดาว” เวลานี้เป็นช่วงหน้าหนาว สายลมเย็นบาดผิวราวคมมีด ประกายเหมันต์กระหึ่มก้อง ทุกที่ทางล้วนเป็นรัตติกาลหนาวยะเยือกอันเงียบงัน
“เข้าใจแล้ว” อาวุโสใหญ่โบกมือ เหยียบยอดวายุน้อยเข้าสู่พรรคไป
เพื่อส่งเสริมความปรารถนาพิกลเล็กน้อยของศิษย์เอก อาวุโสใหญ่เองก็รักษาความเข้มงวดของผู้ฝึกตน มิได้บอกต่อผู้คนว่าฉินจิ่วเกอกลับมาแล้ว ทั้งยังเป็นฉินจิ่วเกอที่มีชีวิตอยู่
ค่ำคืนอันเยียบเย็นปานนี้ แม้แต่น้ำค้างยังแข็ง ทุกที่ทางล้วนปรากฏผู้หิวโหยหิวจนขาดใจตาย
ฉินจิ่วเกอยืนทระนงภายใต้หิมะน้ำแข็งเย็น ขยับเคลื่อนนิ้วมือที่ถูกแช่แข็งจนคล้ายแครอท ดูไปเหมือนนิทานเรื่องเด็กน้อยไม้ขีดไฟไม่ผิดเพี้ยน
หนึ่งอัน สองอัน ฉินจิ่วเกอหักกิ่งก้านแมกไม้ที่ถูกน้ำแข็งแช่แข็งราวคริสตัล อย่างยากลำบาก ประกอบร่างขึ้นมาเป็นโคมลอยอันตราตรึง
วิธีการเปิดตัวของศิษย์พี่ใหญ่นี้ ย่อมต้องสดใหม่และสร้างสรรค์ ทั้งยังเพริศพรายสะท้านจิต
ลองคิดดู ในค่ำคืนร้างไร้กลางเหมันต์หนาวเหน็บ แสงจันทราหนักหน่วง ดาราราวน้ำแข็ง
ศิษย์ทั้งหลายในพรรคหลิงเซียวรวมตัวกันบนเวที ทอดตามองท้องฟ้าไพศาล แผ่นดินกว้างฟ้าไกล
นอกเหนือจากความเป็นไปได้ในการถูกแช่แข็งตายกลางลมหนาวแล้ว การยืนอยู่บนเวทีกลางหน้าหนาว ที่จริงถือเป็นการขัดเกลาความก้าวหน้าในการฝึกวิชาอย่างหนึ่ง ไม่เพียงสามารถชำระกระดูกกล้ามเนื้อเส้นเอ็น ยังขัดเกลาจิตปณิธานและความมุ่งมั่น สำหรับกับอนาคตที่ต้องเหินทะยานสู่โลกแห่งเซียน นับเป็นส่วนช่วยอย่างมหาศาล
และลมเย็นของค่ำคืนนี้ ดวงจันทร์ยิ่งหรุบหรู่ไร้แสง
บรรดาศิษย์บนเวทีกลางพรรค กำลังจะพบว่า พร้อมกับสายลมที่พัดโบกมา จากที่อันแสนไกลนอกพรรคหลิงเซียว ผืนปฐพีอันราบเรียบกว้างขวาง ปรากฏโคมลอยสามพันดวงค่อยๆ ลอยขึ้นเปล่งประกายแสงอันอบอุ่นดั่งดวงดารา
ช่างงดงามจนแทบหลั่งน้ำตา แม้แต่ฟ้าอันไร้ใจยังต้องไหวหวั่น
ผู้คนว่าไว้ ดวงไฟบุปผาราวกลางวัน วีรบุรุษหญิงงามพบพานกลางแสงจันทร์
ที่งามงดที่สุด ก็คือดวงโคมไฟที่ลอยล่องอย่างเสรีกลางท้องนภายามค่ำ พลิ้วไปกับสายลม
นั่นก็คือนางนวลแห่งทะเลเหนือ สามารถท่องทะยานไปได้ทุกที่ทาง
ภาพน่าประทับใจเช่นนั้น ช่างโรแมนติก สวยงามจนแทบไม่อาจหายใจได้
ส่วนฉินจิ่วเกอเล่า ในฐานะผู้วางกลยุทธ์การเปิดตัวครั้งนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องเปิดตัวออกมาท่ามกลางดวงไฟสามพันดวง
ลองคิดว่าหากศิษย์พี่ใหญ่ของพรรค สองเท้าเหยียบย่างบนยอดโคมไฟเหินบิน อาภรณ์ขาวสะบัดพัดพลิ้ว ยืนหยัดกลางนภากาศ ทั่วร่างเจิดจ้าสาดประกายยิ่งกว่าห้วงจักรวาล
สุดท้าย ศิษย์พี่ใหญ่ย่อมต้องร่อนลงสู่พื้น พร้อมกับเหล่าดวงโคมที่จืดจางลง
ทั้งหมดนี้ช่างอบอุ่นร้อนเร่า ไม่ช้าไม่เร็ว เป็นความสำเร็จจากฟ้าที่เป็นไปตามธรรมชาติ ปลอดโปร่งโล่งราวพิภพเซียน
ช่างเป็นฉากการเปิดตัวที่ร้ายกาจอะไรอย่างนี้ เหยียบย่างบนโคมไฟทะยานฟ้า จากนั้นร่วงหล่นลงมาพร้อมดวงไฟ
ดวงหน้าคมราวหยกสลัก เคร่งขรึมจริงจัง สามารถกดข่มซ่งเล่อจนต้องอับอายตายไปเลย
แน่นอน ฉินจิ่วเกอที่กำลังวางแผน พบเจอกับปัญหาใหญ่ยักษ์
นั่นก็คือ ลำพังตัวมันคนเดียว ท่ามกลางคืนอันมืดมิด คิดประกอบโคมลอยสามพันดวงไม่อาจสำเร็จได้
ไม่เพียงสามพันดวงไม่ได้ เกรงว่าสามร้อยยังไม่มีปัญญา
ฉินจิ่วเกอยามนี้ร้อนรนจนเหงื่อแตก คิดว่าแผนการล้วนต้องเหี่ยวเฉา พลันมองเห็นที่ยอดเขาปรากฏหิมะขาวโพลนโปรยปราย