เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 190 เจิดจรัสด้วยตัวเอง
“เมื่อครู่อาวุโสบอกว่าไม่ข้องเกี่ยวกับสามเผ่าพันธุ์ ปลีกตัวจากโลกหล้า นอกจากอาวุโสแล้ว ข้าก็คิดไม่ออกว่ายังมีอาวุโสท่านใดที่สามารถรับรู้การเคลื่อนไหวของที่นี่จากโพ้นทะเลหมื่นลี้ได้อีก”
ฉินจิ่วเกอได้สติกลับคืน ปัญญากลับเข้าร่าง ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์แยกแยะเรื่องราวหรือทำความเข้าใจผู้คนก็ล้วนแจ่มกระจ่างยิ่ง
“เจ้าหนู อย่าคิดว่าเพียงเพราะเจ้าพูดจาอ่อนหวานเข้าหน่อย แล้วความบาดหมางระหว่างเราจะคลี่คลายไปทั้งอย่างนั้น เรื่องที่เจ้าทำต้นพฤกษาข้าเสียหายย่อยยับ ข้าย่อมไม่มีวันลืม ตอนนี้ข้ากำลังวุ่นอยู่กับการกวาดล้างผู้ฝึกวิชาปีศาจทางโพ้นทะเลอยู่ ไม่ว่างจะมาคุยกับเจ้า”
พูดจบ ผู้เฒ่าเรืองปัญญาก็ออกจากระบบไปทันที ต่อให้ฉินจิ่วเกอร้องเรียกยังไงก็ต่อไม่ติด
ฉินจิ่วเกอสูดลมเข้าปอดสองสามเฮือก ทำจมูกบาน ปรับจังหวะการหายใจให้เข้าที่
จากนั้นสำรวจภายในหลิงไถ รำพึงกับตัวเองว่าเกือบไปแล้ว หากไม่ใช่เฒ่าเรืองปัญญายื่นมือช่วยเหลือทันท่วงที ป่านนี้มันไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเข้าสู่วิถีปีศาจ แค่ต้องกลายสภาพเป็นคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงเหมือนอย่างเทียนหมิงเสียฉินจิ่วเกอก็รู้สึกโลกนี้ช่างมืดหม่นมากแล้ว
ยังดีที่ถึงแม้เฒ่าเรืองปัญญาจะดูเหมือนเจ้าคิดเจ้าแค้น ใจแคบ ไร้ยางอาย
แต่ในความเป็นจริงการมีผู้เฒ่าผู้ใหญ่อยู่ด้วยก็เหมือนกับมีสมบัติอยู่ในบ้าน ข้อดีของเฒ่าเรืองปัญญาคือการยึดมั่นในหลักการ แยกแยะความบาดหมางเก่าก่อนยื่นมือช่วย ตรงจุดนี้สุภาพบุรุษฉินลองถามตัวเองดูกลับพบว่ามันไม่อาจทำเหมือนอย่างท่านผู้เฒ่าได้
หลังสำรวจดูหลิงไถที่ใช้ควบคุมกระแสจิตของตัวเอง ฉินจิ่วเกอก็ตัดสินใจเดี๋ยวนั้นว่าจะขจัดเอาพลังงานแง่ลบนี้ออกไปจากตัว สำหรับผู้ฝึกเคล็ดลมปราณปีศาจ การขัดเกลาสังขารโดยไม่ถูกพลังกัดกร่อนนับเป็นเรื่องยากจริงๆ
ฉินจิ่วเกอเดิมทีคิดว่าในฐานะบุคคลสามชาติภพ จะสามารถควบคุมพลังกัดกร่อนของเคล็ดหมื่นมารทมิฬได้โดยไม่มีปัญหา แต่มาตอนนี้ ดูท่าตนจะคิดอะไรตื้นเขินเกินไปแล้ว
รอดตายจากการถูกงูกัด ไม่ได้แปลว่างูตัวนั้นไม่มีพิษ
ตราบใดที่พิษงูยังอยู่ในร่าง พิษร้ายก็จะสั่งสมรอวันที่เหยื่ออ่อนแอ และปะทุสังหารภายในม้วนเดียว
พลังแง่ลบขุมนั้นอัดแน่นไปด้วยความพยาบาทคั่งแค้นและขั้วอารมณ์ด้านลบต่างๆ นานา
คาดการณ์ว่าจะต้องเป็นเจ้าของร่างคนก่อนหลงเหลือเอาไว้ตอนที่ฉินจิ่วเกอขโมยร่างนี้มา
“โลกิยะมีผิดชอบชั่วดีหรือไม่? ” กรรม
ฉินจิ่วเกอรำพึงกับตัวเอง ผนึกจิตเข้าสู่โลกอันไพศาลภายในหลิงไถ ด้านใน มีต้นพฤกษาสูงเสียดฟ้าอยู่ต้นหนึ่ง ส่องแสงกระจ่างใสเรืองรอง เหนือต้นไม้ จันทราสุริยันหมุนวนอยู่บนห้วงจักรภพอันไร้ขอบเขต
รากฐานหลิงไถของฉินจิ่วเกอวิวัฒน์มาจากไอพลังม่วงสายนั้น
พอฉินจิ่วเกอเคลื่อนย้ายไปจดจ่ออยู่กับไอพลังม่วงที่ว่า มันก็แบ่งออกเป็นเงาสองสาย หนึ่งดำหนึ่งขาว
เงาดำกรรมชั่วขาว คือประหาร เงาขาวกรรมดีขาว คือเทพศักดิ์สิทธิ์
สิ่งที่กระตุ้นฉินจิ่วเกอให้เกิดแรงปรารถนาฆ่าฟันอย่างรุนแรงก่อนหน้าก็คือเงาดำสายนั้น แต่ตอนนี้เงาร่างของมันกลับเบาบางลง และเป็นเงาขาวที่ทรงพลังกว่า
ฉินจิ่วเกอถามเงาขาวสายนั้น “โลกมนุษย์ มีกรรมดีกรรมชั่ว เช่นนั้นสามารถสืบทอดกรรมดีชั่วนี้ได้หรือไม่? ”
เงาสีขาวเคลื่อนคล้อยไปเรื่อยๆ เหมือนปุยเมฆ เงาร่างพร่ามัวไม่ชัดเจน “มีกรรมดี สามารถสืบต่อกรรมดี”
ฉินจิ่วเกอถามต่อ “ได้อย่างไร? ”
ทันใดนั้น เงาร่างสีขาวก็สลายไป พร้อมเสียงพัดหวือที่ลากยาว
เส้นทางแจ้ง ระลึกรู้ถึงตัวตน ชีวิตย่อยแยก รูปลักษณ์แตกต่าง หลากหลายเส้นทางมุ่งสู่จุดหมายเดียวกัน
สวดสวดสวด สวดจนคุณธรรมเหนือฟ้า สรรพสิ่งดำรงเวทนา ข้ามข้ามข้าม ก้าวข้ามฟากฝั่งมหรรณพแห่งกิเลส นำพาสรรพชีวิตพ้นบ่วงกรรม เมตตา เมตตา เมตตา การุณ การุณ การุณ เมตตาการุณหลุดพ้นความรักความแค้น ตั้งจิตมั่นตลอดกาล
ลมพัดธงโบก ขณะที่ลมพัด ธงก็จะพัด ขณะที่คนขยับ จิตใจก็จะขยับ
จิตใจเป็นเหมือนวารีที่เรียบกระจ่าง ต่อให้สวรรค์ร่วงถล่มลงตรงหน้าก็จะไม่มีวันตื่นตระหนก! ฉินจิ่วเกอผนึกจิตสำรวมสติ ปัดเป่าโรคร้ายที่เรื้อรังอยู่ในใจมานานทิ้งไป ครอบงำกายร่างนี้มาเป็นของตนอย่างสมบูรณ์
บัดนี้ มันก็คือฉินจิ่วเกอ คือศิษย์พี่ใหญ่พรรคหลิงเซียว คือผู้ฝึกตนของทวีปฉงหลิงอย่างเต็มตัว
ในตอนที่ฉินจิ่วเกอกำลังยิ้มร่าอย่างโง่งมอยู่นั้น พลันพบว่ามีคนมายืนอยู่ตรงหน้า และกำลังจ้องมองมันด้วยความประหลาดใจ
สีหน้าของอีกฝ่ายบ่งชัดว่ากำลังมองคนเสียสติทำเรื่องเสียสติอยู่ ช่างน่าตกตะลึงจริงๆ
ฉินจิ่วเกอเองก็มองอีกฝ่ายอย่างโง่งมเช่นกัน คนผู้นี้รูปโฉมสง่างาม สง่าเสียจนฟ้าดินยังต้องหวนไห้ ราวกับสวรรค์เบื้องบนได้ประทานสิ่งสวยงามทั้งมวลเอาไว้กับคนผู้นี้
“ศิษย์น้องรอง? ”
นอกจากพระเอกของเรา ยังจะมีใครที่ฉินจิ่วเกอปฏิบัติด้วยเช่นนี้อยู่อีก? มันร่ำร้องอย่างยินดี
“ศิษย์พี่ใหญ่? ” ลั่วเฉินเองก็ตกใจไม่แพ้กัน ไม่ใช่ว่ามันตายไปแล้วหรอกหรือ? ศิษย์น้องสี่หนิวว่านซานยังถึงกับทำพิธีศพให้เลยด้วยซ้ำ
ฉินจิ่วเกอทะลึ่งกายขึ้นด้วยความตื่นเต้นยินดี “ไอหยา ศิษย์น้องรอง เจ้าคงคิดถึงข้าเจียนตายแล้ว”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านเองก็คงคิดถึงข้าเจียนตายแล้ว” ลั่วเฉินรู้สึกทนไม่ได้กับอ้อมกอดอันอบอุ่นของฉินจิ่วเกอ ถึงแม้ตัวมันจะติดค้างหนี้ชีวิตอีกฝ่ายอยู่ก็ตาม
ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่เอ่ยทำนองว่าให้ตอบแทนมันด้วยศิลาวิญญาณ ลั่วเฉินก็จะฝังเรื่องนี้ไว้ในใจ ยังไงซะถ้ามันเอ่ยเรื่องนี้ออกมา คิดพลิกหน้ามือเป็นหลังเท้าใส่มันก็ยังทัน
ฉินจิ่วเกอแน่นอนว่าไม่คิดจะเรียกร้องอะไร คนอย่างพระเอกต่อให้ถูกทุบตีจนคางเหลือง วันต่อมาก็ยังวิ่งพล่านได้เหมือนแมลงสาบเลือดน้ำเงินอยู่ดี ผลอู๋เลี่ยงสดที่ตนหามาได้ อย่างมากก็เป็นได้แค่การตกแต่งของที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้วเท่านั้น
“น้องรองเอ๋ย ช่วงนี้เจ้าร่าเริงดีนะ? ” ฉินจิ่วเกอฉีกยิ้มอย่างชั่วร้าย แลดูไม่มีความจริงใจเลยแม้แต่น้อย
ลั่วเฉินรีบกระชับอาภรณ์บนตัว “ข้าสบายดี ว่าแต่ศิษย์พี่ใหญ่ไฉนจึงมาถึงนี่ได้? ”
“หมู่นี้เจ้าถูกฟ้าผ่าบ้างหรือเปล่า? ” ฉินจิ่วเกอไม่ตอบแต่เบิกตาถามอย่างวาดหวัง
อิงจากตำรา 《วิธียืนยันวงแหวนความเจิดจรัสของพระเอก》หน้าสามสิบสามและสามสิบสี่ การถูกฟ้าผ่าคือวิธีการหนึ่งที่พระเอกจะเลื่อนระดับ ง่ายดายเหมือนการกินข้าวอาบน้ำ
นี่เองก็เป็นสิ่งบ่งชี้ว่าคนที่เป็นพระเอกมักชื่นชอบการถูกข่มเหง รสนิยมเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
ลั่วเฉินส่ายศีรษะ ในใจขบคิด หรือศิษย์พี่ใหญ่จะเป็นคนไม่มีสมองจริงๆ?
“ไม่ได้ถูกฟ้าผ่าหรอกหรือนี่” ฉินจิ่วเกอเบะปากอย่างเสียดาย ถึงว่าทำไมเลื่อนระดับได้ช้านัก ที่แท้เพราะทักษะติดตัวไม่ถูกกระตุ้นนี่เอง
หากได้ถูกฟ้าผ่าสักสองสามเปรี้ยง ร่างกายก็จะได้รับการขัดเกลา กระดูกได้รับการชำระล้าง เกิดการหยั่งรู้เห็นแจ้ง
ทั้งยังกระตุ้นระบบเผาผลาญภายในร่างกาย ช่วยในการผนึกดวงธาตุทองคำ
ลั่วเฉินแกะมือออกจากฉินจิ่วเกอด้วยท่าทีไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างสกปรกจนไม่อยากแตะสัมผัส หากไม่ใช่เพราะตนได้ยินเสียงหัวเราะต่ำช้าผิดมนุษย์ขนาดนั้นเข้า ก็คงไม่กล้าเชื่อว่าคนบ้าที่หัวเราะอย่างโง่งมนั้นจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของมันจริงๆ
“ศิษย์พี่ใหญ่ เกิดอะไรขึ้นกับที่นี่กัน? ” กวาดตามองไปรอบๆ พบเห็นศพกลาดเกลื่อนชวนขนลุกขนพอง
ฉินจิ่วเกอผงกศีรษะอย่างมีความสุข ไม่นึกว่าจะได้พูดคุยกับพระเอกของเรื่องตั้งหลายประโยค รู้สึกสดชื่นดีจริงๆ
ต้องจดต้องจำไว้ให้ดี อีกหน่อยพอแก่เฒ่า จะได้เอาไว้เล่าให้ลูกหลานฟัง
“อ้อ นั่นเป็นฝีมือของผู้ฝึกวิชาปีศาจ ข้าไม่เกี่ยวอะไรด้วย ข้าเผอิญเห็นผู้ฝึกวิชาปีศาจกำลังถลกเนื้อหนังสัตว์อสูรเข้าพอดี ก็เลยมิอาจมองเมินต้องชักมีดเข้าพัวพันเพื่อความถูกต้อง พัวพันกันอยู่สามร้อยกระบวนท่า กว่าจะล้มอีกฝ่ายลงได้”
ช่วงเวลาเช่นนี้ ต้องสำแดงความภูมิฐานอันเป็นเอกจำเพาะของศิษย์พี่ใหญ่ออกมาให้พระเอกได้ประจักษ์เสียหน่อย
พอเอ่ยถึงผู้ฝึกวิชาปีศาจที่อยู่ที่นี่ ลั่วเฉินก็สะดุ้งเฮือก ร่างชะงักงัน “ผู้ฝึกวิชาปีศาจที่ว่ามีนามว่าอะไรรึ? ”
ฉินจิ่วเกอกล่าวตอบอย่างนิ่งเฉย “เทียนหมิงเสีย ชื่อนี้ฟังระคายหูมากเจ้าว่าไหม”
“แล้วคนเล่า? ”
“หนีไปแล้ว แต่น้องรองเจ้าวางใจเถอะ ครั้งหน้า ข้าจะต้องขจัดภัยพาลอภิบาลคนดี กำจัดปีศาจร้ายที่ก่อกรรมทำเข็ญตนนั้นลงให้จงได้”
ในตาของลั่วเฉินเกิดประกายสลักซับซ้อนวาบผ่าน ก่อนต้องยกมือลูบจมูก เป่าปากอย่างโล่งอก เรื่องบางเรื่องไม่อาจบอกกล่าวต่อผู้ใด ได้แต่ต้องเก็บไว้ในใจเท่านั้น
ในเมื่อรู้แล้วว่าท่านลุงสองไม่เป็นอะไร ลั่วเฉินก็เดินกลับเข้ามาหาฉินจิ่วเกอ “คลื่นสัตว์อสูรใกล้จะปะทุเต็มที พวกเรารีบกลับกันก่อนดีกว่า ป่าผืนนี้ติดกับทะเลใหญ่ทั้งสามด้าน มีแต่ทางที่นำไปสู่ประตูหายนะเท่านั้นที่ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
“ได้ แต่ศิษย์น้องรองเจ้าก็ต้องระวังด้วย อย่าเผลอถูกแดดเผาจนผิวไหม้ล่ะ”
ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเทียนหมิงเสียนั่นไปมุดหัวอยู่ที่ไหนแล้ว ฉินจิ่วเกอล้มเลิกความคิดที่จะไล่ล่าสุนัขบ้าตัวนั้นไปก่อน ตนเองเพิ่งกำจัดมารในใจไปได้ ยังต้องใช้เวลาขัดเกลาจิตใจอีกระยะหนึ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี
และแล้วฉินจิ่วเกอกับลั่วเฉินก็เดินทางกลับพรรคหลิงเซียวกันด้วยประการฉะนี้
ระหว่างเดินทาง ลั่วเฉินรู้สึกดีขึ้นกับฉินจิ่วเกอไม่น้อย
อย่างไรเสีย ศิษย์พี่ใหญ่ก็ดั้นด้นหมื่นลี้เพื่อไปหาผลอู๋เลี่ยงสดมาให้มัน ที่จริงนับเป็นคุณความดีอันประเสริฐสูง สมควรขึ้นแท่นศิษย์พี่ใหญ่แห่งปีเลยด้วยซ้ำ
เพียงแต่ลั่วเฉินกลับค้นพบอย่างน่ากระอักกระอ่วนใจว่า สมองของศิษย์พี่ใหญ่ท่านนี้คล้ายว่าจะพิกลพิการอยู่บ้างจริงๆ
“น้องรองเอ๋ย อยากให้ศิษย์พี่ใหญ่คนนี้ช่วยเจ้าเขียนบทกลอน ‘หม่านเจียงหง’ ไว้บนแผ่นหลังหรือไม่ รับรองยามออกไปมีเรื่องครั้งหน้า ขอเพียงเจ้าท่องอ่านบทกลอนนี้ออกมาดังๆ เจ้าก็จะดูสง่างามเหมือนอย่างงักฮุย ช่างบรรเจิดถึงเพียงไหน”
“ข้าไม่ต้องการ”
“เช่นนั้นพวกเราลองไปหาที่โล่งกว้างกันสักแห่ง แล้วให้สายฟ้าฟาดใส่ตัวเจ้าสักเปรี้ยงสองเปรี้ยงเป็นการขับสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยให้ผิวพรรณเต่งตึงกระชับ เป็นไง แค่ได้ฟังก็รู้สึกว่าไม่เลวแล้วใช่หรือไม่ ข้าเองยังรู้สึกว่าความคิดนี้บรรเจิดไม่เลวเลย”
“ข้าไม่สน”
“ศิษย์พี่เป็นห่วงเจ้าจากใจจริงนะขอบอก ไม่เชื่อก็ดูตาข้าได้ คนเราน่ะนะยามประพฤติกายวาจา จำต้องใส่ใจทั้งทางบู๊และทางบุ๋น นี่แหน่ะ ศิษย์พี่ขอแนะนำกลยุทธ์นี้แก่เจ้า ยามปลดทุกข์ให้เจ้านั่งอ่านตำราพิชัยสงครามของซุนวูควบคู่ไปด้วย การรู้จักวางแผนล่วงหน้าเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง”
“ซุนวูเป็นใคร? ”
ตอนแรกฉินจิ่วเกอตั้งใจจะชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง แต่รู้สึกว่านี่ไม่ค่อยจะเหมาะสม จึงเบี่ยงปลายนิ้วไปทางกระต่ายสีขาวโพลนตัวหนึ่งที่พลันกระโดดเข้ามาได้จังหวะพอดี “คือเจ้านั่น”
ลั่วเฉินกำหมัดแน่น ฟันขบกันดังกรึกๆ มุมปากเชิดขึ้นเล็กน้อย แทบจะเอาศีรษะฉินจิ่วเกอมาแทนลูกหนังแล้วเตะไปให้ไกลสุดขอบฟ้าเลยทีเดียว
ความรู้สึกนั้นคงจะบรรเจิดงดงามมากแน่ๆ
“น้องรองเอ๋ย ข้า…”
ผัวะ!
ลั่วเฉินทนไม่ไหวอีกต่อไป กำปั้นมหาราชาพุ่งเข้าใส่เบ้าตาข้างซ้ายของฉินจิ่วเกออย่างแม่นยำ
ฉินจิ่วเกอกุมเบ้าตาร้องโอดโอย “น้องรอง คนเรามิอาจทำตัวเย็นชาเกินไปนัก ศิษย์พี่ก็แค่อยากจะถกปัญหาชีวิตกับเจ้าเท่านั้น ระหว่างนั้นก็จะแนะนำการเป็นพระเอกที่มีแต่คนรักคนเอ็นดูให้เจ้าไปด้วย”
ลั่วเฉินหน้าเผือดขาวดุจหิมะ ประกายเหมันต์สวยสง่ามาพร้อมกับกระบี่วิเศษที่ถูกชักออกจากเอว พาดขวางอยู่บนลำคอของฉินจิ่วเกอ “ขืนเจ้ายังส่งเสียงอยู่อีก ข้าจะตายมันพร้อมกับเจ้านี่แหละ! ”
ฉินจิ่วเกอรีบยกมือปิดปากทันที “อาอัง”
“เจ้าพูดอะไร? ” ลั่วเฉินถามอย่างเหลืออด
โป๊ก! ศีรษะของลั่วเฉินพลันกระแทกเข้ากับกิ่งไม้ที่ห้อยระย้าลงมาเข้าอย่างจัง นกกาแตกฝูง เหลือไว้เพียงของเหลวสีขาวที่กะปริดกะปรอยลงจากฟ้า
“อาอา” ฉินจิ่วเกอพูดอู้อี้สืบต่อ
ลั่วเฉินกุมศีรษะอย่างจนใจ “เจ้าพูดตามปกติเถอะ”
“น้องรองเอ๋ย ศิษย์พี่บอกต่อเจ้า ในฐานะที่เป็นพระเอก ยามเดินเหินจะต้องเกิดประกายไฟวูบวาบตลอดรายทาง ไม่นานมานี้ข้าเพิ่งได้ของเล่นมาใหม่ เรียกดอกไม้ไฟ เหมาะสมกับเจ้ายิ่ง”
“ถ้าไม่ได้พูดจาไร้สาระเจ้าจะตายหรือยังไง? ” ลั่วเฉินรู้สึกว่าตัวเองใกล้บ้าเต็มที ความสติแตกนี้ ผู้อื่นไม่อาจกระทำแก่มันได้
ฉินจิ่วเกอส่ายหน้าคล้ายไม่ได้รับความเป็นธรรม “เปล่า”
จากนั้นก็บิดมือกระมิดกระเมี้ยนไปมาแล้วเอ่ยว่า “แต่จะรู้สึกอึดอัดยิ่ง”
ตึง!
ครั้งนี้ลั่วเฉินเป็นฝ่ายเอาหัวโหม่งต้นไม้เอง
เดินแล้วก็เดิน บินแล้วก็บิน จากนั้นก็โลดแล่นเดินทางอย่างต่อเนื่อง
ข้ามผ่านภูเขาลำเนาไพร ตัดผ่านปราการธรรมชาติ ลัดเลาะทางเล็กทางน้อย
บางทีอาจเป็นเพราะว่าคลื่นสัตว์อสูรรุกใกล้เข้ามาทุกที จึงทำให้ในเผ่ามนุษย์พลันเกิดความระส่ำระส่ายขึ้น
เหตุสัตว์อสูรบุกในอดีต คือการอาละวาดเข่นฆ่าในพื้นที่หนึ่ง ไม่ได้กระจายตัวเป็นวงกว้าง และเพียงไม่นานก็ถูกสยบ
แต่ครั้งนี้คลื่นสัตว์อสูรแทบจะปะทุไปทั่วผืนทวีปจากการกระตุ้นของพรรคโลหิตนภา ความอำมหิตนี้ทำให้แทบไม่มีที่ใดที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภัยคุกคามในครั้งนี้
แม้แต่สี่พรรคใหญ่ยังรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าศิษย์ที่ส่งออกไปปราบปรามจะมีไม่พอ
ประชากรได้โยกย้ายออกจากตัวเมืองกันหมดสิ้น
ค่ายกลครองเมืองถูกกระตุ้นใช้งาน สรรพาวุธล้วนถูกนำออกมาเตรียมไว้
โลกหล้าที่เงียบสงัด เริ่มเกิดพายุฝนตั้งเค้า รอเพียงวันที่มรสุมร้ายจะกวาดม้วนเข้ามา