เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 192 พลีชีพเพื่อชาติ
“ข้าว่า เจ้าเฉียนหยุนผู้นั้นย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องไม่น้อย ต่างเป็นศิษย์ประตูหายนะ ตัวมันไม่สะดวกลงมือเลยว่าจ้างคนจากภายนอกมา ใช้แผนยืมดาบฆ่าคนบรรลุแผนร้าย”
ในเมื่อยังไงๆ ก็มีคดีกับอีกฝ่ายอยู่แล้ว ฉินจิ่วเกอย่อมไม่ใส่ใจสุมไฟใส่เฉียนหยุนเพิ่มเติม ส่วนซ่งเล่อเองก็กำลังอัศจรรย์ใจกับความสามารถทางสำนวนวาจาของฉินจิ่วเกอ
อาวุโสใหญ่ไม่ชายตามอง ศิษย์ของมันคนนี้มันเลี้ยงมาจนโต บนตัวมันมีขนกี่เส้นมันล้วนล่วงรู้กระจ่าง มองดูหว่างคิ้วของฉินจิ่วเกอเพียงแวบเดียวก็รู้ได้ ความซวยของซ่งเล่อนี้ กว่าครึ่งมันก็คือต้นเหตุ
น้ำใสเกินไปย่อมไม่มีปลา คนเข้มงวดไปไม่มีศิษย์ อาวุโสใหญ่แค่นเสียงเฮอะคำหนึ่ง พูดออกมาเหมือนรอบข้างไม่มีคน “ศิษย์รัก ไปเรียกอาวุโสสี่มา รักษาคนซะ”
ฉินจิ่วเกอใคร่ครวญ ใช่แล้ว อาวุโสสี่คือนักปรุงยาระดับหก บุคคลระดับที่แม้ในเมืองซวนอู่ก็หาไม่ได้ คือสุดยอดนักปรุงยาอันหาตัวจับยาก
ขอเพียงอาวุโสสี่มา ซ่งเล่อที่ถูกรุมสกรัมมาระดับแปดเจ็บร้าวเก้าเจ็บปวด หากคิดคืนสู่สภาพเดิมก็เป็นเพียงเรื่องขี้ปะติ๋ว เสียเวลาเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อเชิญอาวุโสสี่มา ท่านผู้วิเศษกลิ่นกายาอวลโอสถเข้มข้นให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า ตลอดร่างสวมอาภรณ์สีเทาทึม ผมเผ้ารวบไว้หลังศีรษะ มวยผมกลัดไว้ด้วยกิ่งไม้ ดูไปปลอดโปร่งเป็นธรรมชาติ
“นึกว่าเรื่องใหญ่อะไร แค่ยาเม็ดสองเม็ดก็พอแล้ว” อาวุโสสี่เป็นนักปรุงยา เรื่องการรักษาคนช่วยชีวิตย่อมต้องรับฟังมัน
อาวุโสสามโผล่หน้ามาแล้ว มือข้างหนึ่งถือนกกระจอกมาสองตัว อีกข้างหนึ่งกุมด้ามหนังสติ๊กสีเงินยวง “ในเมื่อซ่งเล่อมีวาสนาต่อพรรคหลิงเซียวเรา งั้นค่ายาก็ลดให้สองในสิบแล้วกัน”
อาวุโสใหญ่ส่ายหน้า แต่ก็ไม่ได้ออกปากห้ามปราม เจ้าเด็กนี่ดูๆ ไปแล้วก็น่าจะมีกะตังค์ หากไม่ถือมีดออกมาปาดเชือดเสียหน่อยคงน่าเสียดายยิ่ง
หลังจากกลับมาพรรคได้สองวัน บาดแผลของซ่งเล่อก็ฟื้นฟู พร้อมออกไปเสี่ยงตายได้ทุกเมื่อ เพื่อพิทักษ์เผ่าพันธุ์มนุษย์ มหาสงครามรออยู่เบื้องหน้า มหาลมวายุพายุร้ายกรรโชกใส่ ฉินจิ่วเกอไปร่ำลาต่อศิษย์น้องเล็ก
” ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์พี่จะออกเดินทางแล้ว ในใจแม้ไม่อยากจากลา แต่ว่าเผ่ามนุษย์ไม่สงบ บ้านเราจะสงบได้อย่างไร ศิษย์พี่ไปแล้ว ไปแล้วนะ”
ลมหนาวโบกโบยโชยพลิ้ว ฉินจิ่วเกอยืนอยู่ภายในลำธารน้อยกล่าวคำอำลา ลำธารน้ำลึกเพียงสามชุ่น ภายในยังมีกุ้งหอยปูปลาที่ถูกความเย็นแช่แข็งตาย รอคอยใบไม้ผลิมาเยือน
“ศิษย์พี่ ท่านช่างเสียสละจริงๆ” ศิษย์น้องเล็กสองมือปิดดวงหน้าน้อยๆ ราวไข่ไก่ ภาพของศิษย์พี่ใหญ่ช่างสูงส่งสง่างาม
ฉินจิ่วเกอกอดอก มองดูลำธารน้อยพลิ้วระลอกไหวใต้ฝ่าเท้า ในใจไม่อาจสงบนิ่ง “สุดเวทนาสายธารแห่งโครงกระดูกไร้ฟากฝั่งดั่งเช่นห้องส่วนตัวของอิสตรี หากข้าไปศึกแล้วไปลับ เจ้าก็หาคนดีคนอื่นเถอะ เฮ้อ”
“ศิษย์พี่!” ศิษย์น้องเล็กก้าวข้ามสายธารเย็นเยียบลึกสามชุ่น ก่อกำเนิดระลอกกระเพื่อม โอบร่างฉินจิ่วเกอไว้
“ศิษย์น้อง!” ฉินจิ่วเกอหลั่งน้ำตา สองตาร้อนเร่าเผาเพลิงผลาญ
ทางที่ไกล ซ่งเล่อและลั่วเฉินที่มองดูละครฉากนี้อยู่ ต้องแก้มบิดกระตุกยึกๆ
ซ่งเล่อที่หายดีแล้วยังคงมีรอยถลอกบนใบหน้า ดวงหน้าซูบเรียวยามนี้บวมอืดเล็กน้อย กล้ามเนื้อกระตุกด้วยความเจ็บปวดเป็นพักๆ
ก็แค่ไปต้านทานคลื่นสัตว์อสูร พลรบเผ่ามนุษย์เต็มพิกัด ยังจะกลัวไม่อาจรอดกลับมา? ทำเป็นลาตายไปสงครามโลกไปได้ ใครไม่รู้คงคิดว่าศัตรูตีฝ่ามาถึงหน้าบ้านแล้ว ไร้สาระ!
ซ่งเล่อและลั่วเฉินต่างมองตากันรอบหนึ่ง ต่างก็มองเห็นรสชาติในสายตาของอีกฝ่าย เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
“ศิษย์น้อง ข้าไปแล้ว” ฉินจิ่วเกอทอดตามองไกล ดวงอาทิตย์ลาลับฟ้า สีสันราวโลหิต แผ่กลิ่นอายคละคลุ้งแห่งฟ้าดิน ทั้งหมดทั้งมวลล้วนถมหลั่งเข้าสู่่สายธารา ชัดเจนจนวายุมอดเมฆาม้วน
“ศิษย์พี่ ข้าก็จะไปเมืองซวนอู่!” ตงฟางฉิงอวี่ยังคงหลงเหลือน้ำเสียงราวเด็กทารก สดใสกระจ่างหนักแน่น
“ไม่ได้” ฉินจิ่วเกอสั่นศีรษะมั่นคง “หิมะทึมฝากธงวาด วายุมากสรรพสำเนียงอึกทึก เมืองซวนอู่ยามนี้สับสนอลหม่าน ข้าพาศิษย์พี่ศิษย์น้องทัง้หลายไปก็พอแล้ว เจ้ารออยู่ที่นี่แหละ”
“ข้าไม่ยอม แล้วทำไมศิษย์พี่สี่ไปได้!” ศิษย์น้องเล็กเอ่ยอย่างดื้อรั้น
ฉินจิ่วเกอใคร่ครวญ ไม่กล้ากล่าวตามตรง การเอาตัวเจ้าอ้วนน่าตายไปด้วยย่อมีคุณประโยชน์ในการพลิกฟ้าคว่ำจักรวาล ยกตัวอย่างเช่น เมื่อตนเองต้องเผชิญกับดัก ย่อมสามารถเอาเจ้าอ้วนน่าตายออกมาเป็นโล่ห์กันกระสุน
ทำเช่นนี้จะสามารถป้องกันคนได้หลายคน เมื่อทุกคนฝ่ากับดักออกมาได้ ยังสามารถจำงานรำลึก เชื่อว่าเจ้าอ้วนน่าตายแม้ต้องไปยังแม่น้ำปรโลก ยังจากไปด้วยรอยยิ้ม
หรืออย่างเช่นว่าขณะสองกองกำลังปะทะ สามารถเอาเจ้าอ้วนน่าตายไว้ทัพหน้าเพื่อเป็นขวัญกำลังใจของกองทัพ แถมยังอาจจะขู่ขวัญพวกสัตว์อสูรได้อีกด้วย
เช่นว่าร่างสูงแปดฉื่อเอวกว้างแปดฉื่อ นับว่าหายากยิ่งนัก ถึงยามจำเป็นก็สามารถให้มันปลอมแปลงเป็นสัตว์อสูรได้อีกต่างหาก มีประโยชน์ยิ่ง
” ไม่ได้ ไม่ให้ไป ก็คือไม่ให้ไป” เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ ฉินจิ่วเกอใช้สิทธิ์ขาดของศิษย์พี่ใหญ่
น่าเสียดายไม้นี้ใช้กับศิษย์น้องเล็กไม่ได้ผล หญิงสาวสองมือโอบบ่า ถลึงตากระทืบเท้า แผ่รัศมีนางมารทรราชพรรคหลิงเซียวกวาดออกโดยรอบ
ศักดิ์ศรีกระจิดริดของฉินจิ่วเกอ ในสายตาของศิษย์น้องเล็กก็ไม่ต่างจากไก่ผจญสุนัข
“ไปไม่ได้จริงๆ อันตรายมาก เจ้าอยู่ที่นี่อย่างว่าง่ายเถอะ”
“ข้าไม่ยอม” ตงฟางฉิงอวี่เอ่ยประท้วง “ทุกครั้งที่ท่านออกไป ผู้อื่นต้องวิตกกังวลปานไหน พอหายตัวไปก็หายไปเป็นปีสองปี ครั้งนี้ข้าจะไปจับตาดูท่าน ไม่งั้นท่านก็คงบินหนีไปอีก”
ฉินจิ่วเกอไม่ทราบควรหัวเราะหรือร้องไห้ “ข้าไม่ใช่ว่าว บินอะไรกัน ครั้งนี้ไปสู้รบ ไปเสี่ยงชีวิตกับเหล่าสัตว์อสูรดุร้ายบ้าคลั่ง มีเจ็ดมือแปดหัว น่ากลัวแทบตายแล้ว”
“ศิษย์พี่ ท่านกลัวหรือไม่?” ศิษย์น้องเล็กเงยหน้าขึ้น เผยฟันขาววาววับยามเอ่ยถาม
ฉินจิ่วเกอเคร่งเครียดจริงจัง ยืดอกยกเอว สายตามองดูลำธารน้อยไร้ชีวิตที่เบื้องหน้า “ข้าไม่กลัว คมดาบขาวโลหิตหยาด ไม่ครณาถึงความเป็นตาย”
ศิษย์น้องเล็กชี้นิ้ว เอ่ยปนหัวเราะ “ท่านไม่กลัว แล้วข้าไยต้องกลัว งั้นเอาตามนี้ ข้าไปด้วย”
“ไม่ได้ ใครกล้าปล่อยเจ้าออกไป ข้าจะไม่ให้มันตายดี” ฉินจิ่วเกอเผยสีหน้าชั่วช้าน่าตระหนก
เรื่องราวเยี่ยงการต้านทานภยันตราย เป็นป้อมปราการกำบังลมพายุฝนฟ้าคะนองเทือกนี้ ให้บุรุษน่ะดีแล้ว ฉินจิ่วเกอไม่ยินยอมให้นางในดวงใจของมันต้องมาแบกรับภาระเช่นนี้แม้เพียงส่วนเสี้ยว แต่การเอาหม้อก้นดำนี้สุมใส่ศีรษะของเจ้าอ้วนน่าตายหรือเฉียนหยุน สุภาพบุรุษฉินไม่สนใจ
“ข้ามีปัญญาปกป้องตนเองได้ เก่งกว่าท่านด้วย” ศิษย์น้องเล็กยกชูสองหมัดกวัดแกว่ง เอ่ยอย่างมุ่งมาด
ครานี้กลายเป็นฝั่งฉินจิ่วเกอกอดอกกระทืบเท้าบ้าง “งั้นเรอะ”
ตนเองเป็นพิสุทธิ์ไพศาล เป็นรองเพียงกลั่นดวงธาตุ เพียงสามารถกล่าวได้ว่าสิ่งหลบหนีล้วนไม่มีปัญหา ยิ่งไม่ต้องกล่าวว่ามีพระเอกร่วมทางไปด้วย ประดับด้วยวงแหวนรัศมีบนศีรษะว่าไม่เจ็บไม่ตายอยู่แล้ว
หึ่งงงงง!
คลื่นพลังวิญญาณสายหนึ่งทะลักทลายออก ศิษย์น้องเล็กเผยพลังฝีมือแท้จริงของนางออกมา
ซ่งเล่อที่ไกลออกไปตะลึงจนตาลานแล้ว คนในพรรคหลิงเซียว มีแต่พวกสัตว์ประหลาดหรือไร?
ลั่วเฉินเองก็แตกตื่นตะลึง มันไม่เคยพบพานมา ศิษย์น้องเล็กอายุเพียงเท่านี้ กลับบรรลุพิสุทธิ์ไพศาลแล้ว!
หากกล่าวอย่างเปิดอก ฉินจิ่วเกออายุยี่สิบกว่าปี เรียกได้ว่าแก่แล้ว พลังฝีมือยังอยู่ที่พิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลาง ซ่งเล่อคือขั้นปลาย ลั่วเฉินขั้นสูงสุด เพียงนี้เท่านั้น
แต่ไม่เจอกันสองปี ตงฟางฉิงอวี่จากหลอมวิญญาณก้าวข้ามมาพิสุทธิ์ไพศาล ก่อนหน้านี้ฉินจิ่วเกอเคยคาดเดา ศิษย์น้องเล็กมิใช่ไม่มีพรสวรรค์ เพียงเกียจคร้านการฝึกฝีมือ
นางกังวลว่าตนเองหากคร่ำเคร่งฝึกปรือ ศิษย์พี่ใหญ่ย่อมต้องพบกับความกดดันอันมหาศาล
“เจ้า เจ้าไฉนบรรลุพิสุทธิ์ไพศาลแล้ว?” ฉินจิ่วเกอไม่กล้าเชื่อถือสวรรค์เบื้องบนจริงๆ มันอยากชี้จมูกไต่ถามสวรรค์ ตนเองฝีกมายี่สิบกว่าปี กลับไม่สู้คนอื่นฝึกฝีมืออย่างส่งๆ ไม่กี่ปี อย่างงี้ก็ได้?
“ไม่มีอะไร ก็คือนอนหลับไปตื่นหนึ่ง อยู่ๆ ก็บรรลุด่านเฉยๆ ไม่ได้ตั้งใจ” ศิษย์น้องเล็กโบกมือโบกไม้อย่างไม่ใส่ใจ ท่วงท่าสง่าสูงส่งดั่งหงส์ขาว
ตนเองยามนี้ก็เป็นยอดยุทธ์พิสุทธิ์ไพศาล ศิษย์พี่เองก็ไม่มีเหตุผลรั้งตนเองไว้
“ไม่ได้ตั้งใจ?” ซ่งเล่อแทบตะโกนออกมา
ลั่วเฉินเองก็แปร่งๆ อะไรเรียกว่าจู่ๆ ก็บรรลุแบบไม่ตั้งใจกัน ผีผลักงั้นรึ?
“เอาเถอะ” ฉินจิ่วเกอเถียงไม่ชนะ เกรงว่าหากนางลอบหนีออกไปเอง นั่นจะยิ่งน่ากังวลแล้ว
“หมื่นปีหมื่นปีหมื่นๆ ปี!” ศิษย์น้องเล็กกระโจนด้วยความยินดี โอบบ่าฉินจิ่วเกอเขย่าไปมา
ฉินจิ่วเกอแบกภาระของศิษย์พี่ใหญ่ ต้องอบรมอธิบายอย่างรวบสั้นต่อพลทหารนับล้านของตน ยามนี้ดึงหน้าราวแม่ทัพนายกองผู้รับผิดชอบกองทัพใหญ่ “หากต้องการไปย่อมได้ แต่ต้องฟังคำสั่งข้า”
“แน่นอน แน่นอน”
“แค่กแค่ก หนึ่ง ตอนที่ข้าสั่งบุก เจ้าออกแต่เสียงไม่ออกแรง ห้ามวิ่งแล่นออกไปนำหน้าทัพ สอง ตอนที่ข้าให้เจ้าหนี เจ้าก็ต้องหนี ห้ามหันหลังกลับ สองข้อนี้ มีข้อสงสัยใดหรือไม่?”
ซ่งเล่อเอียงคออ้าปากกว้าง มุมปากยังมีรอยถลอกเหลือ ถามด้วยความเจ็บปวด “ห้ามบุกนำหน้า?”
“ไร้สาระ จระเข้ไม่ห่างจากปากบ่อบึง แม่ทัพยากหลีกเลี่ยงการนำทัพ หากคิดออมรั้งกำลังไว้ แน่นอนว่าย่อมทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น มิใช่ นี่เรียกว่าล่าถอยเพื่อตีกลับ”
ลั่วเฉินทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว เอ่ยเสียงเย็น “สรุปง่ายๆ ตอนลงมือให้ทำตัวไม่สะดุดตา ตอนหลบหนีต้องหนีหน้าให้ว่องไว ยามลงมือก็ลงมืออย่างอาจหาญ กลับคืนสู่บ้านค่อยอวดบารมี”
“สมกับเป็นตัวเอก ช่างเข้าลึกถึงแก่นแกน สรุปจบครบตรงประเด็น ประเสริฐ พวกเราก็ใช้มาตรการนี้ในการต่อสู้เถอะ” ฉินจิ่วเกอเบิกบานสราญใจ พระเอกก็คือพระเอก หัวไวจริงๆ
ซ่งเล่อเก็บรอยยิ้ม เดินเข้ามาหาศิษย์น้องเล็ก “วุ่นวายเกินไป ข้าทำไม่ได้ พวกเจ้าไปจัดแจงรบราวางกลยุทธ์ตีโต้อะไรกันไปเถอะ พวกเราจะดิ้นรนต่อสู้เพื่อบ้านเกิดเมืองนอนเอง”
ศิษย์น้องเล็กผงกศีรษะ “ศิษย์พี่ เกิดเป็นคนต้องยึดมั่นคุณธรรมความดีงาม ท่านทำแบบนี้ไม่ถูก”
ฉินจิ่วเกอตะลึง หรี่ตาลงชั่วขณะ เดินมาถึงข้างกายลั่วเฉิน “ศิษย์น้องรอง เจ้าว่า ความคิดของเจ้าและข้า เหมือนกันหรือไม่?”
“บ้านเมืองฟ้าดิน ต้องมีบ้านจึงมีอาณาจักร แน่นอนว่าย่อมต้องพลีชีพเพื่อชาติ” ลั่วเฉินโอบกระบี่หยกยืนต้านทานลมประกาศศักดา
“อืม ข้าล่ะไม่เข้าใจพวกเจ้าจริงๆ” ฉินจิ่วเกอยืนหยัด สองมือวางราบกับสายรัดเอว “ชีวิตนี้มันไร้ค่าปานนั้น?”
“นี่เป็นสงครามพิทักษ์ชาติบ้านเมือง ไม่ว่าใครก็พร้อมยอมสละชีพ ไหนเลยจะใช้เงินทองมาวัดได้?” ซ่งเล่อขมวดคิ้ว
ความคิดของเจ้าหมอนี่ แตกต่างจากความคิดของมันมากมายเกินไปแล้ว!ที่ยังไม่เอามีดมาแทงมันสักแผลก็นับว่าเมตตาปรานีดั่งวารีไหลแล้ว
ฉินจิ่วเกอเอ่ยเสียงหม่น “พวกเจ้าลองคิดดู คนที่ทำให้เกิดคลื่นสัตว์อสูร เมื่อทุกอย่างจบสิ้นลง ยังมิใช่การสร้างบาดแผลลึกแห่งสงครามห้ำหั่นกันของมนุษย์อสูร ก่อร่างสร้างเงาแค้นที่ยิ่งลึกล้ำยิ่งรุนแรง ครั้งนี้มิใช่การศึกผดุงชาติบ้านเมืองผดุงคุณธรรม ทั้งหมดล้วนเป็นความเห็นแก่ตัวที่คนกลุ่มหนึ่งสร้างขึ้น”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ต้องรับกรรมที่ก่อ ย่อมต้องเป็นพ่อค้าทุนเหล่านั้น ก่อกวนจนพวกเราทั้งหลายต้องเสี่ยงตายเพื่อพวกมัน? การศึกนี้เมื่อไม่เพื่อคุณธรรม ไม่เพื่อความยุติธรรม ย่อมไม่อาจเรียกเป็นสงครามพิทักษ์ชาติได้”