เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 198 งานประชุมกลางวิกฤติ
อันหยางรีบส่ายหน้า มันเป็นคนถือศักดิ์ศรี นี่ นี่ไม่อาจยอมรับได้เด็ดขาด เป็นความอัปยศใหญ่หลวง
“เป็นเพราะมันทั้งนั้น!” อันหยางชี้นิ้วไปทางฉินจิ่วเกอ ตัวอัปมงคลแห่งทวีปฉงหลิงแท้ๆ
ซ่งเล่อผงกศีรษะหงึกหงักเห็นพ้อง ในใจสับสนซับซ้อน คิดออกหน้าไปแทงใส่มันสักแปดสิบแผล แต่อีกฝ่ายกลับถูกคนล้อมไว้
นอกจากอันติงหลัน ศิษย์น้องเล็กเองก็โผล่มาแล้ว นางยื่นมือออกบิดใบหูฉินจิ่วเกอ ครั้งนี้ค่อยยังชั่ว หนึ่งคนหนึ่งข้าง เท่าเทียมกันดี
“หยาหยาหยา พวกเจ้าทำอะไร” ฉินจิ่วเกอถูกดึงจนหูยาน ดวงหน้ายามนี้ยับเยินยู่ยี่เหมือนรูปปั้นศิลปะแอ็บสแตร็กยังไงยังงั้น
ฝูงชนต่างชี้นิ้วขึ้น ลั่นปากโดยพร้อมเพรียง “กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมสนอง!”
“ศิษย์น้อง ศิษย์น้องช่วยข้าด้วย!” ฉินจิ่วเกอร่ำร้องให้พระเอกออกหน้าช่วยเหลือ
พระเอกก็คือพระเอก ดั่งบงกชผุดจากโคลนตมหากไม่เปรอะเปื้อน พิสุทธิ์กระจ่างกลางบึงน้ำ ค่ำคืนนี้เกิดเรื่องวุ่นวายอึกทึก มีเพียงลั่วเฉินที่ยังคงรักษาท่าทีอันสงบนิ่งเยือกเย็น ต่อให้ไฟลุกไหม้ก้นก็ยังคงไม่ทุกข์ร้อน
ลั่วเฉินปรับสีหน้าท่าที ผงกศีรษะแย้มยิ้มอบอุ่น ไม่เอ่ยวาจา ทั้งไม่เคลื่อนไหว
“ผู้แซ่ฉิน เจ้าอธิบายมา ไม่งั้นจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ!” ทั้งคู่ต่างก็เป็นสุดยอดนางมารแห่งสำนัก ต่างบิดยกใบหูฉินจิ่วเกอ ตะโกนสุดเสียงใส่รูหู
ฉินจิ่วเกอเจ็บปวดจนหน้านิ่วคิ้วขมวด แยกเขี้ยวกล่าว “เรื่องนี้กล่าวไปยืดยาวยิ่ง พวกเจ้าทั้งสองปล่อยมือก่อน”
“ไม่ได้!” สองสาวหนึ่งซ้ายหนึ่งขวาตะเบ็งเสียงใส่ใบหูฉินจิ่วเกอต่อไป
*********************************
แม่น้ำขุนเขาสลักเสลาตระการ วีรชนพกพาความห้าวหาญ ดาบโค้งแต้มเงาจันทร์ ถามไถ่ผู้ใดทระนง
เมื่อฟ้าสางสว่าง เมืองซวนอู่ก็กลับคืนสู่ความสงบ ในฐานะผู้ดูแลเมือง อาวุโสมู่หยวนเรียกประชุมอย่างเร่งด่วน เมื่อคืนหากมิใช่เพราะเหตุประจวบเหมาะบางประการ ยังคงไม่อาจทราบว่าพรรคโลหิตนภาส่งคนลอบเข้ามาในเมือง
เดิมทีคิดว่าจะเป็นเหตุการณ์คลื่นสัตว์อสูรสะท้านฟ้าอันเล็กน้อย ผู้ฝึกวิชาปีศาจย่อมไม่กล้าเปิดเผยตัว ตอนนี้ดูๆ แล้ว พวกมันคงวาดฝันจนเกินไป พรรคโลหิตนภาคิดหยิบยืมเหตุการณ์คลื่นสัตว์อสูรปะทุนี้เพื่อกวาดล้างเมือง
แม้จะประหารเจ้าคนร่างสูงนี้ไปแล้ว ทว่าเป้าหมายของพรรคโลหิตนภากลับมิได้ลดทอนลง มวลคลื่นสัตว์อสูรครานี้ย่อมต้องมืดฟ้ามัวดินเกินจินตนาการ
เผ่ามนุษย์ ตั้งอยู่ทางใต้สุดของทวีปฉงหลิง มหาทวีปแห่งนี้มีรูปลักษณ์ดั่งจันทร์เสี้ยว ทางเหนือคือทุ่งร้างไร้ของเผ่าอสูร ทางตะวันตกคือป่าลี้ลับแห่งเผ่ามาร ทางใต้ คือผืนที่ราบของเผ่ามนุษย์
และเมืองซวนอู่อันกระจิดริดนี้ ก็คือสถานที่ใต้สุดแห่งผืนดินรกร้างของเผ่ามนุษย์ อาณาเขตยังไม่ถูกบุกร้างถางพง ทรัพยากรขาดแคลนจำกัด ถือว่าไม่ใช่สถานที่ใหญ่โตอันใด
กำลังป้องกันเมืองซวนอู่มีจำกัดยิ่ง นอกจากมู่หยวนจากประตูหายนะแล้ว ยังมีกลั่นดวงธาตุอีกสองจากสมาคมนักปรุงยาและสมาคมนักจัดวางค่ายกล เมื่อรวมกับอันหยางจากหุบเขาเพลิงราชันแล้ว ก็มีแค่สี่คนเท่านั้น
หากคิดคำนวณเพียงระดับขั้นพลังแล้ว มู่หยวนอยู่ดวงธาตุทองคำขั้นห้า ถือว่าระดับสูงสุดในทั้งหมด เป็นศูนย์กลางของเมืองประชากรนับแสนนี้
เมื่อเปิดประชุม นอกจากกลั่นดวงธาตุทั้งสี่ ยังมีตระกูลและขุมกำลังต่างๆ ในเมือง เช่น ตระกูลม่อที่ฉินจิ่วเกอเคยจัดการ ม่อฉวนซัวเมื่อมองเห็นฉินจิ่วเกอมือไม้ต้องสั่นกระตุกด้วยความแตกตื่นตระหนก
ตามหลักการแล้ว ด้วยระดับการประชุมอันสูงส่งเช่นนี้ ฉินจิ่วเกอยังไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วม แต่ที่ไม่อาจต้านทานก็คือพลพรรคหลิงเซียวของอีกฝ่าย อาวุโสมู่หยวนคาดคำนวณว่าหากต้องขอความช่วยเหลือจากทางนั้น อย่างไรก็ต้องเชื้อเชิญคนของทางนั้นมาด้วย
ภายในที่ประชุม ห้องประชุมกว้างขวางยามนี้แคบไปถนัด ยังมีตัวแทนผู้ฝึกตนอิสระในเมืองซวนอู่ ศิษย์สายตรงประตูหายนะและพรรคจอกประกายสิทธิ์ รวมๆ แล้วร่วมร้อย ล้วนแล้วแต่เป็นยอดยุทธ์พิสุทธิ์ไพศาล
เฉียนหยุนปรากฏตัวออกมาท่ามกลางวงล้อมพิสุทธิ์ไพศาลด้วยท่วงท่าอันสูงศักดิ์ กำลังจ้องเขม็งมาทางฉินจิ่วเกอด้วยความอาฆาต
ฉินจิ่วเกอทางซ้ายคือซ่งเล่อที่ยังเต็มไปด้วยรอยแผล ทางขวาคือศิษย์น้องรองที่สง่างามราวหยกต้านลม
ลั่วเฉินเมื่อเห็นสายตาผีร้ายอันชั่วช้าเพ่งเล็งมาทางตนไม่วางตา ต้องอดแปลกใจมิได้ เอ่ยกระซิบถาม “หมอนั่นใคร มีคดีอะไรกับเจ้า?”
ฉินจิ่วเกอยืดอก เอ่ยอย่างโอ่อ่า “คดีอะไรกัน ก็แค่ข้ากับพี่เฉียนมีความเข้าใจผิดระหว่างกันเล็กน้อย ยิ่งเมื่อรวมกับที่ข้าหล่อกว่ามันนิดหน่อย มันจึงบังเกิดไฟริษยา เป็นที่น่าเข้าใจได้”
การประชุมสงบราบรื่น เรื่องราวเกี่ยวพันถึงความเป็นตายของคนนับแสนในกำแพงเมือง รวมถึงทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี้ ไม่มีใครกล้าปล่อยปละละเลย ต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังอึมครึม เม้มปากปิดตาครุ่นคิดใคร่ครวญ
วาจาของฉินจิ่วเกอไม่เบาไม่ดัง ชอนไชเข้าสู่รูหูของผู้คนในที่นั้น หลายคนอมยิ้มมุมปากจนคนข้างๆ ต้องกระทุ้งหลายเที่ยว
เฉียนหยุนยามนี้เพียงอยู่ชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด แต่พี่ชายของมันเป็นคนใหญ่คนโตของประตูหายนะ ฉินจิ่วเกอกล้าสัพยอกอีกฝ่าย คนอื่นๆ แม้ไม่กล้าหัวเราะออกมา แต่ก็ต้องทำเป็นเบือนหน้าไปด้านข้าง ทำท่าไม่ได้ยินได้เห็น
เฉียนหยุนฟึดฟัดแล่นถลามาหาเรื่อง ยกสองมือประกบด้านหน้า “เด็กน้อย พวกเราพบกันอีกแล้ว”
“อ้อ ที่แท้คุณชายเฉียน ยินดียินดี ฟังว่าเร็วๆ นี้เพิ่งถูกพิพากษาลงทัณฑ์โดยตึกลงทัณฑ์มา ไม่เป็นไรกระมัง?” ฉินจิ่วเกอแกล้งถาม ตัวมันนับว่าเป็นดาวข่มของอีกฝ่าย ทำร้ายมันสาหัสไม่น้อย
เฉียนหยุนคิ้วกระตุก ขนหัวลุกชี้ชัน สืบเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ทางด้านหลังบรรดาศิษย์สายตรงทั้งหลายต่างก็ยืนกลั้นหัวเราะสุดความสามารถ ล้วนพร้อมขับเน้นเฉียนหยุนให้โดดเด่น ปัดเสื้อจัดแจงผ้าแก่มัน
“เด็กน้อย ข้าแค่มาหาซ่งเล่อเพื่อเล่นสนุก หากเจ้าต้องการ ก็สามารถมาติดตามข้า ข้าจะรับประกันความปลอดภัยยามเผชิญคลื่นสัตว์อสูรแก่เจ้า”
ซ่งเล่อพลันใบหน้าเกร็งเขม็ง มันรู้ดีว่าเฉียนหยุนเมื่อมาถึงที่นี่ย่อมมีวัตถุประสงค์ ในเมื่อมันไม่ใช่คนเคารพกติกา เหตุการณ์คลื่นสัตว์อสูรนี้ คงไม่ผ่านไปง่ายดายขนาดนั้น
“จริงหรือ?” ฉินจิ่วเกอทำท่าตระหนกตื่นเต้น ตนเองคือคนที่แปะติดก้นของตัวเอก อีกฝ่ายกลับคิดหาเรื่องมัน
เมื่อมองดูศิษย์น้องรอง ประกายตาราวสายฟ้าฟาด เพ่งเขม็งไปยังพลพรรคด้านหลังของเฉียนหยุน ไม่มีกลั่นดวงธาตุ ก็ไม่มีอันใดต้องหวาดกลัว คนพวกนั้นคล้ายบังเกิดความคร้ามเกรงเล็กน้อย ไม่ได้แสดงท่าทีจองหองอวดโอ่ออกมา
“แน่นอนว่าเป็นความจริง” เฉียนหยุนมั่นใจเต็มเปี่ยม นับแต่เล็กจนโต ยังไม่เคยมีใครกล้าต่อต้านมันมาก่อน
“งั้นข้าขายซ่งเล่อทิ้งเลยแล้วกัน เจ้าจะให้ข้ากี่ศิลาวิญญาณ?” ฉินจิ่วเกอมองดูเฉียนหยุนด้วยแววตาเปี่ยมความหวัง ต่อหน้าต่อตาซ่งเล่อ
“หา?”
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายกล่าววาจา เฉียนหยุนต้องทำหน้ากระอักกระอ่วน คว้าจับชายผ้าด้านหน้าของตนไว้
เรื่องที่มันคิดเล่นงานซ่งเล่อ แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องแปลกปลอม แต่นั่นย่อมไม่อาจพูดออกมาต่อหน้าธารกำนัล พรรคโลหิตนภากร่างแค่ไหน ก็ยังไม่โง่ขนาดป่าวประกาศสรรเสริญวิชาปีศาจของพวกมันกลางถนน
เรื่องแบบนี้ ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องสง่าผ่าเผยเท่าใด มีแต่ต้องลอบหารือเป็นการลับ อีกฝ่ายกลับพูดออกมาหน้าตาเฉย
“ที่แท้ก็ไม่กล้าควักกระเป๋านี่นา” ฉินจิ่วเกอใช้สายตาผิดหวังมองไปทางเฉียนหยุน เจ้าหมอนี่เป็นเช่นสุนัขเห่าไม่กัด ไม่อาจทำอันใดได้
หน้าแดงเถือกของซ่งเล่อมองดูฉินจิ่วเกอ ด้วยระดับของคนเช่นฉินจิ่วเกอแล้ว ซ่งเล่อไม่แปลกใจเลย มันต้องขายตนเองออกได้แน่นอน
ทางด้านหลังของมันยังมีลูกสมุนมากมาย เฉียนหยุนตะลึงค้างไปชั่วครู่ จากนั้นเพื่อไม่ให้เสียหน้า ต้องเอ่ยออกมา “แสนศิลาวิญญาณระดับต่ำ”
“แค่เนี้ย? ไม่มีประโยชน์” ฉินจิ่วเกอส่ายหน้า น้ำใจระหว่างมันและซ่งเล่อ ลึกล้ำดั่งมหานทีหนักแน่นราวบรรพต แสนศิลาวิญญาณระดับต่ำ ไม่มีความหมาย
“งั้น สี่แสน?” เฉียนหยุนแยกเขี้ยว ทำเป็นกล้าหาญด้วยความละอาย
ทางที่ไกลออกไป ตระกูลม่อได้ยินฉินจิ่วเกอและเฉียนหยุนสนทนากันโดยไม่ตั้งใจ ต้องหัวเราะพลางสั่นศีรษะ เจ้าคนแซ่เฉียนความจำเสื่อม คงต้องถูกหลอกลวงแล้ว
ฉินจิ่วเกอกระทุ้งศอกใส่ซ่งเล่อ “ซ่งเล่อ เจ้าว่ามา กี่ศิลาวิญญาณดี”
ซ่งเล่อเอ่ยอย่างจริงจัง “ห้าล้าน”
“แบบนี้มันปล้นกันชัดๆ” เฉียนหยุนโมโหโกรธา บัดซบ เจ้าก็แค่พิสุทธิ์ไพศาลขั้นปลาย จะแพงปานนั้นหรือยังไง
ฉินจิ่วเกองัดทักษะพ่อค้าออกมา “ที่จริง สองล้านก็พอคุยกันได้นะ”
“ได้ สองล้าน” ความปรารถนาประหารฆ่าซ่งเล่อในใจของเฉียนหยุนยิ่งทบทวี สามารถซื้อตัวสหายของมันมาต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ ไม่ต่างจากการหักหน้าอีกฝ่ายอย่างยับเยิน
“พี่เฉียนปราดเปรื่อง!” เมื่อเห็นเฉียนหยุนควักแหวนมิติออกมาเสียงของฉินจิ่วเกอยิ่งดังขึ้นอีกช่วงตัว
เฉียนหยุนสะดุ้งเฮือก มันเป็นพวกไม่เคยเผชิญโลก กระสอบทรายยังไงก็เป็นกระสอบทราย เห็นเรื่องกระจอกก็นึกว่าเรื่องใหญ่ ดวงหน้าชั่วร้ายของฉินจิ่วเกอสำรวจตรวจสอบไปที่นิ้ว ยื่นมือออกแย่งศิลาวิญญาณมาจากเฉียนหยุน
“ทุกท่านจงฟัง ศิษย์สายตรงของประตูหายนะเฉียนหยุน เห็นว่ามหันตภัยคลื่นสัตว์อสูรคืบใกล้ เมืองซวนอู่นี้สิ่งของไม่เพียงพอ จึงเตรียมศิลาวิญญาณสองล้านเป็นการเฉพาะมาแจกต่อทุกท่าน หวังว่าทุกท่านจะรวมใจเป็นหนึ่ง ปกป้องเผ่ามนุษย์พิทักษ์ผืนแผ่นดิน”
“เอ๋?” เฉียนหยุนปากอ้าค้าง ภาพพจน์ของมันพลันแปรเปลี่ยนเป็นสูงส่งเลิศล้ำในพริบตา แทบกลายเป็นมังกรในมวลมนุษย์
แต่นี่ไม่เหมือนที่ตกลงกัน ไม่ใช่บอกว่าจ่ายสองล้านแล้วเจ้าคนแซ่ฉินจะช่วยตนเองสังหารซ่งเล่อหรือ ไฉนพอเอ่ยปากออกมาไม่กี่คำ ก็กลายเป็นสินทรัพย์ทางการทหารไปได้?
“เอ๋?”
ที่อ้าปากค้างเติ่งด้วยคน ยังมีซ่งเล่อและคนรอบๆ แต่ว่าเมื่อมีศิลาวิญญาณในมือ เชื่อว่าย่อมไม่มีใครคัดค้าน ดังนั้นต่างเงยหน้าร่ำร้อง สรรเสริญบูชาคุณธรรมน้ำใจของศิษย์ประตูหายนะแซ่เฉียนกันโดยพร้อมเพรียง
“ทุกท่าน ทุกท่านฟังข้ากล่าว ไม่ใช่แบบนี้!” ท่ามกลางเสียงของฝูงชน เฉียนหยุนมีวาจาไม่อาจกล่าวออกไป สองตาหดลีบเท่ารูเข็ม คิดระเบิดอารมณ์ออกมา
ขณะที่มันกำลังจะออกคำสั่งบรรดาผู้ติดตามให้ลงไม้ลงมือ พลันได้ยินเสียงของหญิงสาวลอยมา น้ำเสียงฮึกเหิมดุดัน “โว้ว เสี่ยวหยุน ไม่คิดว่าเจ้าจะใจกว้างปานนี้ ไม่เลวเลย”
โทสะในดวงตาของมันพลันเลือนลับ จ้องมองดูสีหน้ายิ้มไม่เชิงยิ้มของฉินจิ่วเกอและซ่งเล่อ ต้องสะกดระงับความอยากลงมือไป
อันติงหลันเดินออกมาจากฝูงชน ตลอดรายทาง ผู้คนทั้งหลายล้วนต่างหลีกทางให้ ราวกับฝูงตั๊กแตนอพยพแหวกฟ้าดินออกเป็นสองทาง
“ที่แท้ ที่แท้คือศิษย์พี่หญิงอัน”
เฉียนหยุนสะกดอารมณ์ ดึงเอามารยาทธรรมเนียมออกมาปฏิบัติ
จนปัญญา ชื่อเสียงของอันติงหลันในหุบเขาเพลิงราชันยังเหนือล้ำกว่าเฉียนหยุนอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบิดาของนาง ก็คือทรราชแซ่อันที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องใช้การใช้กำปั้นนำหน้าเจรจาไว้ทีหลัง
อันติงหลันจิกมองฉินจิ่วเกอ ชายหนุ่มเบือนหน้าไปทางอื่น ทำเป็นไม่เห็น
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของฉินจิ่วเกอ อันติงหลันไม่พอใจ น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเพลิงทะมึน “เสี่ยวหยุน เจ้ามายืนอยู่ที่นี้ทำอะไร ยังไม่รีบไปอีก”
คนรอบข้างพากันลอบหัวเราะ เสี่ยวหยุน* (หยุนน้อย) ทำไมเรียกหาเช่นนี้ หากเป็นผู้อื่น ต่อให้เป็นระดับกลั่นดวงธาตุยังไม่กล้าเรียกออกมาง่ายดายปานนี้
“ข้า ข้ายืนอยู่ตรงนี้ ยืนคุยกับศิษย์น้องซ่ง” เฉียนหยุนยกอ้างออกมาได้ครึ่งประโยค ตนเองเป็นศิษย์สายตรง ซ่งเล่อเป็นศิษย์ฝ่ายใน ศักดิ์ฐานะยังเหนือกว่าอีกฝ่ายสองขั้น
“พอแล้ว ข้าจะคุยกับมันสักหน่อย เจ้าก็ไปซะ ไม่งั้นท่านย่าจะเอาเจ้ามาลองวิชาใหม่ อัดเจ้าให้กลายเป็นหัวสุกร”
อันติงหลันกล่าววาจาอย่างวางก้าม ยกกำปั้นขึ้นชู เฉียนหยุนพลันเปลี่ยนเป็นหน้าเผือดขาว ชัดเจนว่าเคยโดนมาแล้ว