เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 2 ดีกะผีสินะ
ทันทีที่วาจานี้ดังขึ้น อย่างน้อยเทียบกับ ‘ศิษย์พี่ใหญ่ตกถังถ่าย’ ของหนิวว่านซานแล้วยังทรงอานุภาพกว่ากันนัก
เพียงชั่วพริบตาเดียว ไม่ทราบผุดโผล่มาจากซอกหลืบไหน เงาร่างจำนวนหลายสิบสายพลันมุ่งหน้ามาที่หลุมถ่ายจากทั่วสี่ทิศแปดทาง
“กลางค่ำกลางคืนแม่นางบ้านไหนถึงกับกล้าเปลือยกายวิ่งล้อลมเช่นนี้ ช่างไร้ยางอายจริงๆ”
“ศิษย์พี่พูดได้ถูกต้อง ข้าเองก็ได้แต่ปิดประสาทการมองเห็นแล้ว”
หากตาของมันแท้จริงกลับเบิกกว้างยิ่งกว่าตาวัว ทั้งยังสอดส่ายไปรอบทิศ
ฉินจิ่วเกอพอได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากด้านนอก ก็รู้ว่าคืนนี้ตนรอดแล้ว
ช่างเลอเลิศเสียจริง พรรคหลิงเซียวนี่ที่แท้หาได้มีผู้ถือคุณธรรมไม่
ฉินจิ่วเกอทันทีที่ถูกลากขึ้นพ้นกองปฏิกูลก็สลบเหมือนไปในบัดดล
รอจนฉินจิ่วเกอได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง จึงพบว่าตนกำลังนอนอยู่บนเตียง ภายในห้องสามารถสัมผัสถึงกลิ่นกล้วยไม้หอมอ่อนๆ ได้จางๆ
แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านรูบนบานหน้าต่างเข้ามาบ่งบอกว่าเป็นเวลาบ่ายคล้อยของวันต่อมาแล้ว
ตะวันตกคล้อย ขุนเขาสวย แมกไม้บุปผาโชยกลิ่นหอมมาตามลม
เวลาล่วงเลยมาป่านนี้ ภายในพรรคคงไม่แคล้วจับเข่าคุยกันถึงเรื่องหลุมถ่ายเมื่อเย็นวาน
“เจ้าว่าศิษย์พี่ใหญ่เข้าตาจนถึงเพียงนั้นเชียวหรือ หากต้องการจบชีวิตตัวเอง จะผูกคอปาดคอหอยตัวเองล้วนกระทำได้ ไฉนต้องเลือกหลุมถ่ายด้วย ต่อให้ไม่มีทางเลือกจริงๆ อย่างน้อยก็ควรเลือกที่ไกลหูไกลตาผู้คนหน่อย”
“ใครว่าไม่ใช่เล่า เท่าที่ข้าดู ศิษย์พี่ใหญ่คงรับแรงกดดันไม่ไหว ไม่แน่อาจถึงขั้นสติฟั่นเฟือนไปแล้ว”
“รับแรงกดดันไม่ไหวอันใด วันๆ มีแต่จะฉกฉวยทรัพยากรของพวกเราไปใช้เอง วางอำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงผู้คน ไหนเลยจะมีแรงกดดันอย่างที่เจ้าว่า”
“เจ้าไม่รู้ ศิษย์พี่รองของเรามีปัญหาขัดแย้งกับศิษย์พี่ใหญ่อยู่ ทั้งสองคนคอยแต่จะชิงดีชิงเด่นหมายจะคว้าตำแหน่งศิษย์เอกประจำพรรคไปครองให้ได้ ศิษย์พี่รองนั้นเป็นยอดอัจฉริยะประจำพรรค ได้ยินว่ายามออกไปพเนจรได้บรรลุขอบเขตปราณสุริยันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
“ขอบเขตปราณสุริยัน? สวรรค์ มิน่าเล่าศิษย์พี่ใหญ่ถึงต้องรีบร้อนฝึกตนจนธาตุไฟแตก แต่จนแล้วจนรอดก็ยังอยู่แค่ขอบเขตหลอมวิญญาณขั้นเก้า รอจนศิษย์พี่รองกลับมาเถอะ มันคงม้วนตัวลงจากตำแหน่งแทบไม่ทัน”
“ก็ใช่น่ะสิ รอจนศิษย์พี่รองได้เลื่อนฐานะเป็นศิษย์พี่ใหญ่เมื่อไหร่ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องทรัพยากรอีกแล้ว”
“ข้าตั้งตาคอยวันที่ศิษย์พี่รองจะกลับมาไม่ไหวแล้ว คงได้ฉลองกันรอบใหญ่แน่!”
ทวีปฉงหลิงก็เป็นเพียงดินแดนที่เกิดขึ้นและดับไปท่ามกลางโลกหล้าเป็นหมื่นเป็นล้าน เปรียบดั่งขนนกที่ลอยตัวอยู่ตามอากาศ ใครจะทราบว่ามีจำนวนกี่มากน้อย
ดินแดนที่ทอแสงเพียงชั่วคราวและดับไปเหล่านี้ ในสายตาของเทพเซียนก็คือโลกิยะ
การฝึกตนเป็นเซียนของโลกิยะนั้นมีด้วยกันทั้งหมดเจ็ดขอบเขตใหญ่ แบ่งออกเป็น ขอบเขตหลอมวิญญาณ ขอบเขตปราณสุริยัน ขอบเขตวิสุทธิ์ไพศาล ขอบเขตกลั่นดวงธาตุ ขอบเขตแหวกชำระกายา ขอบเขตกฏสรรพสิ่ง และขอบเขตสุญญตา
ในฐานะศิษย์พี่ใหญ่พรรคหลิงเซียว เจ้าของร่างคนก่อนของฉินจิ่วเกอเพียงบรรลุขอบเขตหลอมวิญญาณเท่านั้น
ส่วนศิษย์พี่รองที่หมายจะแย่งชิงตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่อยู่นั้น กลับเป็นถึงยอดฝีมือขั้นปราณสุริยัน
ไม่แปลกที่มันจะบำเพ็ญตบะจนธาตุไฟเข้าแทรก ไม่ว่าใครหากมีคนหมายจะยึดครองของของท่านประหนึ่งพยัคฆ์เฝ้าตะครุบเหยื่อก็ล้วนแล้วแต่ต้องฝึกตนจนมีอันเป็นไปกันทั้งนั้น
ฉินจิ่วเกอที่ยังนอนเอกเขนกอยู่บนเตียงเริ่มใคร่ครวญถึงชีวิตในภายภาคหน้า
ดูเหมือนว่ามันจะถูกคนภายในพรรคชังหน้าอยู่มาก ด้วยความสัมพันธ์ทำนองนี้ อย่าว่าแต่นั่งรอความตาย แค่คิดจะใช้ชีวิตเยี่ยงคนธรรมดายังทำได้ยาก
วันที่สองนับแต่พลัดตกลงหลุมถ่าย ฉินจิ่วเกอที่นั่งๆ นอนๆ อยู่บนเตียงท้ายที่สุดก็มีแขกคนแรกมาเยี่ยมเยือน
และแน่นอนว่าจะเป็นคนสุดท้ายด้วยเช่นกัน เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีใครสนใจศิษย์พี่ใหญ่ที่แม้แต่มารดาของมารดายังไม่เหลียวผู้นี้อยู่แล้ว
ผู้มาคือศิษย์น้องสามที่เป็นศิษย์สายในเหมือนกัน นามหรงเคอเคอ ยังมีศิษย์น้องสี่หนิวว่านซาน หรือก็คือตัวการที่ทำให้ฉินจิ่วเกอต้องลงไปแหวกว่ายอยู่ในหลุมถ่ายนั่นเอง
“มาๆ นั่งก่อน คิดว่าเป็นบ้านของพวกเจ้าก็แล้วกัน” ฉินจิ่วเกอโบกไม้โบกมือเรียกแขกอย่างเป็นกันเอง
หนิวว่านซานก้าวเข้ามาก่อน ดูจากนิ้วมืออ้วนป้อมที่อยู่ไม่สุขแล้ว แสดงให้เห็นว่ามันรู้สึกกระดากอายต่อศิษย์พี่ใหญ่เพียงไร
พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เอาเรื่องตน ใบหน้าของเจ้าอ้วนน่าตายพลันระบายออกเป็นรอยยิ้มสดใส ก่อนจะขมีขมันใช้แขนเสื้อเช็ดถูเก้าอี้จนสะอาดเอี่ยมแล้วหันไปทางศิษย์พี่สาม
“เคอเคอ รีบนั่งก่อน” เจ้าอ้วนน่าตายพยายามเค้นสมองหาวิธีเข้าหาศิษย์พี่สามหรงเคอเคอ เพียงแต่จากมุมมองของฉินจิ่วเกอ ดูเหมือนหรงเคอเคอจะไม่แยแสหนิวว่านซานเลยแม้แต่น้อย
แม้แต่กับตนที่เป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ หรงเคอเคอยังไม่แม้แต่จะปิดบังความรู้สึกบนใบหน้า แล้วมีหรือจะเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเจ้าสุกรในร่างคนอย่างหนิวว่านซาน
ฉินจิ่วเกอลอบบอกกับตัวเองในใจ: ดูจากสีหน้าของนางแล้ว ภาพของตนที่นางวาดไว้ในใจย่อมย่ำแย่เกินจินตนาการ ที่มาเยี่ยมคราวนี้ เห็นทีจะทำไปตามธรรมเนียมเท่านั้น เจ้าของร่างคนก่อนที่แท้ไปก่อวีรกรรมใดเอาไว้กันแน่ ถึงได้มีแต่คนตีตัวออกห่างเช่นนี้
หรงเคอเคอรูปโฉมงดงาม เกศายาวจรดบั้นเอวให้ความรู้สึกอ่อนโยนเปี่ยมเสน่ห์
หากบนใบหน้ากลับมีแต่เค้าความเย็นชาดุจน้ำแข็ง แม้จะยอมนั่งลงแล้วหากใบหน้าก็ยังตึงเปรี๊ยะไม่คลาย นางชิงชังหนิวว่านซานที่เอาแต่เกี้ยวพาราสีนาง แต่ชิงชังยิ่งกว่าคือฉินจิ่วเกอที่กำลังนอนเอกเขนกอยู่บนเตียง
ฉินจิ่วเกอยามนี้ได้แต่น้ำตาตกใน รู้สึกไม่เป็นธรรมหากก็ไม่อาจแก้ต่างให้กับตัวเอง แท้จริงข้าเป็นคนจิตใจงามเจ้าทราบหรือไม่
“เคอเคอ เจ้าอยากดื่มชาหน่อยหรือไม่” เจ้าอ้วนน่าตายทำตาเจ้าชู้ มองดูคล้ายลูกชิ้นเนื้อขึ้นมา
“เรียกข้าศิษย์พี่หญิง!” สีหน้าของหรงเคอเคอเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดในบัดดล นัยน์ตาที่ถลึงมองมาทำให้เจ้าอ้วนน่าตายหวาดกลัวแทบลมจับ รีบละล่ำละลักกล่าวคำ “ศิษย์พี่หญิง”
“ว่าง่ายอย่างนี้สิ” หรงเคอเคอตบบ่าเจ้าอ้วนน่าตายจนผิวหนังกระเพื่อมเป็นชั้นๆ
เห็นคนทั้งสองไม่เห็นตนอยู่ในสายตา ฉินจิ่วเกอก็ได้แต่สลดหดหู่
ดูเหมือนว่าในสายตาของศิษย์น้องสาม ตนจะไม่น่าพิศมัยเสียยิ่งกว่าเจ้าอ้วนน่าตายนั่นอีก
จะว่าไปศิษย์น้องทั้งสองไฉนถึงไม่มีไหวพริบเอาเสียเลย มาเยี่ยมไข้ข้าทั้งที กลับไม่มีแม้แต่ของขวัญมาให้
จิตใจที่บอบช้ำนอกจากจะไม่ได้การปลอบประโลมใดๆ กลับยิ่งปริแตกชอกช้ำ จวนเจียนจะกระเทาะออกเป็นหลุมยาวหมื่นจั้งอยู่แล้ว
สวรรค์คล้ายตอบรับคำขอของฉินจิ่วเกอ นอกบานประตูไม้เก่าผุ พลันแว่วเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
“ไม่ทราบว่าศิษย์พี่ใหญ่อยู่หรือไม่” เสียงที่ดังลอดบานประตูเข้ามาช่างไพเราะจับใจ ปานประหนึ่งเสียงสกุณาที่ดังลอดผ่านช่องเขา
เจ้าอ้วนวิ่งไปเปิดประตู พอเห็นว่าผู้มาเป็นใคร มันก็รีบหดตัวหลีกทางให้อย่างรู้งาน ฉินจิ่วเกอเห็นดังนั้นก็ฉงนใจ นึกสงสัยว่าใครกันหนอที่สามารถทำให้ศิษย์น้องสี่ต้องหดตัวลีบจนเป็นหนูเช่นนั้น
หากมิใช่เจ้าหนี้ ก็ต้องเป็นหวานใจ ไม่งั้นแล้วเจ้าอ้วนน่าตายไฉนจึงต้องทำตัวนอบน้อมเพียงนั้น แต่นี่ไม่ถูกต้อง เห็นอยู่หมาดๆ ว่าเจ้าอ้วนน่าตายนี่หลงใหลหรงเคอเคอจนหัวปักหัวปำ หรือคิดจะจับปลาสองมือ?
เจ้าสัตว์ร้าย ฉินจิ่วเกอก่นด่าเจ้าอ้วนอยู่ในใจ นัยน์ตามีแต่แววเดียดฉันท์
ผู้มาใหม่มิได้มามือเปล่า หากในมือกลับถือกล่องอาหารเข้ามาด้วย เห็นได้ชัดว่าจงใจนำของขวัญมาเยี่ยมไข้ศิษย์พี่ใหญ่เป็นการเฉพาะ นอกจากจะมีมารยาทรู้จักเคาะประตูบอกกล่าว ยังอุตส่าห์นำของขวัญมาฝาก น้ำเสียงหรือก็ไพเราะหวานหูสุดจะกล่าว
เหมือนพระแม่มาโปรด ฉินจิ่วเกอนัยน์ตารื้นชื้น หางตาเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาแห่งความปลาบปลื้ม
ผู้มาก็คือศิษย์น้องห้า ศิษย์สตรีสายในอีกคนของพรรคหลิงเซียว ตงฟางฉิงอวี่
นอกจากศิษย์พี่รองที่ออกไปโลดแล่นหาประสบการณ์นอกพรรค ศิษย์สายในทุกคนต่างก็มาเยี่ยมเยือนศิษย์พี่ใหญ่ที่เกือบจะได้ไปเยือนปรโลกกันครบแล้ว
ศิษย์น้องเล็กผู้นี้เป็นสาววัยสะพรั่ง อาภรณ์ที่สวมใส่ล้วนขาวสะอาดหมดจด เรือนผมสีดำขลับบนศีรษะมัดเป็นมวยผูกปลายสองด้านให้ความรู้สึกอ่อนวัย
นัยน์ตาสุกสกาวดุจดารา ริมฝีปากบางจิ้มลิ้มชวนให้ใจวาบหวาม ยามยกยิ้มพวงแก้มบุ๋มลงเป็นลักยิ้มน่ารัก
นี่คือดรุณีวัยแรกแย้มไม่ผิดแน่ เจ้าอ้วนน่าตายนั่นต้องจิตใจใฝ่ต่ำขนาดไหน น่ากลัวว่าแม้แต่สัตว์ในฤดูผสมพันธุ์ยังเทียบไม่ติด ถึงขั้นเหยียบเรือสองแคมหมายฮุบโฉมงามน้ำแข็งกับหวานใจข้างบ้านไว้แต่เพียงผู้เดียว
ในใจของฉินจิ่วเกอยามนี้ผุดภาพของเจ้าอ้วนน่าตายขึ้น เป็นภาพของเจ้าอ้วนที่ถูกตรึงไว้กับผนัง พร้อมกับภาพที่มันกำลังถูกทรมานทรกรรมด้วยเข็มแหลมนับหมื่นแสน
ส่วนความประทับใจที่มีต่อศิษย์น้องเล็กนั้น กลับไม่ได้คงอยู่นานนัก
ศิษย์น้องเล็กหลังวางกล่องอาหารลงด้วยกิริยาอ่อนช้อยแล้ว ก็ใช้สองมือน้อยๆ เกาะบริเวณขอบเตียง จากนั้นชะโงกหน้าเข้ามา นัยน์ตาทอประกายวิบวับราวกับเด็กน้อยที่อยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกเรื่อง ก่อนพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านยังไม่ตายอีกหรือ”
“แค่กๆ” ฉินจิ่วเกอสำลักน้ำลายตัวเองอย่างรุนแรง ใบหน้าแดงก่ำ “ยัง ยังไม่ตาย แต่อาจได้ตายเร็วๆ นี้”
เหตุใดข้าพเจ้าถึงรู้สึกว่ากำลังจะมีภัยมาเยือน? ระฆังเตือนภัยในใจฉินจิ่วเกอร้องลั่น เมื่อวานทางมืดทึบผีอาละวาด วันนี้ชะตาดับเข้าปีชง
“ฮ่าฮ่า ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าล้อท่านเล่นหรอก” เสียงหัวเราะของศิษย์น้องเล็กฟังเหมือนเสียงกระดิ่งขับขาน ฉินจิ่วเกอเงยหน้ามอง พบว่าเจ้าอ้วนน่าตายกำลังยืนตัวสั่นงันงกอยู่ ทั้งยังสั่นในระดับที่ไม่เบา
พอสบตากัน ถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังมองตนด้วยแววตาเห็นใจ เสมือนพระโพธิสัตว์ที่กำลังมองดูปุถุชนผู้น่าสงสาร
ดูจากอาการของฝ่ายนั้น เห็นทีจะไม่ใช่พบเห็นสาวงามที่แอบรัก แต่คล้ายกำลังพบเจอเจ้ากรรมนายเวรมากกว่า
“น่าขันจริงๆ” ฉินจิ่วเกอยิ้มอย่างอ่อนแรง รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาในบัดดล ใจอยากล้มตัวลงนอนเต็มแก่
“ศิษย์พี่ใหญ่ท่านคงหิวแล้วกระมัง ลองชิมนี่เร็วเข้า ข้าอุตส่าห์แอบแบ่งไว้ให้ท่านเลยนะ” ศิษย์น้องเล็ก
ชี้ชวน ทุกอากัปกิริยาเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา ฝ่ามือขาวผ่องนวลน้อยหยิบเอาเค้กข้าวออกจากกล่อง เนื้อเค้กที่เนียนนุ่มเห็นแล้วเป็นต้องน้ำลายสอ
ฉินจิ่วเกอเพิ่งจะข้ามมายังโลกใหม่แห่งนี้ได้ไม่นาน ยังไม่มีโอกาสได้รับประทานอาหารของที่นี่มาก่อน
พอได้เห็นเค้กข้าวเนื้อเนียนนุ่มวางแหมะอยู่ตรงหน้า คนก็ได้แต่กลืนน้ำลายเอื๊อกๆ ใจนึกอยากจะพุ่งเข้าไปสวาปามให้รู้แล้วรู้รอด
แต่ขณะจะขยับตัว หางตาพลันเหลือบไปเห็นเจ้าอ้วนน่าตายเข้าก่อน พบว่าอีกฝ่ายยังคงมองตนด้วยแววตาเวทนาจับใจ ฉับพลันขนทั่วร่างเป็นต้องลุกกรูเกรียว
เหมือนจะรับรู้แววตาเปี่ยมแววเวทนาสงสารดั่งพระโพธิสัตว์ของเจ้าอ้วนน่าตาย ศิษย์น้องเล็กพลันหันศีรษะไปทางมันเหมือนนกรู้ ริมฝีปากเผยอเล็กน้อยเผยให้เห็นแนวฟันที่เรียงตัวเป็นระเบียบเหมือนเม็ดมุก ก่อนเอ่ยว่า “ศิษย์พี่สี่ ท่านเองก็อยากทานด้วยหรือ”
“ไม่ๆๆ” เจ้าอ้วนน่าตายส่ายศีรษะวืดหวือจนดูเหมือนกลองป๋องแป๋ง ทั้งสามารถพบเห็นหยาดน้ำที่เริ่มเอ่อคลออยู่ในดวงตา คล้ายกลัวว่าอาจถูกศิษย์น้องเล็กยัดเค้กข้าวใส่ปากตนได้ทุกเมื่อ
ถึงจะดูน่าทาน แต่ความเป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ตรงข้ามมันคือเค้กขาวอาบยาพิษดีๆ นี่เอง โคแก่เคี้ยวหญ้าอ่อนอย่างเจ้าอ้วนน่าตายแค่เห็นก็หวาดกลัวแทบตายแล้ว
ฉินจิ่วเกอมีหรือจะทราบเรื่องเหล่านี้ ซ้ำร้ายยังไม่ระแคะระคายอีกต่างหาก
ศิษย์น้องเล็กอ้าปากพร้อมเอ่ยว่า “อ้าม~ ศิษย์พี่ใหญ่อ้าปากเร็ว ให้ข้าป้อนท่านนะ”
ฉินจิ่วเกอก็บ้าจี้ อ้าปากเสียกว้าง ท่าทางเหมือนตั้งใจจะดื่มด่ำกับสิทธิพิเศษที่มีแต่มันจะได้รับนี้เต็มที่
ขณะที่เค้กข้าวกำลังจะเข้าปากฉินจิ่วเกอนั้น หรงเคอเคอกลับหยุดมือของศิษย์น้องเล็กเอาไว้ก่อน
“ฉิงอวี่ มิอาจก่อเรื่อง” หรงเคอเคอยังคงสีหน้าเย็นชาดุจเดิม ศิษย์น้องเล็กเห็นแล้วก็ได้แต่รามือ
“ผู้อื่นไม่ได้ก่อเรื่องเสียหน่อย เพียงแต่อยากให้ศิษย์พี่ใหญ่หายไวๆ จะได้มาเที่ยวเล่นกับข้า” ตงฟางฉิงอวี่กระพริบตาคล้ายจะไล่น้ำตา นัยน์ตาแดงรื้นเหมือนกำลังตัดพ้อ
หรงเคอเคอพอเห็นว่าศิษย์พี่ใหญ่ยังคงทำหน้าเหรอหราไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ใจก็แทบจะจับอีกฝ่ายทุ่มลงหลุมถ่ายอีกครั้ง“หากเจ้าอยากให้ศิษย์พี่ใหญ่หายไวๆ จริงๆ เช่นนั้นก็อย่าซี้ซั้วเอาอะไรให้มันกิน ไม่รู้หรือว่าต้นเหตุของโรคเริ่มที่ปาก”
พอเห็นว่าแผนของตนถูกมองออก ศิษย์น้องเล็กก็เก็บเค้กลงใส่กล่องตามเดิม ก่อนจะยกกล่องขึ้นแล้วเขวี้ยงไปทางหน้าต่าง
หน้าต่างไม้ผุๆ ที่แต่เดิมก็จวนเจียนจะพังมิพังแหล่ พอถูกแรงกระแทกก็ทานรับไม่ไหว หักสะบั้นลงเป็นเสี่ยงๆ เป็นอันสิ้นสุดหน้าที่ของมัน
“ผู้อื่นไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แค่ใส่ยาถ่ายลงไปไม่กี่ห่อ หวังอยากให้ศิษย์พี่ใหญ่หายเป็นปลิดทิ้งเท่านั้น” ว่าแล้วก็แลบลิ้นอย่างซุกซน น้ำเสียงเหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ คล้ายภูมิใจในความปราดเปรื่องของตน
ฉินจิ่วเกอและเจ้าอ้วนน่าตายที่อยู่ข้างๆ ฟังแล้วกรามแทบหลุดร่วง เกือบจะกัดลิ้นตัวเองตาย
มารดามันเถอะ ยาถ่ายไม่กี่ห่อ แม้แต่เจ้าอ้วนน่าตายคงมิแคล้วกลายเป็นปุ๋ย
มิน่าเล่ามันถึงได้มองข้าด้วยสายตาเยี่ยงนั้น นี่ไม่เท่ากับว่าข้าเพิ่งไปเยือนประตูมรณะมารอบหนึ่งหรอกหรือ?
นึกแล้วก็ได้แต่ส่งสายตาขอบคุณไปทางหรงเคอเคอ แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีท่าทีตอบรับ ตรงข้ามกลับดึงตัวศิษย์น้องเล็กเหมือนอยากจะไปจากที่นี่ให้พ้นๆ
“ไม่น้า ผู้อื่นยังอยากคุยเล่นกับศิษย์พี่ใหญ่อยู่เลย” ศิษย์น้องเล็กโวยวาย ทั้งยังคว้าชายเสื้อของเจ้าอ้วนเอาไว้คล้ายเป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้าย ให้ตายก็ไม่ยอมให้หรงเคอเคอพานางไปเด็ดขาด
คุยเล่นกันต่อ? ไม่แน่ถึงตอนนั้นข้าอาจได้ไปแตะสรวงสวรรค์จริงๆ
ฉินจิ่วเกอลอบประชดอยู่ในใจ ขืนต้องอยู่กับนางมารร้ายนี่ต่อไป ตนไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต ทันใดนั้นก็บังเกิดความคิดขึ้น คนเดียวหัวหาย สองคนร่วมตาย แล้วก็มองไปทางเจ้าอ้วน
เจ้าอ้วนน่าตายผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก พอเห็นสายตาของศิษย์พี่ใหญ่ดูไม่น่าไว้วางใจ มันก็รีบกล่าวเปลี่ยนประเด็นทันที “ศิษย์น้องเล็กเอ๋ย เอาเป็นว่าให้ศิษย์พี่ใหญ่ท่านเล่านิทานให้เจ้าฟังสักเรื่องดีหรือไม่ ขณะรับฟังเจ้าไม่อาจส่งเสียงไม่อาจก่อกวน”
พอเห็นสายตาเมตตาการุณที่เจ้าอ้วนส่งมา ฉินจิ่วเกอก็เข้าใจในบัดดล อีกฝ่ายกำลังบอกกับตนว่า ข้าช่วยท่านได้แต่เพียงเท่านี้
พอทำหน้าที่เสร็จสิ้น เจ้าอ้วนน่าตายก็สะบัดก้นจากไป
แน่นอนว่าก่อนจากย่อมไม่ลืมชักชวนหรงเคอเคอให้ร่วมทางไปด้วยกัน ท่าทางกระมิดกระเมี้ยนของมันยามโน้มน้าวช่างยียวนบาทานัก ปากก็อ้างว่าเราสหายเต๋าควรทุ่มเทจิตใจร่วมฝึกวรยุทธ์ไปด้วยกัน ทำเช่นนี้แล้วจะได้ช่วยชี้แนะข้อบกพร่องของกันและกันได้ก็ว่า
ฉินจิ่วเกอพลันเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า บางทีให้หรงเคอเคอตบแต่งกับเจ้าอ้วนน่าตายก็เป็นความคิดที่ไม่เลว อย่างน้อยนางก็ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องอีกต่อไป
พอเห็นว่าคนทั้งสองกำลังจะทิ้งตนไว้เช่นนี้จริงๆ ฉินจิ่วเกอไหนเลยจะยินยอมพร้อมใจ หากปล่อยตนไว้ตามลำพังกับศิษย์น้องเล็ก มันอาจมีอันเป็นไปได้ทุกเมื่อ แบบนี้ไม่นับว่าไร้ความผิดชอบต่อชีวิตมันไปหน่อยหรือ
คิดแล้วก็ได้แต่หน้านิ่วคิ้วขมวด ฝ่ามือยื่นออกไปคว้าชายเสื้อเจ้าอ้วนเอาไว้โดยอัตโนมัติ
“ช้าก่อน บังเอิญว่าข้ามีนิทานดีๆ อยู่เรื่องหนึ่งพอดี เหมาะแก่ทุกเพศทุกวัย ทุกคนนั่งลงฟังข้าหน่อยดีหรือไม่”
“เป็นนิทานเยี่ยงใดหรือศิษย์พี่?”