เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 20 แย้มยิ้มจากปรโลก
ฉินจิ่วเกอตาห้อเลือด ดูเหมือนที่ตนพอจะงัดออกมาใช้ได้จะมีแต่เคล็ดระบำหงส์เหิน เคล็ดวิชายุทธขั้นสามที่เพิ่งจะฝึกสำเร็จไปแค่ขอบเขตเล็กๆ นั่นเท่านั้น
พอเอามาเทียบกับซ่งเล่อและคนชุดดำแล้ว ฉินจิ่วเกอก็รู้สึกว่ามีความชิงชังอันลึกล้ำส่งตรงมาที่มันอยู่ตลอดเวลา
เป็นความเหยียดหยามโดยไม่ต้องบอกผ่านทางคำพูด อาศัยเพียงแววตาและรูจมูกทั้งสี่ที่ทิ่มแทงมาทางตนเท่านั้น
พอฝุ่นควันสีเลือดซาลงแล้ว ด้านในก็เผยให้เห็นโครงกระดูกสีขาวปลอด ตากแดดตากฝนมาพันปี เนื้อหนังมังสาล้วนเปื่อยยุ่ยไปจนหมด แต่ชิ้นส่วนกระดูกกลับยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์
“ศพ?” ฉินจิ่วเกอที่ตั้งใจว่าจะใช้กระบี่ลองเคาะดูเพิ่งจะเดินไปได้สองก้าว โครงกระดูกที่ฝังอยู่ในดินและลิ่มโลหิตก็ดิ้นพร่าดๆ พยายามที่จะตะเกียกตะกายออกมา
บนกะโหลกที่เห็นแล้วชวนให้หัวใจหยุดเต้นนี้ไม่มีเส้นผมแม้แต่เส้นเดียว มีแต่เพียงเปลวไฟที่คล้ายมาจากขุมนรกอเวจีสองดวงที่ส่องสว่างอยู่ในรูเบ้าตาทั้งสองข้าง
โครงกระดูกปราศจากสีหน้าแววตา เปลวไฟสองดวงจับจ้องมาทางคนทั้งสาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉินจิ่วเกอที่ยินดีรับรองสิทธิการลงคะแนนเสียงและสิทธิการถอดถอนต่อจากมัน
กลับกลายเป็นว่ามีผีอยู่จริงๆ สีหน้าของฉินจิ่วเกอยามนี้จึงน่าดูยิ่ง ใจร่วงลงไปกองที่ตาตุ่ม สองเท้าโกยอ้าว ยังมิวายหันมาถลึงตาทิ้งท้าย “มารดามันเถอะ!”
เสียงทะลุทะลวงไปไกลหมื่นลี้ พสุธาสี่ทิศเขย่าเลื่อนลั่น ภูติผีวิ่งกันป่าราบ
ดวงไฟในเบ้าตาโครงกระดูกวูบวาบไปมา กระดูกทั่วร่างส่งเสียงดังแคร่กๆ นิ้วมือที่เหลือแต่กระดูกทั้งห้าตะปบออกหมายจะบดขยี้หัวใจ ราวกับวิชากรงเล็บกระดูกเขาเทียนซานอย่างไงอย่างงั้น
บุรุษมักชมชอบอิสตรีที่มีรูปร่างเพรียวบางอรชร กระทั่งว่ามีคนป่าวประกาศถึงรสนิยมคลั่งไคล้สตรีที่ผอมจนเหลือแต่กระดูก
เพียงแต่ต่อให้สวยแค่ไหน สุดท้ายเมื่อเหลือแต่กระดูกไร้เนื้อหนัง ความสวยกลายเป็นโครงขาว รสชาติน่าหลงใหลที่ว่าล้วนกลายเป็นความว่างเปล่า
แคล้ง!
เกิดเสียงคล้ายโลหะปะทะกัน ซ่งเล่อเงื้อกำปั้นขึ้นแล้วหวดลง ขัดขวางอุ้งมือผีของเจ้าโครงกระดูกไว้ได้ทัน
แขนของเจ้ากระดูกถูกบดขยี้กลายเป็นผงไปเสียกว่าครึ่ง ไม่ต้องสนว่ากระดูกดึกดำบรรพ์ของใครที่ปลิวกระจายเต็มฟ้า สรุปแล้วล้วนสาดเกลือใส่ไปให้หมดสิ้น
ซ่งเล่อตะลึงลาน โครงกระดูกตรงหน้าแม้จะดูเปราะบางเก่าผุ แต่พละกำลังที่แท้จริงของมันกลับตึงมือยิ่ง
ดวงจิตของเจ้าของร่างได้กลับสู่สังสารวัฏไปนานแล้ว ทำให้มันเป็นโครงกระดูกที่ไม่มีสติปัญญา อาศัยเพียงความยึดติดเสี้ยวสุดท้ายก่อนตายยืนหยัดปกป้องที่แห่งนี้ เสื้อคลุมดำใช้เจตน์กระบี่ที่แฝงด้วยประกายวิญญาณส่งร่างของเจ้าโครงกระดูกให้ลอยละลิ่วไป
ยามตกลงกระแทกพื้น มันกลับไม่ได้แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ แต่กลับสามารถลุกยืนขึ้นมาใหม่คล้ายไม่รู้จักความตาย หน้าที่ของมันคือการฆ่าล้างใครก็ตามที่บุกรุกเข้ามายังสถานที่แห่งนี้
“ไม่ดีแล้ว รีบไปจากที่นี่ก่อนเถอะ” พอเห็นว่าเจ้าโครงกระดูกยังคงไม่ยอมเลิกราง่ายๆ คนทั้งสามจึงใช้พละกำลังทั้งหมดเร่งหลบหนีไปให้พ้นจากตรงนี้
“ตาย!”
เสียงแหบแห้งระคายหูพลันดังมาจากทางโครงกระดูกตัวนั้น ราวกับเสียงทรายเม็ดละเอียดที่แห้งผากมานานนับพันปีไหลกระทบถูกทั่งเหล็กอันร้อนลวก
ยามมีชีวิตอยู่ โครงกระดูกตัวนี้ย่อมเป็นยอดฝีมือผู้มีชื่อเสียงขจรขจายอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อให้ระดับฝีมือตอนนี้จะไม่ใช่แม้แต่ขอบเขตปราณสุริยันก็ตาม
ด้วยสภาพอย่างคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงนี้ การที่มันยังดำรงอยู่ได้โดยอาศัยเพียงห่วงสุดท้ายก่อนตายก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนต้องทอดถอนใจแล้ว
“เป็นไปได้ว่าพวกเราจะล่วงล้ำเข้ามาในเขตสมรภูมิรบเก่า ทางรอดเดียวของพวกเราก็คือตามหาดวงตาค่ายกลเพื่อออกไปจากที่นี่ให้ได้โดยเร็วที่สุด”
ซ่งเล่อล้มเลิกแผนที่จะพักเยียวยาบาดแผลไปโดยสิ้นเชิง สมรภูมิจากยุคโบราณ นี่เป็นคำที่เก่าแก่อหังการขนาดไหน แทบจะถูกคนในยุคปัจจุบันหลงลืมไปจากความทรงจำแล้วด้วยซ้ำ
มีแต่ประตูหายนะที่มีมรดกหมื่นปีอันลึกล้ำยากหยั่งถึง ซ่งเล่อจึงระแคะระคายมาบ้าง
“ในเมื่อเป็นศิษย์ประตูหายนะ คงต้องมียันต์กลับพรรคติดตัวเอาไว้บ้างกระมัง?” คนชุดดำที่วิ่งรั้งท้ายเอ่ยถาม กระบี่ยาวตวัดซ้ายป่ายขวา พื้นดินก็ถูกพลิกลอยขึ้นสูง ก่อนตกกระหน่ำลงใส่พวกผีที่ไล่ล่าตามหลังดุจห่าฝน
ซ่งเล่อส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง “ยันต์เคลื่อนมิติใช้การไม่ได้ ถ้าเดาไม่ผิด ที่นี่จะต้องเป็นสมรภูมิโบราณ ทั้งยังจะต้องเป็นสถานที่ที่เกิดการฆ่าล้างครั้งใหญ่กว่าสมรภูมิไหนๆ จึงมียอดฝีมือที่ถูกกลบฝังอยู่มากมายก่ายกอง ไม่เว้นแม้แต่ชนชั้นหมื่นวิถี”
หมื่นวิถี!
เพียงแค่ไม่กี่คำ แต่อานุภาพยิ่งใหญ่เทียมฟ้า
ทั้งคุณภาพและจำนวนของผู้ฝึกตนในทวีปฉงหลิงปัจจุบันนี้ เทียบกับสมัยก่อนที่เฟื่องฟูถึงขีดสุดแล้วยังไม่ติดฝุ่น
ต่อให้เป็นยอดฝีมือชั้นกลั่นดวงธาตุยังสามารถออกไปพเนจรโลดแล่นอยู่นอกทวีปฉงหลิงได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร แล้วชนชั้นหมื่นวิถีจะน่ากลัวถึงระดับไหน?
ฉินจิ่วเกอได้แต่ทอดถอนใจเบาๆ สมรภูมิโบราณที่แม้แต่ชนชั้นหมื่นวิถีผู้บงการกฎเกณฑ์ยังต้องร่วงหล่นตกตายอยู่ที่นี่
คงมิใช่ว่า มีคนกินข้าวแล้วชักดาบหรอกนะ? หรือมีคนติดหนี้แล้วไม่ยอมจ่าย?
อืม เรื่องราวข้อเท็จจริงคงไม่ผิดไปจากนี้เท่าใด ซ้ำแล้วยอดที่ติดคงต้องไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนก้อนแน่ๆ ไม่งั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะราพณาสูรกันขนาดนี้
“หยุดวิ่งแค่นี้เถอะ” ซ่งเล่อหยุดเท้าพร้อมยกมือขวางไว้
“เลิกแค่นี้? เจ้าคิดว่ามีนางงามกระดูกขาวมารอเขมือบเนื้อพระถังของเจ้าหรือยังไง?” ข้างหน้ามีซ่งเล่อขวางทาง ข้างหลังมีโครงกระดูกไล่กวด ฉินจิ่วเกอเดือดดาลเหมือนวัวคลั่ง ใช้เท้าขยี้พื้นให้หายแค้นใจ
“โลกเป็นเสมือนกรงใบใหญ่ ต่อให้หนีออกไปได้ ที่รออยู่ก็คือกรงที่ใหญ่กว่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ยังจะวิ่งหนีต่อไปให้ได้อะไรขึ้นมา? หนีพ้นจากพันธนาการของที่นี่ ยังจะสามารถหนีพ้นจากพันธนาการที่รออยู่ภายนอกได้อีกหรือ?”
ซ่งเล่ออยู่ๆ ก็เกิดรู้แจ้งขึ้นมากลางที่รกร้าง คนหยุดวิ่ง ยืนเป็นรูปปั้นหนุ่มรูปงามอยู่ ณ ที่นั้น
แต่แล้วฉินจิ่วเกอก็เบิกตากว้างกลมเป็นไข่ห่าน ผลักร่างซ่งเล่อออกไปให้พ้นทางจนอีกฝ่ายแทบหัวคะมำ ไกลออกไปราวร้อยเมตร คือกลุ่มก้อนสีขาวกลุ่มใหญ่ที่เคลื่อนตัวลงจากไหล่เขา
นั่นคือกองทัพโครงกระดูกขาวนับหมื่นนับแสนตัว ทั้งหมดต่างนุ่งลมห่มฟ้า ไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์ติดตัวสักชิ้น ช่างเป็นภาพที่ฉาวโฉ่ติดตาเหลือจะรับ พวกมันกำลังเคลื่อนพลลงจากไหล่เขา ทั้งยังได้ยินเสียงตะโกนปลุกขวัญดังมาแต่ไกล: พี่น้องร่วมมาตุภูมิ ขับไล่พวกปีศาจออกไป!
ฉินจิ่วเกอเห็นภาพนี้ก็ได้แต่ยกมือขึ้นประสานไปทางซ่งเล่อพร้อมเอ่ยอย่างคน “รู้แจ้ง” ว่า “สหายซ่งพูดถูกแล้ว ที่รออยู่ด้านนอกก็คือกรงที่ใหญ่กว่า”
แล้วก็ใช้สายตาที่จริงใจบริสุทธิ์กว่านี้หามีไม่มองตรงไปที่ซ่งเล่อ “พี่ซ่ง ไหนๆ ก็จะตายกันแล้ว ข้าขอแหวนมิติในมือท่านได้หรือไม่ ข้าอยากจะลิ้มรสความรวยก่อนตายสักหน่อย ท่านว่าอย่างไร?”
“ฮ่าฮ่า” ซ่งเล่อถอดแหวนออกจากนิ้ว “เงินทองเป็นของนอกกาย ไม่ควรค่าสำหรับพี่ฉินหรอก”
พูดจบ มันก็เก็บแหวนมิติลงไปทันที สะบั้นความฝันของฉินจิ่วเกอที่อยากตายคากองเงินกองทองไปอย่างโหดเหี้ยม
อาจเป็นเพราะรู้สึกผิดที่หนีเอาตัวรอดไปเพียงคนเดียว เสื้อคลุมดำจึงคอยระวังหลังให้ หลังจากเหวี่ยงกระบี่ในมือตัดกะโหลกของโครงกระดูกสามตัวที่ไล่ตามมาจนตายตกในดาบเดียวก็กุมด้ามกระบี่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
“ทำไมถึงไม่วิ่งต่อ” เสื้อคลุมดำถาม บิดายอมเสี่ยงรั้งท้ายเพื่อยื้อชีวิตพวกเจ้า เห็นข้าเป็นตัวตลกหรือไร
“ที่นี่คือกรงขัง ข้างนอกคือพันธนาการ อันตัวเราจะต่างอะไรกับโซ่ตรวน ในเมื่อมันไม่รอดสักทาง ไยต้องวิ่งหนีให้เปล่าประโยชน์อีก?” ฉินจิ่วเกอประสานมือเข้าหากัน ท่าทางราวจ้วงโจวนิมิตเห็นผีเสื้อ ฮ่องเต้ไม่ร้อนขันทีร้อนใจแทนใส่อย่างน่าหมั่นไส้
แล้วเสื้อคลุมดำก็ไม่ทำให้ต้องผิดหวัง คนแหงนหน้าระเบิดหัวเราะคราหนึ่ง แล้วร่างของฉินจิ่วเกอก็ลงไปกองอยู่กับพื้นพร้อมรอยฝ่าเท้าหนึ่งรอย
บางทีอาจรู้สึกยังไม่สาแก่ใจ เสื้อคลุมดำจึงย่ำต่อไปอีกสองสามเท้า เมื่อนั้นใบหน้าที่เหยเกด้วยความแค้นจึงค่อยคลายออก
สิ่งที่ฉินจิ่วเกอพูดช่างเหลวไหลเสเพลโดยแท้ ให้บันทึกลงพงศาวดารแห่งความเสเพลก็ยังได้
ก่อนหน้านี้ซ่งเล่อเองก็พูดจาแบบเดียวกับมัน ฉินจิ่วเกอไม่ถอดรองเท้านาบหน้าอีกฝ่ายก็แล้วไป แต่นี่อะไร แปลว่ามันเป็นคนใจกว้างมากใช่ไม่ใช่?
พยับเมฆดำทะมึนโรยตัวต่ำ กองทัพผีผุดโผล่ท่ามกลางแสงโลหิต
กองทัพโครงกระดูกจำนวนมหาศาลเรียงตัวกันจนดูเหมือนผืนสมุทรสีขาวกว้างไกลสุดสายตา ดวงตะวันจันทราล้วนกลบหาย ภูผาแม่น้ำล้วนมลายสูญ ไอพยาบาทแน่นหนาจนถึงขั้นผนึกตัวเป็นมังกรสีนิล ไอวิญญาณที่บางเบาอยู่แล้วพลันถูกทำลายล้างจนพินาศสิ้น
โครงกระดูกที่ไร้ชีวิตจิตใจไปนานแล้วทยอยไต่คลานกันขึ้นมาจากผืนดิน ก่อตัวเป็นกองทัพอมนุษย์ฆ่าไม่ตายในโลกอันโกลาหลใบนี้ ขุมกำลังไร้สภาพที่จับตัวในอากาศต่อให้เวลาผ่านไปนับพันปีก็ยังมีศักดานุภาพน่าหวาดหวั่นจับขั้วหัวใจ
ก่อนที่จะกลายมาเป็นกระดูก เจ้าของร่างเหล่านี้ย่อมมิใช่กาฝูงเดียวกัน หากจะบอกว่าพวกมันกินข้าวแล้วไม่ยอมจ่ายเงินจนเลยเถิดไปถึงขั้นก่อสงครามจนบาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือขนาดนี้ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้
รังสีฆ่าฟันของกองทัพอมนุษย์ทำให้แม้แต่ชั้นบรรยากาศยังต้องจับตัวแข็งค้าง แค่พลังกดดันอันน้อยนิดก็ทำให้ยอดฝีมือชั้นพิสุทธิ์ไม่กล้าประมาทแม้แต่นิดเดียว
กองทัพอมนุษย์เหล่านี้คือพลทหารที่แท้จริง ผ่านการเคี่ยวกรำมาอย่างหนัก ทักษะการสู้รบเป็นเลิศ
เนื่องด้วยสมัยก่อนเป็นยุคแห่งการสงคราม พลังทำลายล้างลักษณะนี้แม้แต่สวรรค์ยังต้องล่มสลาย นับประสาอะไรกับคนไม่กี่คน
“เกือบได้ตายแล้วจริงๆ ข้ายังไม่อยากตายเสียหน่อย” ฉินจิ่วเกอตะเกียกตะกายขึ้นจากพื้น มือลูบหน้าตัวเองไปพลางแยกเขี้ยวยิงฟันไปพลาง เคราะห์ดีที่ไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้
“รีบไปกันเร็ว!” ก่อนที่กองทัพโครงกระดูกจะมาถึง ยังพอมีเวลาอยู่บ้าง ต่อให้ตอนมีชีวิตอยู่พวกมันจะเป็นเทพสถิตย์อยู่เหนือมวลมนุษย์อย่างไรก็ตามแต่ ทว่าตอนนี้พวกมันก็เป็นได้แค่ซากศพผุๆ พังๆ แล้วมีหรือจะเคลื่อนที่ได้เร็วเท่าพวกตน
“ชนชั้นปราณสุริยันอาจต่อกรกับพวกมันได้สักสองสามกระบวนท่า แต่ไอวิญญาณฟ้าดินของที่นี่สูญสลายไปหมดแล้ว ขืนเข้าไปคงได้แห้งตายภายในครึ่งชั่วยาม” หากมดมีจำนวนมากพอ แม้แต่ช้างก็ยังสิ้นท่า เสื้อคลุมดำเข้าใจหลักการนี้เป็นอย่างดี
“เจ้ามีทางออกดีๆ บ้างหรือไม๋” หากมีโอกาสรอด ซ่งเล่อย่อมไม่ซื่อบื้อถึงขนาดเอาชีวิตไปทิ้ง โดยเฉพาะตายทั้งๆ ที่เพิ่งจะได้สมุนไพรวิเศษมาแบบนี้
ส่วนฉินจิ่วเกอ มันไม่มีทั้งเงินไม่มีทั้งพลัง ตอนนี้มีสหายอับโชคสองคนมานอนตายเป็นเพื่อนก็ยังดี จึงก้มหน้ายอมรับชะตากรรมไปเรียบร้อยแล้ว
“ฉวยโอกาสตอนที่พวกมันยังไม่ทันเข้าโอบล้อม ถ้ายอมเผาแก่นโลหิต คาดว่าคงสลัดพวกมันพ้นไปได้อยู่” เสื้อคลุมดำรีดเค้นไอวิญญาณภายในร่างจนขีดสุด กลิ่นอายพลังกระทั่งเหนือกว่าซ่งเล่อ
เผาแก่นโลหิต เท่ากับเป็นการเผาผลาญอายุขัย หากไม่ใช่สถานการณ์วิกฤติคับขันเป็นตาย ใครก็ไม่ยอมเสี่ยงแน่ๆ
ขืนมัวแต่รอให้กองทัพโครงกระดูกขาวกลุ้มรุมปิดล้อม แม้แต่ยอดฝีมือชั้นพิสุทธิ์ยังต้องตกตายไปด้วยความคับแค้นใจ
เทียบกันแล้ว การเผาผลาญชีวิตน้อยๆ ของพวกมันย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
กระนั้นเสื้อคลุมดำก็ไม่กล้าผลีผลาม หากพลาดพลั้งแม้แต่นิดเดียว แม้แต่กระดูกก็ยังไม่เหลือ
“ข้าจะคอยเป็นหอกนำขบวนอยู่ด้านหน้า เจ้าก็คอยระวังหลังเอาไว้ ต่อให้ที่นี่เคยเป็นสมรภูมิโบราณมาก่อน ระยะเวลายาวนานถึงพันปีต้องมีโครงกระดูกล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมากอยู่บ้าง ส่วนพวกที่กลายเป็นหุ่นอาศัยความยึดติดเสี้ยวสุดท้ายดำรงอยู่ย่อมมีเหลือไม่มากนัก”
เสื้อคลุมดำต้องร่วมมือกับซ่งเล่อจึงจะมีโอกาสรอด
ส่วนฉินจิ่วเกอที่ยังคงยืนรากงอกไม่รู้เหนือรู้ใต้อยู่นั้น เตี่ยใครจะตายแม่ใครจะแต่งงานใหม่ก็ตัวใครตัวมันล่ะงานนี้
แววตาของซ่งเล่อมีแต่ความกระสับกระส่ายสุดเปรียบ หลายครั้งที่มันกำลังจะตะโกนเรียกฉินจิ่วเกอ ส่วนลึกในจิตใจเป็นต้องมีพลังงานบางอย่างคอยสะกดกลั้นคำพูดของมันเอาไว้ทุกคราวไป
“รีบๆ ตัดสินใจดีกว่า แต่บอกก่อนว่าหมอนั่นเป็นได้แค่ตัวถ่วง ถ้าพามันมาด้วย พวกเราจะตายกันหมด” เสื้อคลุมดำเองก็ไม่ได้มีความรู้สึกดีๆ กับฉินจิ่วเกอเท่าไร แค่มันไม่ลงมือด้วยตัวเองก็ถือว่ามีเมตตาธรรมมากแล้ว
ส่วนจะให้มันเสียสละตนเองเพื่อช่วยชีวิตอีกฝ่าย ล้อกันเล่นหรือเปล่า เดิมทีสายสัมพันธ์ระหว่างพวกมันก็ไม่ได้กลมเกลียวกันอยู่แล้ว
ในสถานการณ์เยี่ยงนี้ แม้แต่ซ่งเล่อเองก็ยังไม่กล้าปลอบใจตัวเองว่าตนจะมีชีวิตรอดออกไปได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฉินจิ่วเกอที่ยังไม่บรรลุขอบเขตปราณสุริยัน หากอีกฝ่ายไม่ตายต่างหากจึงจะนับว่าแปลก
“เร็วเข้า ไม่งั้นจะไม่ทันแล้ว” วาจาของเสื้อคลุมดำเป็นเหมือนเข็มแหลมที่ทิ่มลงสู่ก้นบึ้งจิตใจของซ่งเล่อ ทำให้หัวใจของมันเจ็บแปลบแทบปางตาย
คนกัดฟันอย่างแน่วแน่ สลัดความคิดยุ่งเหยิงทั้งหลายออกไปจากสมอง “เราไปกันเถอะ”
เสื้อคลุมดำผงกหน้ารับพลางเหลียวไปมองข้างหลัง แต่ก็เห็นเพียงหลังศีรษะของฉินจิ่วเกอเท่านั้น
จดจำภาพสุดท้ายของอีกฝ่ายเอาไว้ในใจ วันนี้แม้ไม่อาจช่วยชีวิต แต่ข้าสัญญาว่าเมื่อกลับไปแล้ว ข้าจะวาดรูปเจ้าให้เหมือนตอนที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ เพื่อที่ว่าตอนที่เจ้าไปถึงอีกโลกหนึ่งแล้ว รอยยิ้มของเจ้าจะสว่างเฉิดฉายมาถึงโลกนี้
เสื้อคลุมดำกับซ่งเล่อหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง ระเบิดพลังบุกฝ่าไปข้างหน้า พลังวิญญาณทั่วร่างโคจรถึงขีดสุด แก่นโลหิตในกายเหือดหายในอัตราอันรวดเร็ว
“ไปกันแล้วรึ?” ฉินจิ่วเกอหมุนตัวกลับไปมอง ผลลัพธ์เช่นนี้มันคาดการณ์เอาไว้นานแล้ว
ระดับฝึกปรือของตนไม่บรรลุชั้นปราณสุริยันด้วยซ้ำ ต่อให้มีทักษะติดตัวอยู่บ้างนิดหน่อย ต่อหน้ากองกำลังระดับนี้ แม้แต่ยอดฝีมือชั้นพิสุทธิ์ยังต้องหมดหวัง
การคนที่ทั้งสองหนีเอาตัวรอดโดยทิ้งตัวเองไว้ที่นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก
ก้มเก็บแหวนมิติที่แทบจะกลืนหายไปกับฝุ่นทรายและคราบโลหิต ฉินจิ่วเกอก็ยิ้มขื่น “ซ่งเล่อ นับว่าเจ้ายังมีเมตตาอยู่บ้าง ถึงกับทิ้งแหวนมิติไว้ให้ข้าเอาไปนอนกอดอยู่ในหลุมด้วย”
แล้วมันก็ก้มตัวลงอีกครั้ง คราวนี้หยิบเอาชุดเกราะที่จะพังมิพังแหล่ขึ้นมาสวมไว้กับตัว จากนั้นก็กระโดดเหยงๆ เอามือป้องปากร้องตะโกนว่า “เจ้าข้าเอ๊ย! เจ้าเด็กเมื่อวานซืนสองคนนั่นหนีไปทางนู้นแล้ว พวกเรารีบตามไปเร็วเข้า!”