เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 201 สัญชาตญาณธรรมชาติ
ตอนที่ 201 สัญชาตญาณธรรมชาติ
เหลืออีกสองวันก็จะถึงงานเทศกาลแล้ว กลางดึกค่ำคืน ดวงจันทร์เต็มดวงส่องไสว
การปะทุของคลื่นสัตว์อสูร ยิ่งเสริมโดยธาตุหยินแห่งแสงจันทร์เป็นตัวจุดชนวน สองสิ่งนี้มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยยะ
ตอนบ่าย งานประมูลที่จัดขึ้นโดยสมาคมนักจัดวางค่ายกลคืองานสุดท้ายก่อนที่จะถึงงานเทศกาล
หลังการประมูล ค่ำคืนพรุ่งนี้ ก็คือคุกนรกเลือด ทุกคนต่างกังวลระคนหวาดกลัว ยามสัญจรล้วนต้องพะวงหน้าพะวงหลังอยู่ตลอดเวลา
ไม่ทราบงานวันพระจันทร์เต็มดวงของปีนี้ คนและดวงจันทร์ ใช่ยังเป็นเหมือนเดิมหรือไม่?
ศิษย์พรรคหลิงเซียวส่วนใหญ่มาถึงเมืองซวนอู่แล้ว สี่อาวุโสกำลังนั่งอยู่ในห้องโถงหลัก นั่งผิงไฟพูดคุยฆ่าเวลากันอยู่
อาวุโสใหญ่กังวลถึงสถานการณ์ในเมืองซวนอู่ แต่ทุ่งร้างนั้นกว้างใหญ่เกินไป มีอยู่หลายแง่มุมที่น่ากังวล สี่อาวุโสกำลังสาละวนจัดแจงแผนการกันจนหัวหมุน
กลับไม่รู้ ด้านนอกพรรค มีเงาดำทมิฬหลายสายซุกซ่อนอยู่ จับตามองทุกการเคลื่อนไหวภายในพรรค
เพียงพริบตาก็ถึงเวลาบ่าย ประตูพรรคหลิงเซียวเปิดกว้าง พร้อมร่างของชายชราโรยแรงเดินออกมา หลังงองุ้ม ฟันเหลืองอ๋อย ผิวเหี่ยวย่น ผมขาวโพลน บ่งบอกว่าชายชราผู้นี้คล้ายไม่เต็มบาทเท่าไหร่
ขณะเดินลงจากขั้นบันไดสามร้อยก้าว บางทีมันก็คุยกับตัวเอง บางทีก็แวะหยอกล้อกับมดวิหค นี่ไม่ใช่แค่คล้าย แต่ไม่เต็มเต็งเลยต่างหาก ในมือ ยังกุมคทาไม้หัวตะปุ่มตะป่ำเอาไว้ เดินขากะเผลกอยู่บ้าง
เงาดำที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดแผ่กลิ่นอายมรณะน่าขนลุกออกมา เอ่ยกระซิบเสียงต่ำ “จ้วนหลุนหวังให้เรามาจับตาดูพรรคเล็กๆ นี่ ตอนนี้ก็มีคนของพรรคออกมาแล้ว นี่ควรทำอย่างไรต่อ?
เงาดำอีกสายซ่อนตัวอยู่ในเงาพฤกษา พลังฝึกปรือธาตุไม้ ร่างเนื้อกลมกลืนไปกับสิ่งแวดล้อม “ข้าว่าเจ้าคนผู้นี้วรยุทธ์ไม่สูงส่งเท่าใด เพราะงั้นก็กำจัดมันตรงนี้เลยแล้วกัน คงไม่มีเรื่องยุ่งยากตามมาหรอก”
อีกฝั่งหนึ่ง อาวุโสห้ากำลังเดินเอ้อระเหยลอยชายอยู่บนยอดเขา นี่ก็เดินลงจากบันไดมาได้แล้ว กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าเล็กๆ
“เป็นต้นไม้ที่ใหญ่อะไรอย่างนี้!” เรือนผมสีขาวหม่นของอาวุโสห้ามีใบไม้สีเหลืองกรอบติดอยู่ประปราย อาภรณ์บนตัวสะบัดพึ่บพั่บ พริบตาก็ทะยานขึ้นสู่กิ่งไม้
ผู้ฝึกวิชาปีศาจที่ซ่อนตัวอยู่ในต้นไม้เป็นต้องขยับตัวหลบ จากนั้นก็ไม่กล้ากระดิกตัวอีก
อย่าบอกนะว่าอีกฝ่ายรู้ตัวแล้ว?ไม่ เป็นไปไม่ได้ ตนเป็นถึงกลั่นดวงธาตุขั้นห้า พวกที่ต่ำกว่าเจ็ดดวงธาตุลงมา ทารกวิญญาณของพวกมันยังไม่ผนึกเป็นแกนวิญญาณ แน่นอนว่าไม่อาจมองทะลุภาพลวงตาที่มันสร้างขึ้นได้
“ต้นไม้ที่ดี!” อาวุโสห้าเคาะนิ้วไปตามลำต้นด้วยนิ้วมือเลอะเกรอะ “วัตถุดิบชั้นยอด นำมาทำเป็นโลงศพคงไม่เลว เพียงแต่ในนี้มีมดปลวก เลยทำให้ลำต้นเน่า”
ผู้ฝึกวิชาปีศาจที่หลบซ่อนตัวกันอยู่ในเงามืด เดาไม่ออกว่าชายชราสติไม่ดีคนนี้จะทำอะไรกันแน่ ดูก็ดูไม่ออกว่าอีกฝ่ายระดับฝีมือเท่าใด แต่เท่าที่ดูก็คล้ายจะเป็นแค่คนธรรมดาๆ กระนั้นกลับมีความเป็นอิสระเหนือโลกอยู่ในตัว
วางไม้คทาหัวกรุยไว้ด้านข้าง อาวุโสห้าก็ปลดเข็มขัดกางเกง จมูกย่นเข้าหากัน ไหล่ข้างหนึ่งยกสูงข้างหนึ่งกดต่ำ “เหอเหอ ให้เราผู้เฒ่ารดน้ำแก่เจ้าสักหน่อยแล้วกัน รับรองปุ๋ยเข้มข้นเชียวล่ะ”
ผู้ฝึกวิชาปีศาจที่ซ่อนตัวอยู่ในต้นไม้พลันสะท้านเฮือกอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้ต้นไม้ส่ายไหว รู้สึกชาที่หลังศีรษะ
“หัวหน้า ทำยังไงกันดี?” ผู้ฝึกวิชาปีศาจที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังส่งสัญญาณเสียงมา
ผู้ที่แบกรับความอัปยศอยู่ในลำต้นตอบกลับมา “มันก็แค่สติไม่ดี พวกเจ้าอย่าได้กังวล รอมันถ่ายเบาเสร็จก็คงจะไปเอง ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญ พวกเราต้องไม่ทำตัวเป็นที่สังเกต อย่างไรเสียในพรรคหลิงเซียวนั่นยังมีพวกตาแก่ฝีมือฉกาจอยู่อีก”
“ร้ายกาจเท่าข้าหรือไม่?” อาวุโสห้าที่ทำธุระอยู่ จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น
“คะ คงจะอย่างนั้นกระมัง” ผู้ฝึกวิชาปีศาจที่ซ่อนตัวอยู่ในต้นไม้ตอบกลับเสียงเบา อย่าบอกนะว่าอีกฝ่ายได้ยินที่มันและลูกน้องคุยกัน?
อาวุโสห้าติดเข็มขัดกลับเข้าที่ เขี้ยวเหลืองอ๋อยสองซี่ผุดออกมาให้เห็นเล็กน้อย ผมบนหัวล้านโล่งไปครึ่งหนึ่ง “เหอเหอ เราผู้เฒ่าย่อมร้ายกาจที่สุด เจ้าก็รีบๆ ออกมาได้แล้ว มาเป็นเพื่อนเล่นกับเราผู้เฒ่าหน่อย”
ขณะกล่าวคำ อาวุโสห้าก็หยิบไม้คทาขึ้นแล้วเคาะใส่ลำต้นทีหนึ่ง
“หัวหน้า มันพบพวกเราแล้ว ฆ่ามันเลยเถอะ!” มีคนแนะนำมา ขจัดอุปสรรคแต่เนิ่นๆ ย่อมเป็นการดีที่สุด
“อย่าหุนหันไป มันเป็นคนเสียสติ คำพูดคำจาจะบ้าๆ บอๆ ไปบ้างก็ไม่แปลก พวกเราอย่าได้คล้อยตาม”
“ยังไม่ยอมออกมา?” อาวุโสห้าพลิกไม้คทา คราวนี้มันกระทุ้งใส่กึ่งกลางลำต้น เกิดเป็นกระบี่เลือดสายหนึ่ง ผู้ฝึกวิชาปีศาจที่ซ่อนตัวอยู่ในลำต้นรู้สึกเจ็บที่ช่วงท้อง พอลดศีรษะลงดู กลับพบว่าอีกฝ่ายจู่โจมทะลุกายาอมตะทองคำของตนได้
“มันพบตัวพวกเราแล้วจริงๆ ฆ่ามันเร็วเข้า!”
อาวุโสห้ากระโดดไปด้านข้างด้วยขาที่กะเผลก ไม้ค้ำยันในมือวางพาดเหนือบ่า ไม่ได้ใช้พยุงเท้า เสียงแค่นจมูกดังออกมาชัดเจน
ผู้ฝึกวิชาปีศาจชั้นกลั่นดวงธาตุสี่คน แกร่งสุดคือกลั่นดวงธาตุขั้นห้า ต่ำสุดคือขั้นสอง พรรคโลหิตนภาไม่ได้ให้ความสำคัญกับเมืองซวนอู่ที่ใหญ่กว่าเมล็ดงาเพียงเล็กน้อยเท่าใด แต่กลับให้ความสำคัญกับพรรคหลิงเซียวที่แทบไม่เป็นที่รู้จักมากกว่า
แค่หน่วยลาดตระเวน ยังมีกำลังรบขนาดนี้
อาวุโสห้าเมื่อเห็นคนโผล่ออกมาสี่คน มันก็เต้นระบำอย่างยินดี มือสกปรกยกลูบใบหน้า “ใช้ไม่ได้ ใช้ไม่ได้ มีอีกคนซ่อนตัวอยู่ในดินนี่ ยังไม่รีบไสหัวออกมา!”
พูดจบ ไม้คทาก็กระแทกลงกับพื้น ดูไปคล้ายกำลังกระทุ้งไล่หนอนแมลงให้โผล่หัวออกมา
ห้ากลั่นดวงธาตุ กำลังรบนี้สามารถเทียบได้กับกำลังรบสูงสุดในตอนนี้ของเมืองซวนอู่ได้เลย แต่พรรคโลหิตนภากลับใช้พวกมันมาเป็นคนแผ้วถางทางเท่านั้น
อาวุโสห้าย่นปลายจมูก หัวเราะฮี่ฮี่ “หนอนแมลงทั้งห้า อยากละเล่นกับเราอย่างไร?”
ห้าผู้ฝึกวิชาปีศาจมองหน้ากันเล็กน้อย จากนั้นจึงยกอาวุธคู่กายขึ้นพร้อมกันแล้วพุ่งเข้าหาอาวุโสห้าทันที เห็นห้ากลั่นดวงธาตุบุกเข้ามา อาภรณ์ของอาวุโสห้าไม่แม้แต่จะขยับ สีหน้าท่าทางยังคงนิ่งเฉยเหมือนก่อนหน้า ทั้งยังทำท่านับเมฆบนท้องฟ้าอย่างปลอดโปร่ง
ปง!
ไม้คทาจี้ออก ไร้คมกลับส่องประกายคมปลาบ ไร้ใบกลับส่องประกายยะเยียบเย็น เป็นเพียงกิ่งไม้เน่าๆ ที่สามารถเก็บได้ตามป่าเขา จะเอามาทำขื่อคา เอามาทำเครื่องตกแต่ง หรือแม้แต่ตะเกียบสักคู่ก็ยังไม่ได้
แต่ก็คือกิ่งไม้เน่าๆ ที่ไม่มีอันใดสะดุดตานี้เอง ที่สามารถแทงทะลุกายาอมตะทองคำที่กลั่นดวงธาตุแสนจะภาคภูมิได้ง่ายๆ
ปุปุ!
สองกลั่นดวงธาตุกระอักเลือดลอยตัวข้ามศีรษะไปไกล จุดตันเถียนแตกทลาย ขณะกำลังจะบันดาลโทสะ กลับพบว่าตัวเองได้กลายเป็นคนพิการแล้ว ส่วนอีกสามคนที่เหลือ ล้วนถูกอาวุโสห้าสยบโดยไร้ความสามารถจะตอบโต้ ก่อนจะกระเด็นกระดอนกันไปคนละทิศละทาง
“ฮ่าฮ่า เร้าใจ เร้าใจจริงๆ!” อาวุโสห้าขยับซ้ายปาดขวา สองมือกุมไม้คทาราวกำลังพายน้ำ เหมือนกำลังพายเรือโต้คลื่น
“น่าสนใจจริงๆ นั่นล่ะ” มิติสั่นไหว ปรากฏบุรุษวัยกลางคนในอาภรณ์ตัวยาวเดินออกมา
ทั้งอาภรณ์ตัวยาวและกึ่งกลางหว่างคิ้วของมันแบ่งออกขาวดำชัดเจน แสดงถึงพลังแห่งหยินหยาง ดั่งกายาแห่งไท่จี๋ ไร้โทสะไร้อำนาจ ไร้ปรารถนาไร้ศักดิ์ กลิ่นอายพลังที่เหนือชั้น ประดุจดั่งเทพสวรรค์จุติลงมา เหนือมวลมนุษย์นับร้อยนับพันเท่า
คนผู้นี้สีหน้าทระนงสุดสูง เพียงสะบัดมือหนอนแมลงไร้ประโยชน์ทั้งห้าก็ร่วงหล่น เกิดเสียงปุปุขึ้น บุปผาโลหิตระเบิดกระจายเป็นห้าดวง พิรุณเลือดพร่างพรม ย้อมผืนหญ้าให้เป็นสีแดงฉาน
“น่าสนใจจริงๆ ไม่นึกว่าพรรคหลิงเซียวจะมียอดฝีมือเช่นนี้อยู่ เราผู้เฒ่าอยากจะทาบทามเจ้าเข้ามาใต้บัญชาจะแย่แล้ว ไม่งั้นคงน่าเสียดายแย่”
อาวุโสห้าเกาศีรษะ เลิกคิ้วสูง “อ้อ ข้ารู้จักเจ้า”
“อ้อ?”
“ราชันสุนัขหยินหยางใช่หรือไม่ ข้าได้ยินศิษย์พี่เอ่ยถึง”
ราชันหยินหยางพิโรธ รัศมีพลังพวยพุ่ง กวาดเอาต้นไม้ในรัศมีพันเมตรให้หักโค่น ต้นไม้ใบหญ้าลอยออกจากผืนดิน “พรรคหลิงเซียวอันประเสริฐ เราอุตส่าห์กล่าวโน้มน้าวด้วยดีๆ หลายต่อหลายครั้ง แต่พวกเจ้าเอาแต่ใช้ความโสมมโต้ตอบเรา!”
อาวุโสห้าท่วงท่าเย่อหยิ่งไม่แพ้กัน กระแทกคทาลงกับพื้น กล่าว “ในเมื่อเจ้าคือราชันสุนัขหยินหยาง เช่นนั้นก็ต้องเลี้ยงสุนัขเอาไว้ด้วย ข้าชอบกินเนื้อสุนัข รีบๆ เอาออกมาให้ข้าย่างกินได้แล้ว”
“สามหาว เราจะกลบฝังเจ้าทั้งเป็น มอบบทเรียนแก่พรรคหลิงเซียวเจ้า!”
อาวุโสห้าเดินกะเผลกเข้าหา มือยันหินไว้ “ในเมื่อเจ้าไม่ยอม ข้าก็ต้องไปเอามาเอง หลังทุบตีเจ้าแล้ว คงได้สุนัขอวบอ้วนมาตัวหนึ่ง”
“อ๊าากก ข้าจะฆ่าเจ้า แค่ร่างจำแลงนี้ก็เพียงพอจะถล่มพรรคหลิงเซียวเจ้า!”
“เดรัจฉานกล้าเอ่ยวาจา ข้าจะอุดปากเจ้าจนตายด้วยดินโคลน” อาวุโสห้าหัวเราะซาดิสม์ หวดไม้คฑาในมือออกไป
ตะวันเพิ่งขึ้นไม่ทันไร ก็เริ่มคล้อยไปทางทิศตะวันตก ทิศที่เมืองซวนอู่ตั้งอยู่ สาดแสงศักดิ์สิทธิ์ลงมาช้าๆ นี่คือการอวยพรสุดท้ายที่สวรรค์ประทานให้สรรพสิ่ง เหลือความอบอุ่นเสี้ยวสุดท้ายไว้บนผืนดิน สลายร่องรอยลมฝนและบาดแผลจากสมัยบรรพกาลไป
ตะวันตกจมขอบฟ้า เหลือเพียงเมืองซวนอู่ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางผืนดินรกร้างว่างเปล่า ให้ความรู้สึกน่าหดหู่ทว่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน กำแพงหักพัง สะท้อนแสงโลหิตแดงอมทอง ร่องรอยบาดแผลพวกนั้น น้ำตาโลหิตและการกัดฟันไม่ยอมล้มลงครั้งแล้วครั้งเล่า ส่งผลให้ผู้คนสัญจรเข้าออก
เสียงร้างไร้ ตะวันตกไร้แสง สุสานสุดคณานับ
ในเมืองซวนอู่ งานประมูลที่สมาคมนักปรุงยาและสมาคมนักจัดวางค่ายกลร่วมกันจัดขึ้นก็จวนจะได้เวลาเริ่มงานแล้ว ดึงดูดเหล่ายอดฝีมือให้มากันอย่างคับคั่ง
คนมีชื่อเสียงเลวร้ายเป็นเรื่องดี ขณะที่งานประมูลกำลังมีคนไหลสะพัดมาอย่างต่อเนื่อง ฉินจิ่วเกอก็วิ่งโร่ไปเยี่ยมเยียนตระกูลม่อ ม่อฉวนซัวทันทีที่เห็นอีกฝ่าย ภาพจำที่ถูกสุนัขกัดยังคงชัดเจน จึงรีบกุมบั้นท้ายเอาไว้ด้วยความหวาดผวา
โดยไม่จำเป็นต้องให้ฉินจิ่วเกอเปิดปาก ประมุขม่อก็รีบจัดหาห้องส่วนตัวให้ทันทีอย่างรู้ใจ ทั้งยังโพสต์ท่าสารพัดสารพันให้สุภาพบุรุษฉินทำลายได้ตามใจ
ฉินจิ่วเกอตอนนี้นั่งพักอยู่ในห้องส่วนตัว เฝ้ารองานประมูลอย่างใจจดใจจ่อ
แก้วสุราที่ทำจากหยกในมือส่องประกายสวยงาม น้ำสุราสีอำพันช่วยให้ฉินจิ่วเกอเคลิบเคลิ้มจนต้องหลับตาลง
ลั่วเฉินนั่งตรงแน่วอยู่ตรงนั้น ไม่สนว่าใครจะเมามายขนาดไหน ใบหน้ายังคงเรียบเฉยเย็นชา
ซ่งเล่อกำลังเสพสุขร่วมกับฉินจิ่วเกอ คนต้องสองดื่มไปตบบ่าโห่ร้องกันไป แม้จะต้องกัดฟันน้ำตาไหลเพราะความเจ็บ แต่ก็เรียกหากันเป็นพี่เป็นน้อง แทบจะเอามีดออกมาแทงอีกฝ่ายด้วยความเคารพอยู่รอมร่อ
อันติงหลันเองก็นั่งอยู่ด้านข้าง รอยยิ้มบนใบหน้าฉายชัด หางเปียสะบัดไหวเล็กน้อย จัดแจงกระโปรงให้เรียบสวย
เมื่อครู่นางเพิ่งไปยึดห้องของเฉียนหยุนมาหมาดๆ ทำให้อีกฝ่ายไม่รู้จะไปซุกหัวนอนอยู่ที่ใด ความจริงพิสูจน์แล้วว่า ความสามารถในการกล้ำกลืนความอัปยศของมัน รวมถึงความสามารถในการเอาตัวรอด สูงส่งเกินบรรยาย
มันไม่อาจตอแยพริกน้อยผู้นี้ ยิ่งไม่อาจตอแยพี่ชายนาง เฉียนหยุนจึงต้องจำยอมยกห้องของตนให้ เหมือนกับประมุขม่อ มันต้องกุมบั้นท้ายไว้ ภาพจำยามถูกสุนัขกัดยังคงชัดเจนในใจ
อันติงหลันหัวเราะร่วน จากความเข้าใจที่นางมีต่อเฉียนหยุน นางมั่นใจว่าอีกไม่กี่นาทีอีกฝ่ายจะต้องมาหาเรื่องนางแน่
แต่แล้ว เพิ่งนับได้แค่สามนิ้วก็เกิดเสียงดังปังขึ้น ปรากฏว่าประตูไม้ถูกถีบเปิดออกจากด้านนอก
ซ่งเล่อที่กำลังจิบสุราสบายใจเฉิบอยู่ข้างหน้าต่างพลันตกใจจนพ่นเอาสุราออกจากปากหมดสิ้น ฉินจิ่วเกอที่ยามนี้ใบหน้าเปียกปอนไปครึ่งแถบสลัดคราบสุภาพบุรุษทิ้ง มันที่รักหน้าตายิ่งชีพแทบจะไล่ล่าอีกฝ่ายตั้งแต่ชั้นบนลงชั้นล่าง
อันติงหลันลุกพรวดพลางปรบมือชอบใจ ร้องเชียร์ “ตีสุนัข ตีสุนัข ตีสุนัข!”
เฉียนหยุนผู้กลัวสุนัขพลันกระโดดถอยหลังไปสิงอยู่ข้างประตู ตระเตรียมถอยหนีได้ทุกเมื่อ
ฉินจิ่วเกอไม่กลัวสุนัข มันคือนักรบขย้ำสุนัข คือปีศาจที่ภูติผีหนีกระเจิง คนเป็นหนีกระจาย สุนัขดุพบเห็นยังเปลี่ยนเป็นเชื่องเชื่อ