เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 205 ฝันยินดีฤาโศกศัลย์
ตอนที่ 205 ฝันยินดีฤาโศกศัลย์
“ฮะฮะ เราผู้เฒ่าไม่สนใจ เพียงแต่รัศมีแสนลี้โดยรอบล้วนปราศจากมือดี ดูซิว่าพวกเจ้าเผ่ามนุษย์จะคร่ำครวญเยี่ยงไร!”
ระหว่างห้วงฟ้าดินอันยะเยียบเย็นเยือก ยังไม่อาจแช่ผนึกจิตใจสุมไฟเร่าร้อนของจ้วนหลุนหวังได้ ยินดี นี่มันน่ายินดีจริงๆ
กลั่นดวงธาตุขัดเกลามหามรรคาดวงธาตุทองคำ หลอมสร้างร่างอมตะทองคำอันเหนือโลก
อาวุโสใหญ่ฝึกปรือมหามรรคานี้เอง ทุกวันนี้มีสามพันมหามรรคาดวงธาตุทองคำในตัว ถือว่าบรรลุขีดสูงสุดของกลั่นดวงธาตุแล้ว
อาวุโสห้ากลับเป็นคนละทาง
เมื่อธาตุไฟใจมารเข้าแทรก ชักนำขอบเขตทั้งมวลผิดเพี้ยน
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น ทว่าด้านความสามารถทางการต่อสู้ของอาวุโสห้า ยังทำให้อาวุโสใหญ่ต้องปวดเศียรเวียนเกล้า
หากมีมันอยู่ภายนอก คาดว่าสามารถสะกดการเคลื่อนไหวยิ่งใหญ่ของพรรคโลหิตนภาได้
คนไร้ตัวตน ยอดคนไร้กำลัง เทพศักดิ์สิทธิ์ไร้ชื่อ อาวุโสห้าดำรงอยู่ในโลกเทพศักดิ์สิทธิ์ในตัวของมันเอง คือยอดคนหนึ่งเดียวสูงสุดฟ้า!
อาวุโสสี่โปรยผักชีใส่ในถ้วยอาหาร เทน้ำมันร้อนๆ สายตาจับจ้องไปยังเตาไฟร้อนพุพล่าน “ไม่รู้ว่าไอ้โง่นี่มันมัวหัวเราะอะไรอยู่ พวกเราอยู่ในพรรคล้อมวงสนทนารับประทานหม้อไฟ ส่วนมันอยู่ด้านนอกรับประทานลมเหนือเจือเกล็ดหิมะ ไม่ทราบมีอันใดน่าปีติยินดีปานนั้น”
อาวุโสใหญ่ปรายตา คร้านจะสนใจตาข่ายฟ้าซุกหน้าดินอะไรนั่น “จะมีอะไร๊ ก็คงหนาวจนเสียสติไปแล้วนั่นแหละ แต่ว่านะ เจ้าราชันกงล้อ ข้าจะบอกอะไรให้ ไอ้ค่ายกลอะไรนี่ คงรูปไว้ได้แค่สองเดือนเท่านั้น”
“สองเดือน แค่นั้นก็เหลือเฟือให้พรรคข้าใช้คลื่นสัตว์อสูรถล่มรัศมีแสนลี้รอบๆ นี้จนเกลี้ยงเกลา พวกเจ้ารอคร่ำครวญเถอะ!”
“เพ้อเจ้อไร้สาระ อย่าไปสนมัน เนื้อสุกแล้ว” อาวุโสสองเคาะตะเกียบ จกเข้าใส่หม้อไฟอันลึกล้ำราวมหาสมุทร ร้อนจนมันต้องเป่ามือ
“อ้าว ได้เวลากินแล้ว!” อาวุโสใหญ่มีจิตเมตตา คีบเอากระดูกท่อนหนึ่งออกมา โยนออกไปด้านนอก
กระดูกไร้พลังวิญญาณ ดังนั้นไม่ถูกค่ายกลกักไว้ เสียงกลิ้งกลุกๆ หยุดลงที่แทบเท้าจ้วนหลุนหวัง
“นะ น่ารังเกียจที่สุด!” จ้วนหลุนหวังแทบพุ่งเข้าไปทุบตีอาวุโสใหญ่ให้ตายคาที่ แต่มันเองก็รู้ดี ด้วยร่างจำแลงของมันนี้ เกรงว่าหากคิดต่อยตีกับตัวประหลาดสามตัวคงไม่อาจยืนได้ร้อยกระบวนท่า
ในระดับกลั่นดวงธาตุ สามพันมหามรรคาดวงธาตุทองคำและร่างอมตะทองคำ บนทวีปฉงหลิงเกรงว่ามีแต่พรรคหลิงเซียวมีสิทธิ์ขาดที่สุด
ทน ทนไว้!
แปะ!
จากในพรรคหลิงเซียวปรากฏท่อนกระดูกลอยละล่องออกมาอีกสองท่าน อาวุโสสองสะบัดมือ “สวีเซิ่ง เอาใบผักที่เก่าเน่าในพรรคออกมาให้หมด โยนออกไปให้ราชันกงล้อ ให้มันช่วยเอาไปทิ้งที”
“อืม” สวีเซิ่งหิ้วถังสะพายไม้กวาด เดินเข้าไปด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
ขยะในพรรคหลิงเซียวมีไม่น้อย ใบหลันช่าย หัวไชเท้า ล้วนถูกสวีเซิ่งโยนออกไปนอกพรรค ไม่ให้ออกก็ไม่ให้ออกสิ ถ้ามีขยะต้องทิ้ง ก็โยนออกไปให้จ้วนหลุนหวังรับผิดชอบ
จ้วนหลุนหวังสองมือยกชูขึ้นสู่สวรรค์ ก่อนจะวางลงมาเท้าสะเอว “เราราชันทำไมต้องช่วยพวกเจ้าด้วย!”
“งั้นเจ้าก็ยืนอยู่ในกองขยะไปละกัน ไม่อายบ้างหรือไง?” อาวุโสสองกล่าววาจาแทงคนจนเลือดหลั่ง เสียบทะลวงเข้าถึงกระดองใจจ้วนหลุนหวัง
“เจ้า พวกเจ้าคอยดูเถอะ รอจนร่างจริงเราผู้เฒ่ามาถึง ต้อง…”
“รู้แล้วรู้แล้ว ต้องตายโดยไร้ที่กลบฝังล่ะสิ” อาวุโสสามอดไม่ได้ต้องออกกระบวนท่าบ้าง มันสะบัดโยนถุงเท้าเก่าเน่าสองข้างออกไป “รบกวนเจ้าเอาไปโยนทิ้งไกลหน่อย กลิ่นมันค่อนข้างแรง”
อาวุโสสี่หน้าแดง กระชับความอบอุ่นแก่ร่างกาย พ่นท่อนกระดูกเกลี้ยงเกลาออกมาอีกสองสามท่อน “อย่าไปไกลนักล่ะ หากพวกเราทำค่ายกลของเจ้าพังแล้วจะทำอย่างไร”
อาวุโสใหญ่กลับลึกล้ำ “มีเหตุผล งั้นเจ้าก็ยืนอยู่ในดงขยะต่อไป”
จ้วนหลุนหวังกวัดแกว่งกำปั้น ภายใต้ดินแดนหิมะน้ำแข็งพอกพูนนี้ สายลมยะเยียบจากหกทิศกรรโชกกรีดหวีดหวิว ส่งเสียงคร่ำครวญหวนน่าเวทนา ไม่อาจกล้ำกลืนลงไปได้เป็นนาน…
ภายในเมืองซวนอู่ งานเทศกาลวันจันทร์เต็มดวงมาถึงแล้ว
วันนี้ข้างขึ้น ฟ้ายะเยือกดินเยียบเย็น ทั่วทุกที่ทางล้วนปกคลุมด้วยหิมะน้ำแข็งที่สามารถแช่คนตายได้ ดวงจันทร์ขนาดเท่าฝ่ามือ ขอบรอบนอกพร่ามัวสลัวราง คล้ายอยู่ห่างไกลสุดแสนไกลจากทวีปฉงหลิง
วิญญาณฟ้าเมตตา มนุษย์ราวกับพลันถูกทอดทิ้งห่างอย่างโดดเดี่ยวกลางแผ่นพื้นมหาทวีปอันยิ่งใหญ่ เดียวดายกลางห้วงจักรวาล
“ดูนั่น พระจันทร์โลหิต!” มีคนร้องขึ้น ในแววตาอาบด้วยความประหวั่น
เมื่อหันไปดู ภายในเมืองซวนอู่ หมื่นบ้านช่องต่างดับฟืนไฟหมดสิ้น ถนนอันเหน็บหนาวขาวซีดจาง ดูราวโครงกระดูกผุกร่อนเผยสีขาวออกมา แยกเขี้ยวกางกรงเล็บออก
ฉินจิ่วเกอมุ่นคิ้ว ส่วนลึกในดวงตาลุกไหม้ด้วยประกายโลหิต
ดวงจันทร์สุกสกาวกลมเต็มนั่น เดิมสมควรเปล่งประกายแสงอันซีดจาง แต่ยามนี้กลับเปล่งแสงสีแดงราวโลหิตหยาดหยดจากหัวใจ คล้ายถูกมารร้ายแต่งแต้มออกมา กลับกลายเป็นดั่งเหล็กร้อนที่ถูกรมจนแดงคล้ำ ราวกับกลุ่มเมฆลุกไหม้!
พระจันทร์โลหิตทอประกาย มารอสูรร้ายจุติสู่หล้า
จันทราแดงเลือดเคลื่อนคล้อยโผล่พ้นทะเลเมฆาผลาญ พริบตานั้น แม้แต่ท้องสวรรค์ยังสั่นสะเทือน
ท่ามกลางลมหยินโชยพัดอันชั่วร้าย พัดม้วนจักรวาลและชั่วยามหลอมกลืนเข้าเป็นเนื้อเดียว เป็นลางบ่งบอกถึงทะเลโลหิตม้วนกระหน่ำ
เมื่อเงยศีรษะขึ้น ดวงดาราดารดาษนับพันล้านดวงล้วนกลับกลายเป็นสีแดงหม่นทะมึน
หากเพียงมองผ่าน ยังคิดว่าเป็นแผ่นหลังของมารอสูรร้ายที่กำลังหลั่งหยาดโลหิตสาดกระจาย ระเบิดไปทั่วผืนฟ้า
กลายเป็นเนตรมารโลหิตนับล้านๆ จับจ้องมองดูแผ่นดิน จ้องมองจนมนุษย์ต้องแตกตื่นลนลาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดวงตาจันทรากลมแดงก่ำกลางมวลเมฆนั้น ช่างยั่วยวนชวนพิสมัย กำลังอ้าเปิดกงล้อมารอเวจีโลหิตบนพื้นดินออกมา
“จันทร์โลหิตหยาดแย้มพราย ไอฟ้าดินพลุ่งพล่านทะยานเดือด มหานรกเก้าอเวจีหวนสู่หล้า”
ลั่วเฉินพึมพำ มันในวันนี้พอดีสวมอาภรณ์แดงตลอดร่าง ท่ามกลางเงาทะเลโลหิต เสื้อคลุมแดงนั้นเปล่งประกายสีแดงเรืองรองออกมาเบาบาง ราวดาวตกพุ่งพาดผ่านฟ้า
“ขออย่าให้เป็นมหาภัยพิบัติเถอะ” ฉินจิ่วเกอสวมอาภรณ์ขาวเหนือหล้า หากในวันนี้กลับคล้ายเคลือบคลุมด้วยไอสีแดงบางเบา ค่อยๆ เคลือบย้อมเป็นสีเข้มขึ้นทีละน้อย
“ดูทางใต้!”
ลั่วเฉินเพิ่งเอื้อนเอ่ยจบความ ในเมืองซวนอู่ก็สั่นสะเทือนทั้งแผ่นผืน
หิมะขาวร่วงทับถมลงพื้นเป็นชั้นๆ ดูราวกับแม้แต่ผืนปฐพีไพศาลกำลังจะถูกผีร้ายมารอสูรแหวกทลายสิ้น
นอกประตูทิศใต้ ณ สุดขอบแผ่นดินที่ราบลุ่ม ทอดยาวไกลสุดสายตา
ภายใต้ระลอกแสงสีแดงไหวกระเพื่อม ขุนเขาไพศาลเกิดการเคลื่อนไหว กำลังพาดผ่านผืนแผ่นดิน พุ่งทะยานถาโถมถล่มใส่!
อีกากรีดร้องสะบัดปีกโผบินห่าง เพียงเสี้ยววินาที รากไม้ใหญ่หยั่งลึกถูกถอนรากถอนโคน พื้นพสุธาสั่นสะท้านสะเทือนไหวจนแตกแยกออกเป็นริ้วๆ
เศษหินดินทรายกระเซ็นกระเด็นกระดอน มหาคลื่นสุดไพศาลกวาดม้วนกองหิมะหนาทึบ เสียงสายลมกรรโชกโบกโบย อสนีบาตสะท้านทึมทึบ ประหารฆ่ามวลหมู่มนุษย์
ฉินจิ่วเกอใช้หัวแม่โป้งหนีบไม้บรรทัดสีทอง นิ้วที่เหลืออีกสี่นิ้วดีดลงไปบนไม้บรรทัดเบาๆ บรรทัดเล่มนี้คือมาตรวัดที่เที่ยงตรงที่สุดระหว่างฟ้าดิน พิพากษาหลักเหตุผลความเที่ยงธรรม
สิบเมตร? ร้อยเมตร พันเมตร หมื่นเมตร!
ชั่ววินาทีนั้น ประกายกลุ่มคลื่นดำทะมึนฉาบสะท้อนสีแดงเลือด เพียงพริบตาก็พลันปรากฏบนผืนแผ่นดินที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนในกรอบสายตา ถล่มฟ้าทลายดิน
สุดปลายสายตา ยามนี้ไม่อาจมองเห็นบรรพตสุดขอบฟ้าได้อีกแล้ว
ราวกับล้วนถูกเหยียบราบเป็นหน้ากลองไปเสียสิ้นตั้งแต่เมื่อครู่นี้
บรรพตภูผามหานทีสูงตระหง่าน ยามนี้กลายเป็นพื้นราบเสมอ
พื้นดินกรีดวาดเป็นวงโค้ง เต็มแน่นไปด้วยรอยมีดดาบและคมขวาน สะท้านสายตาน่าแตกตื่น!
เสียงนั้น ฝีเท้ามหาศาลควบกระหน่ำ ราวกับเสียงมวลมนุษย์กู่ร้องก้องตะโกน ประดุจดั่งคมดาบกระบี่หอกง้าวเงื้อง่าฟาดฟัน
มวลคลื่นสัตว์อสูรไพศาล พลังทำลายล้างทะลวงทะลุฟ้า!
เมื่อเบิกตามอง คลื่นสีเหล็กเงินท่วมท้นเข้ามาในรัศมีหนึ่งพันเมตร ผู้คนรู้สึกพื้นแผ่นดินสะเทือนสะท้านจนต้องยกมือค้ำกำแพงจึงสามารถยืนหยัดมั่น
กลิ่นสนิมอวลตลบฟุ้งกระจายในอากาศ ทิ่มแทงโสตประสาทของมวลมนุษย์ ความหวาดหวั่นยืดขยายขึ้นในจิตใจ สั่นเขย่าปณิธานของผู้คน คลื่นเสียงสาดซัดใส่ใบหูราวอสนีบาตคำรามคำรนก้อง ทุบทำลายความห้าวหาญจนแหลกยับ
เมื่อเพ่งพินิจอีกครั้ง ดวงจันทร์ยังคงแดงเดือด สาดประกายโลหิตคลุ้งคลั่ง ดวงดาราร่ายรำสับสน
อาวุโสมู่สีหน้าเปลี่ยน หันมองทางฉินจิ่วเกอในทันที
มันพลันคิดว่าเมืองขนาดใหญ่เช่นเมืองซวนอู่ ภายใต้การถาโถมใส่ของมวลคลื่นมหาศาล คงต้องกลายเป็นเปราะบางสุดแสน
มนุษย์ที่สูงส่งเหนือหล้า เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสถึงความอาฆาตของมวลส่ำสัตว์ว่าน่าหวาดหวั่นปานใด!
“อย่าเหม่อ ยกลูกศรพาดสาย!” อาวุโสมู่ตวาดสั่งการ ทะยานออกนำหน้าทุกผู้คน “วันนี้ หากถอยเท่ากับตาย ไม่ถอยอาจรอด ตามข้ามา!”
มหายุทธ์กลั่นดวงธาตุ เมื่อต้องเผชิญคลื่นสัตว์อสูรมโหฬารเป็นภูเขาเลากา ก็ไม่ต่างจากมดปลวก ยิ่งเมื่อคลื่นมหาบรรพตสัตว์อสูรที่ดาหน้ามานั้นมีนับพันหมื่น ราวมวลน้ำมหาศาลทะลักทลายกวาดท่วมโถมใส่ทุกสรรพสิ่ง
หวืดหวืด!
เสียงฝูงชนน้าวคันศรพาดสายธนู เสียงโลหะกรีดกระทบ ปลายลูกศรคมปลาบสะท้อนประกาย อาบย้อมด้วยพิษร้ายคร่าชีวิต
“ยิง!” อาวุโสมู่ตวาดสั่งการเสียงก้องกึก ฝ่าเท้ายืนหยัดมั่นคง ศีรษะหันไปเบื้องหน้า
ฝูงชนกล้ำกลืนความหวาดหวั่นลงท้อง ปั้นสีหน้าไร้ความรู้สึก เคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณท่ามกลางความตื่นตะลึง ในสายตาของฉินจิ่วเกอไม่ทราบกำลังระยับประกายอันใด ฝ่ามือที่น้าวศรยิ่งเพิ่มแรงเข้าไปเป็นทบทวี
วิถีฟ้า ไร้เมตตา ไร้รูปลักษณ์ ยิ่งไร้มนุษยธรรม!
กล่าวจบ อาวุโสมู่สั่งการอีกครั้ง กองทหารเหนี่ยวน้าวสายพุ่งผ่านไปราวบรรพต
พริบตานั้น เสียงหวืดหวืดพร้อมพรัก สั่นสะท้านขุนเขาเนินไสล
เบื้องหลังอาวุโสมู่พลันปรากฏมหาปราการดำทะมึน กำแพงสูงตระหง่านคล้ายหนามแหลมงอกเงยออกมาจากอเวจีมหานรก คิดแทงทะลวงใส่ดวงจันทร์เลือดบนห้วงฟ้า ปลายศรคมกริบชักนำประกายพลังวิญญาณแหวกฝ่าไอวิญญาณท่ามกลางห้วงบรรยากาศ พุ่งทะยานออกไปไกล อานุภาพแยกฟ้าผ่าแผ่นดิน
มหาปราการเบื้องหลังอาวุโสมู่ยิ่งมายิ่งงอกสูงขึ้นก่อนจะค้อมลง วาดเป็นวงโค้งเชื่อมระหว่างแผ่นฟ้าแผ่นดิน
ก่อนจะพาดผ่านเมืองซวนอู่ พาดผ่านผืนดินคลุมหิมะที่กลายเป็นฝุ่นน้ำแข็งไปแล้ว
ศรอาบยาพิษสะกิดเลือดปลิดชีวิตนับพันนับหมื่น ร่วงหล่นพร่างพรมลงจากฟ้าราวห่าพิรุณ ก่อรูปเป็นมวลสุญญากาศ
สัตว์อสูรทัพหน้าที่วิ่งทะลวงเข้ามาล้มตายราวห่าฝน ถูกศรอาบยาพิษเสียบทะลวงสิ้นใจตายคาที่
มิเช่นนั้นก็ถูกพลังมหาศาลที่แฝงเข้ามาระเบิดทลายออกจากภายใน โลหิตลำไส้แตกกระจายทั่วฟ้า ราวน้ำส้มสาดกระเซ็นเต็มพื้น
ครืนน!
จันทร์ดาราคงอยู่ถาวร วิถีฟ้าสูงส่งไว้เยื่อใย
ลมพฤกษาสายหนึ่งโชยพัด กลับมิได้พัดดับเพลิงแค้นไฟอาฆาตระหว่างสองเผ่า กลับกันมันพัดกระพือฮือโหมใส่จนเพลิงไฟพยาบาทเจิดจ้าบาดตาจนไม่อาจมองตรงๆ
อาวุโสมู่เยือกเย็นไม่ลนลาน ออกคำสั่งกองกำลังพิทักษ์เมือง เหนี่ยวสายพาดคันศรยิงออกไปอีกครั้ง ยามนี้สัตว์อสูรนับหมื่นตกตาย ทว่าซากร่างไร้วิญญาณแข็งทื่อเหล่านั้นกลับไม่สามารถหยุดยั้งคลื่นสัตว์อสูรตนอื่นไว้ได้
หมื่นอาชาควบทะยานย่ำเหยียบ แผ่นดินเข้มงวดกลายเป็นตะแกรง
ความตาย ยิ่งนำมาซึ่งความโกรธาและอาฆาตแค้น หากไม่ตาย ทางฝั่งของตนเองย่อมต้องประสบพบหายนะแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมต้องเป็นเจ้าตายดีกว่า!
“ฝ่ามือกิเลนครองฟ้า!” ฝ่ามือขนาดยักษ์ราวดวงตะวันยันค้ำฟ้า นำพาพละกำลังมหาศาลคว้าตะปบไม้บรรทัดสีทอง พิพากษาสรรพชีวิต
หัตถ์ยักษ์ร่วงหล่นลงกลางฝูงอสูรคลั่ง หมอกโลหิตฟุ้งกระจายซ่านกระเซ็น
จากนั้นฝ่ามือหยุดลงกะทันหัน ก่อนสลายหาย ประดุจดั่งอสูรร้ายที่ตายแล้ว แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
ตลอดทั้งกระบวนการ เพียงผ่านไปแค่พริบตาเท่านั้น
ระยะเวลาสั้นๆ อสูรคลั่งทั้งมวลกู่ร้องคำรามกระทืบกีบเท้า ทิ้งรอยบุปผาโลหิตไว้ตามทางที่วิ่งผ่าน เบ่งบานตลอดรายทาง
“อีกครั้ง!”
คลื่นสัตว์อสูร เหนือเกินความคาดหมายของอาวุโสมู่ไปไกล
สัตว์อสูรตกตายลงนับพัน แต่จากที่เห็น สมควรมีจำนวนนับล้าน!
การศึกเป็นตาย เทพเซียนหลบลี้หนีหน้า หลงเหลือเพียงดวงจันทร์เว้าแหว่งปูดนูนบ้าคลั่งบนท้องฟ้า
ฟิ้วฟิ้ว!
ศรแหลมพุ่งพรมราวฝนโปรย ประดุจดั่งตั๊กแตนอพยพที่เสียดผ่านทุกสรรพชีวิต
อีกาที่หิวโหยบางตัวไม่อาจอดรนทนไหว ต้องบินถลาเข้ามาพัวพันในสนามรบนองเลือดเนื้อเละเทะ พริบตาก็ถูกเตะออกมาราวลูกกระสุน