เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 207 จับโจรจับหัวหน้า
ตอนที่ 207 จับโจรจับหัวหน้า
“คนเจ็บกี่คนแล้ว?”
ซ่งเล่อเม้มปากย่นจมูกด้วยความไม่สบายใจ “สองในสิบ ถูกสัตว์อสูรกลั่นดวงธาตุเหยียบย่ำ คลื่นสัตว์อสูรรอบนี้ใหญ่โตมโหฬารจริงๆ”
ใกล้ๆ เมืองซวนอู่ตั้งไว้ด้วยคูเมืองอีกสามทาง แม้ขนาดไม่ใหญ่ หากแต่ล้วนมีกลั่นดวงธาตุนั่งประจำการ
แค่คลื่นอสูรระลอกแรก เมืองถล่มคนทลาย คลื่นระลอกต่อๆ ไป เมืองซวนอู่คงต้องท่วมท้นว่ายลอยคอในทะเลโลหิตแล้ว
“ข้ามีการค้ามาเสนอ เอาไม่เอา?” ฉินจิ่วเกอยกนิ้วขึ้น
ซ่งเล่อสะสางงานในมือเรียบร้อย อารมณ์ค่อยผ่อนคลาย ยิ้มแย้มกล่าวถาม “อันตรายมากกว่า หรือผลตอบแทนมากกว่า?”
ฉินจิ่วเกอลดเสียงลง “อันตรายมาก ผลตอบแทนยิ่งมากกว่า”
“งั้นข้าเอาด้วย ทะเลดาบภูเขากระบี่ แล้วแต่เจ้า” ซ่งเล่อผงกศีรษะอย่างไม่นำพา ยังไงซะตอนนี้ถ้ายังแขวนอยู่กับเมืองซวนอู่ อนาคตไม่สดใสแน่
ผู้ฝึกยุทธ์ในเมืองมีไม่น้อย ต่างก็ชูอาวุธบุกตะลุยออกมาฟัดกับสัตว์อสูรรอบหนึ่ง
ต่อให้หลบในเมืองก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ยิ่งจะกลายเป็นภาระ
“ไปแจ้งแก่อาวุโสมู่หยวน ให้พาตัวแทนของผู้ฝึกยุทธ์ในเมืองไปรวมกันที่ห้องประชุม”
ฉินจิ่วเกอผายมือ มันไม่มีทางให้พรรคโลหิตนภาได้สมปรารถนา มิเช่นนั้นใต้หล้านี้คงยิ่งมิอาจแบ่งแยกดีเลวได้
“ฉินจิ่วเกอ ข้าเรียกคนมาแล้ว มีอะไรคิดกล่าวก็บอกออกมา” อาวุโสมู่ปราศจากท่าทีเช่นก่อนหน้าอีก เมื่อได้ลิ้มรสสถานการณ์เมื่อคืน จึงได้ซาบซึ้งว่าคลื่นสัตว์อสูรอาละวาดเป็นเยี่ยงไร
อันหยางมองอย่างใคร่รู้ไปยังน้องเขยของมัน มันนับว่าเป็นประเภทปั้นวาจาสะท้านทรวงจนผีสะท้านคนสะเทือน
แต่ทันทีที่พินิจใคร่ครวญโดยละเอียดแล้ว วาจาของมันล้วนคู่ควรทบทวนอีกรอบ
“ก่อนที่ข้าจะบอก อาวุโสโปรดชี้แนะว่า เมืองซวนอู่ที่แท้ยังต้านได้กี่วัน”
อาวุโสมู่หยวนใคร่ครวญในใจชั่วครู่ ก่อนผ่อนลมหายใจเอ่ย “ตอนนี้ มีผู้ฝึกวิชาเข้ามาสมทบไม่น้อยจากคูเมืองทั้งสามโดยรอบ สมควรยันไว้ได้สามวัน”
“งั้นหมายความว่า พวกเราไม่อาจรอจนความช่วยเหลือมาถึงได้ เมืองซวนอู่ตกอยู่ในความเสี่ยงถูกล้างเมือง ใช่หรือไม่?” ฉินจิ่วเกอเอ่ยสีหน้าเรียบเฉื่อย
กลั่นดวงธาตุที่นั่งอยู่ล้วนไร้วาจา
เมื่อคืน สามหัวหน้ารักษาคูเมืองโดยรอบล้วนต่อสู้จนตัวตาย นั่นคือสัญญาณเตือนที่ดังกระหึ่มต่อพวกมัน
มดมหาศาลสามารถล้มคชสารได้ บางครั้งกลั่นดวงธาตุเองก็ไม่อาจเหยียบใต้หล้าไว้ใต้ฝ่าเท้า
“จะว่าแบบนั้นก็ได้ ดูจากขนาดของคลื่นสัตว์อสูรแล้ว ทางด้านของสี่พรรคใหญ่เองก็คงเจอกับสัตว์อสูรกลั่นดวงธาตุไม่น้อย เกรงว่าภายในสามสิบวัน คงไม่อาจตั้งความหวังไว้ได้”
ลั่วเฉินหลังสะพายกระบี่หยก กลับมาจากด้านนอก
มันเพิ่งออกจากเมืองไป ทั้งยังช่วยผู้ฝึกตนกลับมาได้หลายคน เป็นผู้ฝึกตนอิสระพิสุทธิ์ไพศาลขั้นต้น
“ดี เมืองซวนอู่ตอนนี้ไม่อาจรักษาไว้ แต่ภายในเมืองมีลูกเด็กเล็กแดงทั้งสตรีและคนชรามากมายเกินไป หากรวมตัวกันออกจากเมือง ย่อมไม่พ้นถูกสังหาร ข้าขอเสนอให้พวกเราแบ่งกองกำลังในเมืองออกเป็นส่วนๆ”
ฉินจิ่วเกอยามนี้คู่ควรเป็นพระเอก เมืองซวนอู่ตอนนี้ตกอยู่ท่ามกลางวิกฤติ พวกตาขาวรับประกันไม้กล้าออกเพ่นพ่าน แต่จากที่ดูแล้วทุกคนในที่นี้ล้วนขวัญกล้า ไม่เพียงออกไปหลายรอบ ทั้งยังมีจำนวนไม่น้อย นำพากองกำลังเข้าสู่เมืองซวนอู่
“แบ่งยังไง?” อันหยางมุ่นคิ้วถาม
“รวมพิสุทธิ์ไพศาลในเมืองมาให้หมด ใช้ดาบให้ถูกที่ ให้พิสุทธิ์ไพศาลรวมเป็นกองกำลังขนาดย่อม ส่งออกไปนอกเมือง”
ผู้ฝึกตนชั้นพิสุทธิ์ไพศาลสามารถกระทำการได้หลายอย่าง ฉินจิ่วเกอเป็นเจ้าภาพ แบ่งกองกำลังหกส่วนออกไปนอกเมือง ใช้ดาบอ่อนเชือดกองกำลังทางปีกข้างของคลื่นสัตว์อสูร
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยอดยุทธ์พิสุทธิ์ไพศาล มีกำลังประหารราชันอสูรได้อยู่แล้ว
อสรพิษไร้เศียรไม่ขยับ ปักษาไร้หัวไม่บิน
ราชันสัตว์อสูรล้วนมีสัตว์อสูรในอาณัตินับร้อยพันตัว
จากเมื่อคืน คลื่นสัตว์อสูรที่ปะทุจากแดนร้างทักษิณ ระดับชั้นของสัตว์อสูรอยู่ที่หลอมวิญญาณและปราณสุริยัน
เช่นนี้สามารถคาดเดาได้ว่า ทันทีที่สังหารราชัน พวกมันย่อมเกิดความโกลาหล สามารถคลี่คลายสถานการณ์ฉุกเฉินได้
“ความหมายของเจ้าคือ ให้รวมพิสุทธิ์ไพศาลเป็นกองกำลังย่อย เข้าสังหารหัวหน้าสัตว์อสูร?” ลั่วเฉินฟังที่ฉินจิ่วเกอกล่าวออกในทันที ขณะที่ทุกคนกำลังใคร่ครวญ มันก็กล่าวโต้ตอบออกมา
ฉินจิ่วเกอผงกศีรษะรับ พระเอกย่อมมีขนาดสมองใหญ่กว่าผู้คน ยามรับประทานเต้าหู้ยังรับประทานมากกว่าคนทั่วไปสองชาม
“ว้าว เจ้าให้พิสุทธิ์ไพศาลทั้งหมดออกจากเมือง แล้วพวกเรามิใช่ต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ!” เฉียนหยุนทางด้านข้างไม่เอาด้วย ต้องกระโดดโลดเต้นออกมา ชี้นิ้วใส่ฉินจิ่วเกอ
เจ้าเด็กอวดดี ที่แท้ก็คือส่งมันออกไปตาย
ฉินจิ่วเกอแค่นเสียง มองเหยียดไปทางเฉียนหยุน “กลัวอะไร ราชันสัตว์อสูรบงการอสูรใต้อาณัติ สมควรรอจนยามค่ำคืนพลังหยินจึงพลุ่งพล่าน ใช้อานุภาพฟ้าเข้าควบคุมบงการสัตว์อสูรเข้าโจมตีพวกเรา กลับกันหากพวกเราออกไปจะยิ่งปลอดภัย”
“แต่ไปลอบสังหารราชันสัตว์อสูรอันตรายยิ่ง หากตกอยู่ในวงล้อมของพวกมันจะทำอย่างไร ต้องตายแน่เลย!” เฉียนหยุนร่ำร้อง มันอยากรั้งอยู่ในเมืองเป็นเดือนถูกห้อมล้อมด้วยขบวนดาวลูกสมุนยังจะปลอดภัยกว่า
อาวุโสมู่หยวนกระแอมออกมาสองคำ “เจ้านั่งลง ความคิดของฉินจิ่วเกอนับว่าใช้ได้ หากยังรั้งอยู่ในเมืองเท่ากับรอความตาย แต่หากสามารถออกไปเสี่ยงอันตรายลอบสังหารราชันสัตว์อสูรได้ สามารถยืดระยะเวลาการโจมตีจากคลื่นสัตว์อสูรได้”
“งั้นคนที่ต้องออกนอกเมืองก็อันตรายยิ่ง” เฉียนหยุนร้อนรน มันมองดูฉินจิ่วเกอด้วยแววตาชั่วร้ายน่าชัง บนใบหน้าสลักด้วยคำว่าไม่มีเจตนาดีตัวเบ้อเริ่ม
อย่างที่คาดไว้ ฉินจิ่วเกอหัวเราะเอ่ย “ข้าคิดว่าคุณชายเฉียนหยุนสมควรกระทำตัวเป็นแบบอย่างแก่ทุกผู้คน อย่างไรซะเจ้าก็เป็นศิษย์สายตรงของประตูหายนะ สมควรพลีชีพเสียสละเพื่อผู้คน”
“เจ้า เพ้อเจ้อ คิดออกมาได้ยังไง!” เฉียนหยุนล่าถอยไปหลายก้าว ชนเก้าอี้ไม้จนพลิกคว่ำ
อีกฝ่ายมันเกินคนไปแล้ว รู้ทั้งรู้ว่ามันรักตัวกลัวตาย กลับผลักมันออกเป็นกองทะลวงฟันเสียอย่างงั้น นึกว่ามันโง่เรอะ?
“อย่าได้สอดปากแล้ว!” อาวุโสมู่หยวนขึ้นเสียง ก่อนเอ่ยเสียงขรึม “วิธีการของฉินจิ่วเกอสามารถกระทำได้ นอกจากนี้ หากเมืองแตกจริงๆ พวกเรายังสามารถจุดไฟกองสุดท้ายแก่เผ่ามนุษย์ได้”
“เมืองซวนอู่ย่อมต้องรักษาไว้ได้ สัตว์อสูรเมื่อไม่พบการโจมตีจากกำแพงและคูเมือง ย่อมต้องมุ่งเข้าล่าล้างกองกำลังของพวกเราทางด้านนอก ดังนั้นข้าว่ากองกำลังเชือดสังหารราชันสัตว์อสูร ไม่ควรเกินหกในสิบส่วนของยามปกติ”
หากมิใช่ว่าตนเองมีพันธะอยู่ ฉินจิ่วเกอสามารถบิดาตายวันนี้มารดาแต่งวันพรุ่ง ต่างคนต่างแยกย้ายเรื่องของใครเรื่องของมัน แต่ยามนี้มันต้องยินดีรับเอาภาระหนักหน่วงในการป้องกันเมืองซวนอู่ไว้ การออกไปเสี่ยงตายนี้ มันมีส่วนร่วมด้วยแน่นอน
“อืม จะได้เท่าๆ กันหน่อย ใครสมัครใจออกไปให้ยืนขึ้น ออกจากเมืองก่อนฟ้าค่ำ ใครไม่อยากไป ให้รั้งอยู่ในเมือง ป้องกันเมืองอย่าให้ถูกตีแตก”
อันหยางคือกลั่นดวงธาตุ ย่อมต้องประจำการในเมือง สายตาชื่นมื่นที่มีให้ฉินจิ่วเกอยามนี้เลือนสลายไปแล้ว
ฉินจิ่วเกอลอบสบถในใจ เจ้าหมอนี่ ขี้เหนียวจริง น่าจะเอาศิลาวิญญาณให้ข้าสักหลายแสนเพื่อสนับสนุนหน่อยสิ
เฉียนหยุนยกมืออย่างร้อนรน “ข้าจะอยู่ในเมือง ช่วยทุกคนรักษาเมือง จะได้ช่วยแบ่งเบาอาวุโสมู่หยวน”
อาวุโสมู่หยวนใบหน้าเย็นเฉียบ เจ้าหมอนี่เป็นศิษย์สายตรงของประตูหายนะ ต้องชี้นิ้วด่าทอมันเป็นตัวขี้ขลาดตาขาวรอบหนึ่ง ตัวอะไรกันนี่ เป็นถึงศิษย์สายตรง น่าขายหน้านัก!
ซ่งเล่อยืนขึ้น “ข้าขออาสา ออกไปฆ่าราชันสัตว์อสูร”
“อืม ข้าเป็นคนเสนอ แน่นอนว่าต้องนับรวมข้าไปด้วย แต่ว่าช่วงที่ข้าไม่อยู่ ต้องรบกวนอาวุโสมู่หยวนดูแลศิษย์น้องของข้าด้วย”
“อืม เจ้าวางใจ เราผู้เฒ่าขอรับปากเจ้าในที่นี้”
ลั่วเฉินยังคงรักษาทีท่าราวหยกต้านลม ใบหน้าเรียบไร้ระลอกผันผวน คล้ายคลื่นสัตว์อสูรไม่ถือเป็นคลื่นลมอันใดต่อมัน “ข้าด้วย นับข้าไปอีกคน”
“ยังมีพวกเรา!” ผู้ฝึกตนอิสระที่ลั่วเฉินช่วยชีวิตมาร้องออกมาพร้อมกัน
บิดามารดาบุตรธิดาญาติพี่น้องพวกมันล้วนตกตายภายใต้กีบเท้าเหล็กของคลื่นสัตว์อสูร พวกมันต้องล้างแค้น กลัวตายอันใด!
“ดี พวกเจ้าล้วนเป็นผู้กล้า” อาวุโสมู่หยวนผงกศีรษะด้วยความยอมรับ คร้านจะสนใจเจ้าเฉียนหยุนนั่น
เฉียนหยุนลอบตบเท้า เจ้าพวกผู้ฝึกตนอิสระ ตายก็ตายไปสิ
ซ่งเล่อเมื่อเสนอหน้าออกไปเสี่ยงตาย เช่นนั้นก็ดีที่สุด หากมันถูกราชันสัตว์อสูรฆ่าล้าง นั่นยิ่งประหยัดแรงข้า
ตัวมันชาติกำเนิดสูงส่ง สายเลือดที่ไหลเวียนในร่างสูงส่งเลอค่ากว่าเจ้าพวกรากหญ้าแพรกพวกนี้ ตนเองไม่อาจตาย ไม่อาจตาย!
เมืองซวนอู่ยามนี้ มีพิสุทธิ์ไพศาลอยู่ประมาณร้อยห้าสิบคน นับตั้งแต่ขั้นต้นจนถึงสูงสุด และลดลงอย่างมีนัยยะ คัดเลือกออกมาร่วมเจ็ดสิบคนเป็นกองกำลังหัวหอกออกนอกเมือง เคลื่อนไหวตัดเศียรประหารสัตว์อสูร
จับคนจัดการม้า จับโจรจับหัวหน้า นี่คือหลักการดั้งเดิมแต่โบราณกาล
เมื่อแบ่งหน้าที่กันเรียบร้อย ต่างเคลื่อนไหวด้วยความรีบร้อน กระจายตัวกันออกจากประตูทั้งสี่มุมเมือง ออกจากเมืองก่อนฟ้ามืดค่ำ
กลุ่มย่อยสุดมีสามสี่คน มากสุดเจ็ดแปดคน กลุ่มก้อนกองกำลังทั้งมวล จากไปพร้อมลมประจิมหนาวเหน็บ
ฉินจิ่วเกอหันหลังกลับมามองเมืองซวนอู่ ค้อมเอวลง จากดินโคลนสีเหลืองที่ยังอุ่นร้อน สัมผัสได้ถึงคาวโลหิตกว่าครึ่งอวลตลบ ตนเองไปครานี้ ไม่ว่าสำเร็จหรือไม่ ต้องดูที่เจตนาฟ้าแล้ว
ทอดสายตาเสี้ยวสุดท้าย ฉินจิ่วเกอกอบดินคลุ้งเลือดครึ่งฝ่ามือเข้าใส่ในแหวนมิติ มวลอากาศระหว่างฟ้าดิน หยินหยางแบ่งแยกชัดเจนในยามนี้
ซ่งเล่อเหน็บกริชยาวประมาณฝ่ามือที่ข้างเอว อาภรณ์หวนไห้ในสายลม “พวกเราจะไปที่ใด?”
ฉินจิ่วเกอหยีตามองไปยังโลกหล้าไกลตาเหนือขอบฟ้า ดวงดาราหลั่งโลหิตราวผุดโผล่จากทะเลเลือด “พวกเรา ไปป่าปีศาจสวรรค์”
มองไปด้านหลังรอบหนึ่ง ลั่วเฉินรักษาท่าทีไร้ธุลีหมดจด ฉินจิ่วเกอลอบตกลงใจ บึงมารมรณา ยังไงย่อมต้องมีส่วนเกี่ยวข้อง เฒ่าเสียเยว่ลงไปไม่สำเร็จ ตนเองสามคนน่าจะทดลองดู
ส่งแขกร้อยลี้ยังต้องพรากจาก ฟ้าไร้เมตตาไร้ปราณี
“ประเสริฐ ไปป่าปีศาจสวรรค์” ซ่งเล่อเองก็ไม่ถามมากความ ระหว่างฟ้าและดิน ไปไหนก็ไปเถอะ
“พี่ซ่งอาจหาญนัก พวกเราไป” ฉินจิ่วเกอกล่าวจบ ก้าวเดินออกมุ่งไปข้างหน้า
ลั่วเฉินดีดนิ้วเสียงดังลั่น ส่งเสียงกระแอม “พวกเจ้าสองคน โง่เง่า”
“หือ?” ฉินจิ่วเกอไม่เข้าใจ โง่เง่าอันใด
ป่าเถื่อนร้างไร้ สภาพแวดล้อมแห่งโศกนาฏกรรม ไอวีรบุรุษฮึกหาญ คือฉากเปิดตัวท่ามกลางสายลมเย็นเหน็บหนาวที่ไม่ว่าใครก็ต้องหวั่นไหว
ลั่วเฉินกลอกตาตลบหนึ่ง มองดูสองคนไร้สมองที่เบื้องหน้า รู้สึกหนทางเบื้องหน้าช่างรางเลือนเหลือจะกล่าว “พวกเจ้าไปผิดทางแล้ว ถ้าจะไปป่าปีศาจ ต้องไปทางซ้าย เจ้าเดินไปข้างหน้าจะไปไหน?”
“แค่กแค่ก” ฉินจิ่วเกอและซ่งเล่อค้อมเอว ส่งเสียงกระแอมอย่างเร่งร้อน
วีรชนฉินใคร่ครวญทบทวนซ้ำ จากนั้นชี้มือไม้ไปยังพระจันทร์เลือดที่แขวนกลางท้องฟ้า “ศิษย์น้อง พวกเราดำรงอยู่บนโลกกลมๆ ต่อให้เดินไปผิดทิศ แต่แม่น้ำร้อยสายไหลรวมลงสู่ทะเลเดียว สุดท้ายย่อมต้องมาบรรจบ”
ซ่งเล่อกระตุกชายเสื้อฉินจิ่วเกอ “พี่ฉิน อย่าแถอีกเลย ยังไงที่นี่ก็ไม่มีคนอื่น ไม่ขายหน้าหรอก”
ฉินจิ่วเกอมองซ้ายมองขวา ในใจคล้อยตาม ดังนั้นสะบัดกระบี่ในมือ ชี้ไปยังทิศทางที่ถูกต้อง “มา พวกเราออกเดินทาง ทันทีที่ข้าร้องให้สัญญาณ ทุกท่านวิ่งได้เลย”