เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 23 สุภาพบุรุษถล่มตน
พอบรรลุถึงปากทางเข้า ฉินจิ่วเกอก็พบเห็นเศษซากกระดูกขาวจำนวนไม่น้อยกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ แน่นอน พวกมันย่อมไม่ได้จงใจมานอนเล่นอยู่ที่นี่
ขณะที่ฉินจิ่วเกอกำลังจะก้าวเท้าเข้าไป ฝุ่นดินก็ฟุ้งตลบขึ้นก่อน ตามมาด้วยรังสีกระบี่ที่พุ่งตรงมาทางทรวงอกของมัน
หากฉินจิ่วเกอยังเป็นผู้ฝึกตนชั้นหลอมวิญญาณ คาดว่ากระบี่สายนี้หากไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต
ทว่า พอฉินจิ่วเกอย่างเข้าสู่ขอบเขตปราณสุริยัน ร่างของมันก็แข็งแกร่งดั่งเหล็กไหล อำนาจคุกคามของรังสีกระบี่นี้จึงไม่อาจนับเป็นอย่างไรได้
ครืนน
ค้อนเหล็กหวดตัดอากาศจนเกิดเสียงครางกระหึ่มก้อง พลังวิญญาณขุมนั้นก็แตกสลายไป
ผู้เข้มแข็งย่อมไม่ปล่อยคน ฉินจิ่วเกอตระเตรียมสนองคืน เมื่อค้อนเหล็กสลายการจู่โจมได้แล้ว พลังวิญญาณก็ผนึกตัวเป็นบรรพตลูกหนึ่ง พุ่งไปทางรอยแตกที่รังสีกระบี่พุ่งออกมา
ตูม
พื้นดินสะเทือนไหว ฝุ่นดินฟุ้งตลบ ความมืดเริ่มสลายตัวลงเล็กน้อยจากพลังวิญญาณเมื่อครู่ ก่อนที่รังสีกระบี่อีกสายหนึ่งจะพุ่งออกมา
“มุดหัวหลบหางอยู่นั่น ยังไม่รีบออกมา!”
ฉินจิ่วเกอกางฝ่ามือตะปบออกไป นิ้วทั้งห้าที่แข็งดั่งเหล็กหลอมทลายรังสีกระบี่นั้นลงจนเป็นเศษเล็กเศษน้อย
ประกายกระบี่อันคมกริบวาบเข้าหาลำคอของฉินจิ่วเกอ พร้อมกับร่างของเสื้อคลุมดำที่โผล่ออกมาจากรอยแยก ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อคลุมดำ จนป่านนี้ก็ยังไม่ทราบว่าเป็นใบหน้าของบุรุษหรืออิสตรี
“เจ้าเสียสติไปแล้วรึ?” เสื้อคลุมดำถาม ครั้งแรกตนแค่เผลอโจมตีโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ไม่นึกว่าจะถูกฉินจิ่วเกอสลายไปได้ง่ายๆ
เป็นไปได้อย่างไร อย่าบอกนะว่ามันทะลวงจุดตันเถียน ฝ่าด่านได้แล้ว?
มองดูฉินจิ่วเกอที่ร่างกายเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา เสื้อคลุมดำก็รับรู้ได้ถึงภัยคุกคาม น้ำเสียงจึงผ่อนลงโดยอัตโนมัติ
“ข้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเป็นเจ้า ไหนๆ ก็ยอมโผล่หัวออกมาแล้ว มาสู้กับข้าสักตั้งมา” ฉินจิ่วเกอไม่ยอมปล่อยอีกฝ่ายไปง่ายๆ ค้อนในมือหวดออกเป็นคำรบสอง
เสื้อคลุมดำไม่อยากสู้รบพัวพันกับฉินจิ่วเกอ จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนข้อลงไปอีก “ตอนนั้นสถานการณ์บีบคั้น ไม่ใช่เพราะข้าต้องการจะทิ้งเจ้าไว้”
“เรื่องนั้นข้ารู้” ฉินจิ่วเกอผงกศีรษะเหมือนเข้าใจเรื่องราวเป็นอย่างดี “คนเราทำอะไรเอาไว้ก็ต้องไถ่บาปชดเชย เอาแหวนมิติของเจ้ามาให้ข้าแทนค่าเสียหายทางจิตใจที่ข้าได้รับแต่โดยดี”
“ฝันไปเถอะ!” เสื้อคลุมดำชักกระบี่ยาวออกจากฝัก คมกระบี่ชี้ขึ้นฟ้า
“ดูก็รู้ว่าเจ้าบาดเจ็บอยู่” ฉินจิ่วเกอมั่นใจในสมมติฐานของตัวเองเป็นอย่างยิ่ง ไม่รอให้เสื้อคลุมดำพูดอะไรอีก มันก็ออกกระบวนท่าทันที
“เจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว” เสื้อคลุมดำเดือดดาล กระบี่ในมือเสือกแทงเข้าใส่ฉินจิ่วเกอเป็นการตอบโต้
“เคล็ดประกายเยือกแข็ง” ล่วงรู้เป็นอย่างดีถึงความร้ายกาจของเสื้อคลุมดำ ฉินจิ่วเกอไม่กล้าลำพองใจ งัดเอาเคล็ดวิชายุทธขั้นหนึ่งเคล็ดประกายเยือกแข็งออกมาใช้ทันที
สมกับที่เป็นฉินจิ่วเกอ นอกจากเคล็ดท่าร่างระบำหงส์เหินแล้ว วิชายุทธอื่นๆ ในสายตาของฉินจิ่วเกอล้วนไม่มีค่าอันใด การที่มันสามารถสำแดงพลังของเคล็ดวิชายุทธขั้นหนึ่งออกมาได้จนไร้ที่ติ ที่จริงถือว่าเป็นอัจฉริยะโดยแท้
“หาที่ตาย” เสื้อคลุมดำเมื่อเห็นว่าฉินจิ่วเกอถึงกับดูถูกตนขนาดนี้ เพลิงโทสะในใจพลันคุคั่งแทบปะทุ
เจ้าก็แค่โชคดีทะลวงด่านมาหมาดๆ แต่ข้าเหยียบย่างเข้าสู่ขอบเขตปราณสุริยันตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว หรือยังต้องกลัวเจ้า?
“กระบี่มหานทีสะบั้นสุริยัน!”
รังสีกระบี่พลังวิญญาณหลอมรวมกลางอากาศ แปรสภาพเป็นเงากระบี่ยาวหลายเมตรที่วาดออกจากบนลงล่าง
ฉินจิ่วเกอเคลื่อนร่างหลบหลีก เงากระบี่กระทบพื้นจนพื้นดินส่ายไหว ยามฝุ่นซาที่ปรากฎคือรอยแยกยาวหลายเมตร พร้อมกับอุณหภูมิที่เริ่มไต่ระดับขึ้นสูง
“เคล็ดประกายเยือกแข็งใช้ไม่ได้ผล? ก็ได้ งั้นลองชิมวิชายุทธขั้นหนึ่งของข้าดูหน่อย หมัดเปล่าเล่าเปลือย”
ฉินจิ่วเกอไม่คุ้นกับเคล็ดวิชายุทธ ที่มันฝืนใช้กระบวนท่าขั้นหนึ่งทั้งที่ไม่เคยใช้มาก่อนก็นับว่ายากเย็นมากแล้ว
กระบี่มหานทีสะบั้นสุริยันของเสื้อคลุมดำ จะต้องเป็นเคล็ดวิชาขั้นหกเป็นอย่างน้อย
“เจ้าสู้ดีๆ ไม่เป็นหรืออย่างไร?” เสื้อคลุมดำเงยหน้ามองอีกฝ่าย ตอนนี้มันเกิดความคิดฆ่าฟันขึ้นมาแล้วจริงๆ
“ขออำภัยๆ ลองดูกระบวนท่าขั้นสามเคล็ดระบำหงส์เหินของข้าดูหน่อย” พูดจบ ร่างของมันก็พุ่งหายไปด้านหลังไกลเจ็ดแปดเมตร ท่วงท่าเหมือนกองทัพที่แตกร่นเพราะพ่ายแพ้อย่างถล่มทลาย ขยับเพียงครั้งเดียวพุ่งออกไปได้ไกลนับพันลี้
เสื้อคลุมดำอยู่ๆ ก็รู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นมา ลมหายใจปั่นป่วนไม่เป็นระเบียบ คล้ายจะกระอักเลือดออกมาได้ทุกเมื่อ
จับดาบประชันห้ำหั่นมันไม่กลัว แต่สิ่งที่ฉินจิ่วเกอแสดงออกมา เท่ากับหยามหยันกันชัดๆ เทียบได้กับการถ่มน้ำลายใส่คู่ต่อสู้ขณะฟาดฟันกัน
“ผิดพลาดๆ เพิ่งฝ่าด่านปราณสุริยันได้ไม่นาน ทำให้ข้าไม่คุ้นเคยกับพลังวิญญาณในตอนนี้เท่าใด ขอข้าลองใหม่อีกรอบ”
ใบหน้าอันหนาทนของฉินจิ่วเกอยากจะเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่ท่าทางของมันตอนนี้คล้ายกำลังกระดากอายนัก
“ไสหัวไปให้พ้น!” ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เสื้อคลุมดำหายใจหอบถี่ โลหิตไหลออกปากออกจมูก
พรวด ไม่รอให้ฉินจิ่วเกอได้สำแดงวรยุทธอันล้ำเลิศใหม่อีกครั้ง เสื้อคลุมดำก็กระอักโลหิตออกจากปาก ร่างซวนเซล้มลงไปกองกับพื้น
“คงไม่มั้ง?” ปากของฉินจิ่วเกออ้ากว้างจนแม้แต่ไข่ทั้งฟองก็ยังยัดเข้าไปได้ “อย่าบอกนะว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในมิติมายาจะกลายเป็นจริง? ที่แท้ข้าสำเร็จวิชาเทพครองโลก บรรลุถึงขั้นตีวัวข้ามภูเขาแล้วจริงๆ”
แค่กๆๆ เสื้อคลุมดำกระอักไอติดๆ กันเป็นชุด ราวกับถูกความอหังการ์ของฉินจิ่วเกอสั่นกระแทก
“ไอหยา นี่ท่านกระอักเลือดเชียวรึ?” เรื่องอย่างเห็นคนตกน้ำยังโยนหินลงไปซ้ำ ฉินจิ่วเกอย่อมไม่มีทางทำ มันรีบถลันเข้าไปประคองร่างของเสื้อคลุมดำเอาไว้ด้วยสีหน้าดั่งบุตรผู้เปี่ยมความกตัญญู
กลิ่นหอมหอบหนึ่งพัดโชยเข้าจมูก เสื้อคลุมดำลมหายใจอ่อนระโหย เนื้อตัวอ่อนนุ่ม
อิสตรี?
ต่อให้ยามนี้อยู่ใกล้จนแนบชิด แต่อีกฝ่ายใช้ผ้าบางๆ ปิดบังใบหน้าเอาไว้ ฉินจิ่วเกอจึงยังดูไม่ออกว่าอีกฝ่ายหน้าตาเป็นเช่นไร
“รู้ทั้งรู้ว่าบาดเจ็บก็ยังไม่วายเต้นแรงเต้นกาจนอาการย่ำแย่ ดูเจ้าสิ นอนเป็นเป็ดใกล้ตายแต่ก็ยังบ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับความผิด” ฉินจิ่วเกอส่งสายตาหยอกเย้าไปทางเสื้อคลุมดำ สื่อความหมายชัดเจนว่าเจ้านี่ช่างทะเล้นจริงๆ
เสื้อคลุมดำพูดไม่ออก คนบังเกิดโทสะจนอกกระเพื่อม หากมิใช่เพราะถูกเจ้ายั่วโมโห ข้าจะกระอักเลือดออกมาเรอะ?
ละแวกนี้ไม่ใช่ไม่มีเหล่ากองทัพโครงกระดูกอันแข็งแกร่งเหล่านั้น หากแต่เป็นเพราะล้วนถูกเสื้อคลุมดำกำจัดฆ่าไปแล้วต่างหาก ไม่รอให้เสื้อคลุมดำด่าทอออกมาอีกคำรบ ฉินจิ่วเกอล้วงควักโอสถระดับสามออกมาอย่างระมัดระวัง นี่ถือเป็นสมบัติที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บอันล้ำค่ายิ่ง
ถนอมไว้บนฝ่ามือ เด็กน้อยซ่งเล่อนั้น ในแหวนมิติเพียงมีตัวยานี้อยู่สามเม็ดเท่านั้น
“รีบย่อยสลายยาเข้า พวกเราต่างก็เป็นสหายร่วมทาง” ฉินจิ่วเกอพูดจนหวั่นไหว คำพูดคำจาอบอุ่นอ่อนโยนเต็มอก
มันลูบหลังลูบไหล่เสื้อคลุมดำ ฉินจิ่วเกอใจกว้างยิ่ง ใบหน้าฉาบด้วยรอยยิ้มบาน “ตกลงกันก่อน เรื่องราวอย่าได้ปล่อยให้เกิดซ้ำอีก ต่อไปห้ามทิ้งข้าหนีไปคนเดียว”
อาจเป็นเพราะเสื้อคลุมดำไม่อาจอดกลั้นต่อการกระตุ้นโทสะของฉินจิ่วเกอจึงทุ่มมิตรภาพที่ฉินจิ่วเกอเสนอออกมานี้ทิ้งไปอย่างไม่ไยดี ทว่ายังเพียงแค่นเสียงขึ้นจมูกดังเฮอะคราหนึ่งเท่านั้น
“ซ่งเล่อคงอยู่ด้านในกระมัง?” ฉินจิ่วเกอยิ้มหวาน “ข้าจะลองเข้าไปดูหน่อย ในรัศมีสิบลี้โดยรอบสมควรไม่มีกระดูกขาวระดับสูงอยู่อีก เจ้าทำใจให้สบายย่อยสลายยาอยู่ที่นี่แหละ”
“ระวังตัวด้วย” เสื้อคลุมดำดึงผ้าปิดหน้าต่ำลง เอ่ยเสียงอุบอิบเย็นชา
ฉินจิ่วเกอเดินตรงเข้าสู่ปากถ้ำโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองอีก ท่วงท่าผึ่งผายเปี่ยมความมั่นใจ
เสื้อคลุมดำขณะมองตามร่างของฉินจิ่วเกอที่เคลื่อนห่างออกไปทุกที ความรู้สึกแปลกๆ ในใจกลับเพิ่มมากขึ้นอีกหลายส่วน
คุณค่าของคนอยู่ที่ใด? มิใช่การปฏิบัติดีกับผู้อื่น แต่เป็นการให้อภัยตัวเอง
ฉินจิ่วเกอกลับไม่คิดแค้นเรื่องก่อนหน้า มันกระทั่งยกมอบของมีค่าอย่างโอสถระดับสามให้แก่ตนโดยไม่อิดออด สภาวะเยี่ยงนี้ เทียบกับเมื่อหลายเดือนก่อน ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว
ฉินจิ่วเกอในยามนี้ นอกในล้วนเป็นเหมือนสุภาพบุรุษในหมู่สุภาพบุรุษ
เสื้อคลุมดำพยักหน้าให้กับตนเองด้วยความโล่งอก ศิษย์พี่ใหญ่คนนี้ ดูแล้วก็ไม่เลวร้ายเกินไปนัก พอนึกได้ว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะมาเอ้อระเหยลอยชายได้ จึงตั้งใจจะเอาโอสถออกมาย่อยสลาย แต่พอคลำหาของที่ควรอยู่บนนิ้วเท่านั้นแหละ
พรึ่บ
เสื้อคลุมดำราวกับถูกวานรสวรรค์เกาะเกี่ยว คนทะลึ่งกายขึ้นพรวดพราด
บ้าจริง แหวนมิติหายไปไหนแล้วเล่า? และแล้วก็นึกถึงบทสนทนาระหว่างตนกับฉินจิ่วเกอเมื่อครู่ขึ้นมา อีกฝ่ายบอกว่าจะไม่เอาเรื่องที่หักหลังกันก็จริง แต่ก็เรียกร้องกลับมาเช่นกันว่าให้จ่ายค่าเสียหายทางจิตใจด้วยแหวนมิติ
ดูท่าแล้ว พฤติการณ์ทั้งมวลของฉินจิ่วเกอเมื่อครู่ ที่แท้ล้วนเลวทราม กลับฉวยโอกาสรูดเอาแหวนมิติบนนิ้วของตนเองไป
มิผิด เป็นการรูดทรัพย์ เสื้อคลุมดำยินยอมให้อีกฝ่ายท้าสู้กับตนอย่างเปิดเผย จากนั้นค่อยชิงเอาของไป แต่ไม่ยินยอมถูกหลอกรับประทานเช่นนี้
สมควรตาย คงมิใช่มันเดาออกว่าตนเองคือใคร เลยคิดกระตุ้นโทสะข้าจนอกแตกตายหรอกนะ?
ที่แท้ ตนเองเกือบถูกมันยั่วโมโหตายแล้ว ใจคนแปรเปลี่ยนผัน คุณธรรมในโลกล้วนตกต่ำลงทุกวี่วัน
น่าเสียดายที่เมื่อครู่ตนกลับถูกความเมตตาและรอยยิ้มของฉินจิ่วเกอทำให้หวั่นไหว ตอนนี้ย้อนทบทวน เมตตากะผีน่ะสิ นี่มันอันธพาลซ่อนปณิธานชัดๆ!
ช่างเถอะช่างเถอะ เสื้อคลุมดำปลอบใจตนเอง ยังดีที่อีกฝ่ายควักโอสถเยียวยาระดับสามออกมาแลกเปลี่ยน มิเช่นนั้นต้นทุนก่อการร้ายของมันนับว่าต่ำเตี้ยเรี่ยดินเกินไปแล้ว
ไม่ถูกต้อง เสื้อคลุมดำใคร่ครวญโดยละเอียด เกือบต้องเหลือกตากลับสู่แดนสุขาวดี
“เดรัจฉาน เดรัจฉาน!” เสื้อคลุมดำดวงตาเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำ ตอนนี้มันล้วนเข้าใจกระจ่าง เพราะเหตุใดคนโบราณว่าไว้มิให้ทารกเลวและทารกดีเล่นด้วยกัน
ฝีมือของเด็กเลวไม่แน่ว่าจะสูงส่ง หากทว่าจิตใจกลับไม่เรียบง่าย
โอสถระดับสามบ้านผู้ใดกัน ที่จริงคือเศษผงโอสถระดับสามที่เคลือบก้อนดินปั้นเอาไว้ต่างหาก เพียงนี้เท่านั้น
“ตัวบัดซบ! อาหารในพรรคหลิงเซียวเปลี่ยนเป็นประเสริฐถึงปานนี้? กินไปแล้วไม่สูงใหญ่ไม่อ้วนท้วน แต่ไปพอกที่หนังหน้าหนาๆ นั่นแทน!”
เพลิงโทสะของเสื้อคลุมดำลุกฮือโหม โขดหินที่อยู่ด้านข้างถูกฟาดจนแหลกละเอียด แผ่ร่วงกระจัดกระจายราวใยแมงมุม
ฉินจิ่วเกอมิใช่เทพเซียนอันใด แน่นอนย่อมไม่ทราบว่าตนเองก่อคดีไว้ภายหลังเกิดเรื่องอันใดขึ้น
เรื่องที่มันมาจากพรรคหลิงเซียวแม้แต่ซ่งเล่อก็ยังไม่รู้
แต่เสื้อคลุมดำกลับรู้ความเป็นมาของมัน หากฉินจิ่วเกอรู้ล่วงหน้าว่าการกลับตัวกลับใจเป็นเรื่องที่ไม่อาจเป็นไปได้ มันก็คงเปลี่ยนยารักษาเป็นยาพิษแทนไปแล้ว
และแล้วแหวนมิติอีกวงก็ตกอยู่ในมือมัน ฉินจิ่วเกอลิงโลดยินดี เหมือนคนที่ติดอยู่ในทะเลทรายพลันค้นพบบ่อน้ำอันเย็นฉ่ำ
เดินลึกเข้าไปในถ้ำ พื้นที่รอบตัวเริ่มขยายกว้างขึ้นทีละน้อย จนมาถึงพื้นที่เปิดโล่งชนิดที่สามารถบรรจุสนามฟุตบอลเอาไว้ได้แห่งหนึ่ง
ที่นี่ไม่ใช่ยอดเขา ทั้งไม่ใช่ไหล่เขา แต่เป็นใจกลางภูเขา แกนโลกที่อยู่ลึกลงไปในดินกว่าพันเมตร แม้แต่ยอดฝีมือชั้นกลั่นดวงธาตุยังไม่แน่ว่าจะทำลายก้อนศิลาในสถานที่เช่นนี้ได้
สั่นสะเทือนยอดผานั้นทำได้ง่าย แต่คิดระเบิดเชิงเขานั้นย่อมทำได้ยาก
บ่งบอกว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่เป็นฝีมือของมนุษย์
ฉินจิ่วเกอตกตะลึงถึงขีดสุด หากก็รู้สึกชื่นชมจากใจจริง สามารถเปิดสร้างมิติระดับนี้ทั้งที่อยู่ลึกลงไปในดิน ระดับฝีมือของอาวุโสท่านนั้นย่อมต้องบรรลุถึงขอบเขตสูงสุดแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
มันจดจำได้ สมรภูมิโบราณด้านนอกนั่น อย่างมากถูกระเบิดยอดเขาสูงจนเหลือแต่พื้นราบ เชิงเขายังคงอยู่ แตกหน่อขึ้นมาราวกับกอไผ่
“ที่แท้เพราะเหตุใดถึงเปิดสงคารมล้างโลกเช่นนั้น หรือว่าติดค้างเงินผู้คนมากมายปานนั้นจริงๆ?”
ฉินจิ่วเกอเดินเข้าด้านใน ในกรอบสายตามีแต่ความมืดมิด ในความสับสนไม่อาจแยกแยะวัตถุสูงต่ำใหญ่เล็ก เพียงสามารถเค้นสัมผัสเทวะมองเห็นได้ระยะไม่กี่นิ้ว
มองเห็นด้านหน้ามีเงาคนวูบวาบ ฉินจิ่วเกอกระตุ้นตนเอง เดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง
ในความมืด จู่ๆก็มีศีรษะมนุษย์ไร้ทวารทั้งห้าโผล่พรวดออกมา ภายใต้บรรยากาศเย็นเยียบ ประหลาดพิกลอย่างถึงที่สุด
“แม่จ๋า!” ฉินจิ่วเกอหมุนกายกลับหลังหันตระเตรียมเผ่น ชั่วประกายไฟวาบ กลับยังคงมองเห็นศีรษะไร้ทวารทั้งห้านั้นค่อยๆ หมุนมา เปล่งเสียงฮือฮือของโครงกระดูกปีศาจ
นี่มีอันใดประหลาด? คนยืนหันหลัง ก็มองเห็นแค่ด้านหลังเท่านั้น ผู้ใดมีทวารงอกเงยที่ด้านหลังศีรษะเล่า?
เห็นดวงตาเปี่ยมเสน่ห์ของคุณชายรูปงามคู่นั้นมองตรงมาด้วยแววตาเปี่ยมคำถามข้างต้น สถานการณ์ดูไม่ค่อยน่าหลบหนีเท่าใดแล้ว
“เอาล่ะ เจ้าช่างไร้น้ำใจเกินไปจริงๆ ทิ้งข้าเอาตัวรอดถือว่าแล้วกันไป ตอนนี้สหายหวนพบหน้า กลับแกล้งทำเป็นผีมาหลอกข้า” ฉินจิ่วเกอตบอกปลอบขวัญตัวเอง ชัดเจนว่าถูกศีรษะไร้ทวารเมื่อครู่สร้างความแตกตื่นไม่น้อย
ได้พบฉินจิ่วเกออีกครั้ง เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายซ่งเล่อไปไกล
ในฐานะวีรบุรุษที่ถูกยุทธภพขนานนามว่าเสี่ยวเมิ่งฉาง(หมายถึงมีน้ำใจสหาย การคบหากว้างขวาง) มันกลับทอดทิ้งสหายร่วมรบยามคับขันเอาตัวรอดอย่างลอยนวลมาผู้เดียว พี่น้องเมื่อพบหน้าอีกครา จึงคล้ายถูกทอนความมั่นใจไปหลายส่วน