เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 28 ต่างได้รับวาสนา
ฉินจิ่วเกอได้ฟังแล้วแทบหน้าหงาย “เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นดวงธาตุทองคำ ไม่ใช่นิ่วน้ำดี?”
“ท่านหลีกไปหน่อย” ตลกแล้ว ดวงธาตุทองคำของสัตว์ประหลาดกฎสรรพสิ่งนั้นคือทองคำทั้งแท่ง ซ่งเล่อไม่อยากได้สิจึงจะแปลก
ซ่งเล่อไม่ได้เอ่ยขอบคุณให้เป็นที่น่ากระอักกระอ่วนใจ แต่ในใจมันได้จดจำมิตรภาพครั้งนี้เอาไว้แล้ว
“เทพราชันทลายสวรรค์ ผ่าสะบั้นหยินหยาง!” เงาอวตารยักษ์พลันปรากฎขึ้นอีกครั้ง หลังตวาดคราหนึ่ง เงาอวตารก็แปรสภาพเป็นมีดดาบขนาดใหญ่ ตวัดลงสู่ดวงธาตุทองคำที่ผนึกพลังฝึกปรือชั่วชีวิตเอาไว้อย่างเหี้ยมเกรียม
ปัง
ดวงธาตุทองคำที่เคลือบคลุมไปด้วยลวดลายหมุนวนพลันปรากฎรอยแตกร้าวเล็กๆขึ้น เพียงพริบตาก็แยกออกเป็นสองส่วน จากนั้นแยกย้ายลอยเข้าสู่หว่างคิ้วของคนทั้งคู่
ทั้งสองไม่กล้าชักช้า มรดกตกทอดของยอดยุทธ์กฎสรรพสิ่งมิใช่เล็กน้อย หากชักช้าไม่ทันการณ์ อาจต้องตัวแตกตายทั้งเป็น
ในห้วงสมองปรากฎไอพลังดึกดำบรรพ์อันเจือจาง ร่องรอยแห่งโบราณกาลที่เก่าแก่จนเกินหยั่ง กำเนิดเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนกำเนิดแห่งฟ้าดิน
ช่างเก่าแก่โบราณจนเกินไปแล้ว เก่าแก่จนไม่มีแม้แต่สิ่งมีชีวิตใดเคยเป็นประจักษ์พยานมาก่อน
มนุษย์ เมื่ออยู่ต่อหน้าของไอพลังอันเก่าคร่านี้ ช่างอ่อนเยาว์นัก
ณ ที่ลึกลงไปของต้นกำเนิดแห่งจุดเริ่มต้นของโลกหล้า เริ่มปรากฎเงาร่างหนึ่งขึ้น กำลังสำแดงเคล็ดวิชายุทธ์ต่างๆนาๆ พิฆาตทั้งแปดทิศ
ที่ฉินจิ่วเกอได้รับมา คือเคล็ดวิชาดึกดำบรรพ์ ยังเหนือล้ำกว่าเคล็ดวิชาระดับเก้าที่แพร่หลายบนแผ่นดินในปัจจุบันไปไกลห่าง
แน่นอน ที่ซ่งเล่อได้รับ สมควรเป็นเคล็ดกำลังภายในที่อาวุโสท่านนั้นฝึกฝน เป็นเคล็ดวิชาที่สาบสูญจากการสืบทอดเช่นกัน
มรดกชนิดนี้เพียงสามารถรับรู้ได้ทางจิตมิอาจเอื้อนเอ่ยพรรณนาออกมาเป็นคำพูด
มีคนกล่าวว่า เคล็ดวิชายุทธโบราณล้ำเลิศพลิกฟ้าจนเกินไป บันดาลให้สวรรค์เบื้องบนยังต้องริษยา
ด้วยเหตุนี้มรดกที่ว่าในแต่ละวาระจึงมีผู้สืบทอดได้เพียงคนเดียว
“เราผู้ชราท่องเหนือจรดใต้มาเป็นเวลาสามพันปี สู้รบกรำศึกมามากมายจนมิอาจนับคำนวณได้ เพราะกฎเกณฑ์สภาวะต่ำเตี้ยจนเกินไป อาศัยพละกำลังมุ่งสู่มรรคาวิถี เมื่อบรรลุสุดขอบพลัง ตัดผ่ามิติทำลายกฎเกณฑ์ก็มิใช่เรื่องเกินตัวอีกต่อไป ในหมู่สัตว์วิเศษทั้งสี่ กิเลนถือครองพลังสะท้านนทีสะเทือนสวรรค์ ดังนั้นเคล็ดวิชายุทธนี้จึงเรียกว่าเคล็ดกิเลนครองฟ้า เก็บตะวันดับจันทรา!”
สุ้มเสียงเก่าคร่ำคร่าดังขึ้นที่ข้างหูฉินจิ่วเกอ ระเบิดกึกก้องจนแก้วหูแทบแตก ทุกถ้อยวาจาประทับดวงตาเข้าสู่ดวงจิต ลั่นสะท้านราวสายอสนีบาตฟาดผ่า
ฉินจิ่วเกอรู้สึกหัวสมองพองโต ฝืนต้านทานพลังไพศาลที่สามารถบดขยี้สรรพสิ่งนั้นไว้ มวลความรู้ปริมาณมหาศาลราวท้องสมุทรหลั่งทะลักเข้าสู่ภายในห้วงสมอง
ขอบเขตพิสุทธิ์ไพศาลที่อยู่เหนือปราณสุริยัน ห้วงสมองเปิดจุดหลิงไถ ใช้ในการบ่มเพาะเลี้ยงแก่นวิญญาณที่เติบโต
หากผู้ได้รับมรดกเป็นชนชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขึ้นไป สามารถหยิบยืมใช้ช่องว่างในหลิงไถ รองรับมรดกเข้าไปย่อมง่ายดายยิ่ง
ทว่าผู้ฝึกตนชั้นปราณสุริยัน วิถีฝึกตนยังคงไม่มั่นคง เวลานี้ต้องรองรับมรดกบรรพกาล ผลประโยชน์ที่ได้รับกลับยิ่งมหาศาล
ในห้วงสมอง ความทรงจำส่วนลึกเรืองประกายเส้นแสงขึ้น ฟ้าดินถูกฉีกกระชาก สรรพสิ่งทั้งมวลถูกรวบไว้ในฝ่ามือ
ควบคุมจักรวาล บงการเป็นตาย มิใช่เรื่องเหลวไหล
อาวุโสท่านนั้นมิเพียงร่างกายสูงใหญ่กว่าคนทั่วไป ทว่าพลังวิญญาณภายใน เพียงขับเคลื่อนเล็กน้อยก็สามารถขับสลายเมฆบนท้องนภาให้หมดไป
ฝ่ามือยักษ์ฉีกกระชากห้วงมิติ เขย่าสั่นกฎเกณฑ์ ฟาดทำลายกฎเกณฑ์ที่บงการสรรพชีวิตจนแหลกสลาย
บ่อยครั้งที่พลังทำลายใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด หนึ่งพลังทุบทำลายสิบความเป็นไปได้ กฎเกณฑ์ต่อให้มีระดับสูงกว่านี้ ยังมีวันหมดสิ้น
“เคล็ดกิเลนครองฟ้า หลอมรวมสรรพธาตุ แบ่งแยกหยินหยาง คือเคล็ดวิชายุทธ์สูงสุดที่ข้าสั่งสมมาตลอดสามพันปี เคล็ดวิชานี้ หนึ่งกระบวนท่าสามารถโค่นสามยอดยุทธ์กฎสรรพสิ่งขั้นสุดพ่ายแพ้ น่าเสียดายที่ต้องปราชัยแก่บรรพชนขอบเขตสุญญตา น่าเสียดาย!”
เงาร่างที่คล้ายสามารถค้ำฟ้าดินค่อยๆ สลายหายไป คลื่นสมุทรป่วนปั่นภายในห้วงสมองเองก็ค่อยสงบลง ฉินจิ่วเกอยามนี้หลั่งเหงื่อท่วมศีรษะจนชุ่มโชก ทั่วร่างคล้ายตกลงไปในทะเลสาบก็ไม่ปาน
ประเสริฐ ที่แท้อาวุโสท่านนี้โดดเดี่ยวมาสามพันปี ที่ฝึกฝนคือเคล็ดกิเลนครองฟ้าในตำนาน
อาศัยเคล็ดกิเลนครองฟ้า บรรลุสู่พลังขั้นสูงส่งสุดสูง สามารถทลายกฎเกณฑ์ไม่เห็นมิติในสายตา โค่นยอดฝีมือกฎสรรพสิ่งสามคนจนราบคาบ!
น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไปล่วงเกินยอดฝีมือที่เหนือชั้นกว่ากฎสรรพสิ่งเข้า ด้วยความต่างชั้นทางพลัง จึงถูกบดขยี้คามือ
อาวุโสท่านนั้นสำนึกเสียใจเอาภายหลังก็ไม่ทันแล้ว เป็นเพราะถูกทำร้ายจนแก่นวิญญาณแตกสลาย ต้องมานั่งละสังขารจบชีวิตลงที่นี่
เห็นถึงตรงนี้ เลือดลมในกายฉินจิ่วเกอก็เดือดพล่าน ราวกับว่าตนเพิ่งเข้าไปอยู่ในยุคแห่งการฆ่าฟันล้างผลาญมาก็ปาน
ชนชั้นกลั่นดวงธาตุ กฎสรรพสิ่ง ไร้ขอบเขตต่างก็ปรากฎตัวกันอย่างมืดฟ้ามัวดิน ต่างฝ่ายต่างฟาดฟันห้ำหั่นกันจนฟ้าดินถล่มทลาย ชีวิตตกตายเป็นใบไม้ร่วง!
“มารดามันเถอะ เคล็ดกิเลนครองฟ้าที่ว่า คงมิใช่ต้องครองตัวเป็นโสดจึงจะฝึกฝนได้หรอกนะ?” หลังสืบทอดมรดกวิชายุทธทั้งหมดแล้ว ฉินจิ่วเกอก็มานั่งกลัดกลุ้มกับปัญหาคับอกนี้
แม้จะปรารถนาพลัง แต่เรื่องอย่างการครองตัวเป็นโสดนี้ ยังคงปล่อยให้ธรรมชาตินำพาจะดีกว่า
หากต้องครองพรหมจรรย์เพื่อสำเร็จวิชากิเลนคลองถมกระไรนี่จริงๆ ฉินจิ่วเกอขอเลือกที่จะไม่ฝึกดีกว่า
ยังดีที่อาวุโสท่านนี้เป็นพวกผึ่งผายตรงไปตรงมา วิชายุทธที่มันสร้างขึ้นจึงไม่มีเงื่อนไขพิสดารพันลึกใด คำพูดอย่างเจ้าจะต้องสำเร็จวิชาเทพเสียก่อนจึงจะฝึกได้กระไรนั่นยิ่งไม่มี
จากชิ้นส่วนความทรงจำ ฉินจิ่วเกอได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสมรภูมิโบราณมาบ้าง
อาวุโสท่านนี้ปลีกตัวสันโดษมานานสามพันปี ออกอาละวาดไปทั่วหล้าจนไร้คู่ต่อกร
จนมีอยู่ครั้งหนึ่งที่มันออกพเนจรและบังเอิญพบรักกับสตรีชาวอสูรนางหนึ่งเข้า น่าเสียดายที่ความรักอันชื่นมื่นระหว่างบุคคลทั้งสองไม่ดำรงอยู่นาน ศึกโลกาวินาศพลันปะทุขึ้นในตอนนั้น เผ่ามนุษย์มารอสูรต่างเข่นฆ่าหมายชีวิตกันอย่างไม่เลือกหน้า
ศึกในครั้งนั้นขยายออกเป็นวงกว้าง จนสุดท้ายก็กระทบไปถึงสรรพชีวิตทั่วฟ้าดิน อาวุโสท่านนั้นจึงมิอาจไม่ตัดใจเลือก
มันและภรรยามาถึงใจกลางสมรภูมิโบราณ มีเพียงตัวประหลาดชนชั้นกฎสรรพสิ่งจึงมีคุณสมบัติเข้าสู่สถานที่นี้
คนพยายามหยุดยั้งห้ามปรามบรรดายอดฝีมือที่เข่นฆ่าล้างผลาญจนตาแดงก่ำเหล่านั้น ทว่าอาวุโสท่านนี้ดูเบาคนที่ถูกความแค้นบดบังนัยน์ตาเกินไป
มันเข้าสกัดยอดยุทธ์ชั้นกฎสรรพสิ่งเผ่ามนุษย์สามคนไว้ ดังนั้นสะกิดเพลิงโทสะของบรรพชนชั้นสุญญตาเข้า ถูกคนล้างสังหาร
สำหรับคู่ครองที่ครองรักกันมาก็ร่วงหล่นลงท่ามกลางสงครามอันนองเลือดเช่นกัน
ความดุเดือดเลือดพล่านของสงคราม กระทั่งผืนแผ่นทวีปยังถูกกวาดล้างทำลาย
ฉินจิ่วเกอฟื้นตื่นจากห้วงโบราณกาลอันลี้ลับไพศาลไร้ขอบเขต จิตใจและร่างกายล้วนเต้นระรัว เสื้อผ้าอาภรณ์ตลอดร่างเปียกปอนชุ่มโชก แม้แต่ลมหายใจยังอุ่นชื้น มหาสงครามอันร้ายกาจนัก ห้วงมิติแห่งนี้ เพียงเป็นซอกหลืบหนึ่งที่ถูกฟาดแตกกระจายออกมาเท่านั้น
ยังดีที่ตนเองเกิดมาในยุคสมัยอันสงบสุข ในใจฉินจิ่วเกอปรากฎความหวาดหวั่น มิเช่นนั้นกระทั่งยอดยุทธ์ชั้นกฎสรรพสิ่งเอง ยังมีอันตรายถึงชีวิต
อีกฝ่าย อันที่จริงเป็นผู้สูงส่งมากน้ำใจ ฉินจิ่วเกอลอบนับถือเลื่อมใสในใจ ต้องโขกศีรษะคารวะสามคราหน้าป้ายหลุมศพ ก่อนถอนใจบางเบา
ไม่นาน ซ่งเล่อเองก็ตื่นจากห้วงภวังค์
สองคนเพียงแต่ย่อยสลายมรดกที่ถูกป้อนเข้าใส่ในห้วงสมอง ส่วนจะสามารถเก็บรักษาและขัดเกลาไปได้ไกลเท่าใด ยังคงต้องพึ่งพาพรสวรรค์และพลังของแต่ละคน
สามารถได้รับสืบทอดมรดกแห่งกฎสรรพสิ่ง ดูดซับดวงธาตุทองคำ ยังหวังก้าวหน้าก้าวใหญ่
การฝึกฝีมือย่อมต้องอาศัยเวลา เปรียบเช่นดั่งการบ่มเพาะความสูง ยิ่งเริ่มแต่อายุเยาว์ ผลลัพธ์ยิ่งทรงประสิทธิภาพ
“พี่ฉิน จากนี้พวกเราสองร่วมเป็นร่วมตาย หากมีอันใดให้ช่วยเหลือ ขอให้ออกปากอย่าได้เกรงใจ” ซ่งเล่อลั่นสาบานเป็นจริงเป็นจัง ในใจของมันกระจ่างที่สุด มรดกชิ้นนั้นสำหรับกับมันแล้วมีความหมายใด
ฉินจิ่วเกอจ้องมองซ่งเล่ออย่างขมขื่น “ยังคงเป็นประโยคเดิม ไม่มีศิลาวิญญาณ ก็เขียนหนังสือบันทึกหนี้เถอะ”
“ฮ่าฮ่า” ซ่งเล่อหัวเราะแห้ง เอ่ยอย่างหยอกเย้า “ซุกซนจริงๆ”
“เฮอะ เทียบกับพลังราชันครองฟ้าอันใด ที่ข้าชมชอบกว่าก็คือเงินทอง มิสู้รอเจ้าฝึกปรือจนสำเร็จวิชา ถึงเวลาแบ่งสมบัติเจ้าครึ่งนึงให้ข้า แค่นั้นข้าก็พอใจแล้ว”
ฉินจิ่วเกอมองดูท้องฟ้าด้วยดวงตาอาดูร สีของท้องฟ้ายามนี้ช่างเต็มไปด้วยความผิดหวังแพ้พ่ายไม่ต่างจากจิตใจตนเอง
คิดมีเงินทองร่วงหล่นใส่ ไม่ง่ายเลย!
คนทั้งสองออกจากห้วงมิติเปี่ยมอันตราย กลับสู่โลกเบื้องนอก
ร่วงหล่นลงมาสู่ป่าปีศาจสวรรค์ ทอดตามองมีแต่ต้นไม้ใบหญ้า ไกลออกไปยังมีผีเสื้อร่ายระบำ ช่างเป็นธรรมชาติอันงดงามอะไรเช่นนี้
สายัณห์บรรพตไสล ลมใบไม้ผลินำบุปผาหอม
“ในที่สุดก็ออกมาได้แล้ว อา!” ฉินจิ่วเกอสองแขนอ้าออก ร่ำร้องตะโกนใส่ท้องฟ้าสีครามสดใส
ซ่งเล่อพึมพำนามพระโพธิสัตว์ เอ่ยด้วยความเมตตา “หากข้าเป็นพี่ฉิน ย่อมไม่มีทางเบิกบานปานนี้แน่นอน”
“เพราะเหตุใด?” ฉินจิ่วเกอไร้เดียงสาอย่างยิ่ง ไม่ทราบตนเองมีมหันตภัยใกล้กรายศีรษะ
“พวกเราถูกดูดเข้าไปในห้วงมิติ อย่างน้อยเป็นเวลาสิบวัน ไม่ต้องกล่าวถึงว่าพี่ท่านสำเร็จภารกิจตามเวลากำหนดหรือไม่ แต่ศิษย์น้องของท่านยังอยู่ในเมืองซวนอู่ ไม่มีเงินทองใช้จ่าย เกรงว่าคงไม่มีความเป็นอยู่ที่ดีเท่าใด”
ซ่งเล่อดวงตาเปี่ยมความเวทนา สามารถได้เห็นพี่ฉินรับความลำบาก นับเป็นเรื่องมงคลของชีวิตนี้
ไม่แน่ว่าเมื่อพี่ฉินกลับไป จะถูกอาวุโสที่สุมไฟโทสะและเหล่าศิษย์น้องชายหญิงรุมสกรัมจนตายคาที่ หากรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ คงไม่ปล่อยให้ดวงธาตุทองคำต้องสูญเปล่าแล้ว
“มัวเอ๋ออยู่ทำไม” ฉินจิ่วเกอถลึงตาจนกลมกว้าง ยามนี้มันจึงทราบอันใดเรียกว่าเบิกบานแล้วจึงเศร้าโศก “ยังไม่รีบกลับไปเมืองซวนอู่อีก!”
นึกถึงศิษย์น้องเล็กและเจ้าอ้วนน่าตาย ทั้งสองยามนี้สมควรมีบ้านไม่อาจกลับ ไม่มีกินไม่มีใส่
กลางดึกท่ามกลางค่ำคืนหิมะร่วง คนทั้งสองหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็ก ออกเดินขายไม้ขีดไฟอย่างโดดเดี่ยว หรืออาจถือชามแตกหักกระดำกระด่างออกขอทานหาของกินตามบ้านเรือน
เจ้าอ้วนน่าตายไขมันสั่นกระเพื่อม ศิษย์น้องเล็กน้ำมูกไหลย้อย ต่างอิงแอบเข้าหากันเพื่อเอาชีวิตรอด เดินผ่านถนนหนทางที่เต็มไปด้วยผู้คนไร้น้ำใจ สุดท้ายถูกกลบฝังภายใต้กองหิมะขาวโพลนเย็นเยือก
เป็นภาพที่งดงามจนเกินไป ฉินจิ่วเกอไม่กล้าวาดฝันอีก ไม่อย่างนั้นตนเองคงต้องวิ่งแล้ว
สำหรับเจ้าอ้วนน่าตาย จากปริมาณไขมันบนร่างของมันแล้ว ไม่ทีทางอดตายได้
แต่ศิษย์น้องเล็กที่ชาญฉลาดงดงามน่ารักดั่งหิมะน้ำแข็ง หากให้ผู้คนรู้ว่ายังมีศิษย์พี่ใหญ่เช่นนี้อยู่บนโลก คงสร้างความโกรธแค้นแก่พวกโลลิค่อนทั้งหลาย ฉินจิ่วเกอคงต้องถูกบรรดาผู้ฝึกตนทั่วทั้งทวีปฉงหลิงพลีชีพเสี่ยงตายใส่แน่นอน
“พี่ฉินไม่ต้องวิตก ก่อนจากมาข้าที่จริงจับจองที่พักแก่พวกเขาไว้ ทั้งยังจ่ายเงินแล้ว ไม่มีหิมะไม่มีลมพายุ ยิ่งไม่มีทางต้องไปเดินขอทานตามถนน!”
ซ่งเล่อใบหน้าสูญเสียกำลังใจ ศิษย์พี่ใหญ่ชั้นเลิศเช่นนี้ สมควรเอามาเปลี่ยนตัวกันสักที
“อย่างงั้นก็ดี” ฉินจิ่วเกอลูบอก สีหน้าเหมือนคนเพิ่งรอดพ้นจากวิกฤติ
“แต่ภารกิจเก็บเกี่ยวหญ้าวิญญาณแสงของท่าน ยามนี้ที่จริงเลยเวลานัดหมายแล้ว เป็นเรื่องยากลำบากอีกประการ” ซ่งเล่อเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง เห็นใบหน้าเริงร่าของฉินจิ่วเกอสลดลงอีกครั้ง ในใจต้องรู้สึกบันเทิงเริงใจยิ่ง
ที่แท้มันก็มีคนที่มันหวาดกลัว ปีศาจจำต้องใช้ปีศาจเป็นผู้สยบ
“ข้าไม่อยู่แล้ว!” เมื่อหวนคิดถึงวันเวลาอันมืดหม่นในพรรคหลิงเซียว ฉินจิ่วเกอสิ้นหวัง มือคว้าจับสายรัดเอว คิดหาต้นไม้ใหญ่ขึ้นไปผูกคอตาย
ซ่งเล่อกลับไม่ได้ยื้อเป็นยื้อตายรั้งอีกฝ่ายเอาไว้
ฉินจิ่วเกอกำลังจะแขวนคอ ซ่งเล่อสั่นศีรษะ ทอดสายตามองไปยังบรรดาผีเสื้อเริงระบำและกิ่งหลิวบึงน้ำขจี
สามารถได้เป็นพยานการแขวนคอตายของฉินจิ่วเกอ นับเป็นเรื่องราวอันน่าเบิกบานในชีวิตคนถึงเพียงไหน
“แค่กแค่ก” ฉินจิ่วเกอมือถือสายรัด ต้องกระแอมกระไออกมาอย่างกระอักกระอ่วน
ซ่งเล่อคล้ายมองไม่เห็น เงยหน้าทอดสายตามองฟ้าด้วยมุมสี่สิบห้าองศาอย่างเคร่งขรึม เรื่องราวช่างน่าสนใจนัก
เมื่อไม่มีใครมาห้ามปราม ฉินจิ่วเกอก็ปล่อยเลยตามเลย ดึงสายรัดเอวกลับคืนมา พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ยังไม่ไปอีก เจ้าดูท้องฟ้า ทำท่าทำทางเศร้าโศกเพื่ออะไร?”
“เจ้าเมื่อครู่”
“เมื่อครู่ข้าทำไม? เมื่อครู่สายรัดเอวข้ารัดแน่นเกินไปหน่อย เลยคลายออกเล็กน้อยไม่ได้หรือ?”
“ย่อมได้ย่อมได้” ในเมื่อเป็นสหาย ซ่งเล่อเองก็ไม่คิดให้ฉินจิ่วเกอรับความลำบากมากนัก “วางใจเถอะ ใกล้ๆ กับป่าปีศาจสวรรค์มีครอบครัวคนพื้นถิ่นอยู่ไม่น้อย พวกมันรู้จักป่าปีศาจดุจนิ้วบนฝ่ามือ การเก็บเกี่ยวหญ้าวิญญาณแสงไม่ใช่เรื่องยาก”
ไม่นาน สองคนต่างตาลีตาเหลือกมาถึงหน้าบ้านเรือนของคนพื้นถิ่นหลังหนึ่ง
บ้านเรือนตั้งอยู่รอบนอกสุดของป่าปีศาจสวรรค์ เห็นได้ว่าพลังฝีมือของตระกูลนี้ไม่สูงเท่าใด ยามปกติเลี้ยงชีพด้วยสิ่งของในป่าและสมุนไพรหายาก
เห็นคนทั้งสองยืนอยู่ที่หน้าบ้าน ไม่กล้าก้าวออกมาด้านหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนึ่งในนั้น ประกายแววตาที่สะท้อนออกมาราวหมาป่าล่าเนื้อ
ภายในกำแพงบ้านวุ่นวายหนึ่งรอบ เจ้าบ้านเร่งออกคำสั่งซุกซ่อนทรัพย์สมบัติและสตรีนางอนุทั้งหลายให้หมดสิ้น