เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 29 สุภาพบุรุษชุดโศกา
ความเจ็บปวดของผู้อ่อนแอ ก็คือต้องพึ่งพาจมูกผู้อื่นหายใจจึงรอดชีวิตอยู่ได้
ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ในทวีปฉงหลิงนี้ข้อเท็จจริงนี้เป็นที่ยอมรับรับรู้กันทั่ว
ประตูไม้แดงอันเก่าคร่าค่อยๆ ถูกผลักเปิดออกช้าๆ ส่งเสียงคร่ำครวญเอี๊ยดๆ อ๊าดๆ ชวนระคายหู
ปรากฏผู้ชราท่านหนึ่งก้าวเดินออกมา รูปร่างผอมแห้ง เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่ปักลวดลายที่ดูประณีตอยู่บ้าง ฝีก้าวเร่งรีบเดินด้วยปลายเท้าออกรับหน้าพวกฉินจิ่วเกอทั้งสอง
“คุณชายทั้งสอง เราผู้เฒ่าคือผู้นำตระกูลซุน ไม่ทราบท่านทั้งสองมาถึงที่นี้มีธุระอันใด?”
ผู้นำตระกูลซุนเอ่ยถามเสียงเบา เกรงว่าจะสร้างความแตกตื่นแก่ซ่งเล่อ
เห็นอีกฝ่ายท่วงท่างามสง่าหล่อเหลา เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็มีระดับ เพียงมองดูก็รู้ว่าเป็นคุณชายตระกูลใดสักแห่ง มีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ด้านหลังของคุณชายท่านนี้ มีผู้รับใช้ติดตามมาด้วย เสื้อผ้าทรุดโทรมซอมซ่อยิ่ง
มาเก็บค่าคุ้มครอง? ผู้นำตระกูลซุนพลังฝีมือไม่พ้นระดับปราณสุริยันขั้นสูงสุด ไม่กล้ากล่าวว่าสามารถกระทำการใดโดยลำพัง ไม่อาจคาดเดาที่มาของทั้งสองได้
ขอบเขตปราณสุริยันและพิสุทธิ์ไพศาล ในแต่ละขอบเขตแบ่งออกเป็นสี่ระดับ คือต้น กลาง ปลาย และสูงสุด
ด้วยขนาดของตระกูลเล็กๆ เช่นตระกูลซุน ผู้นำตระกูลสามารถบรรลุปราณสุริยันขั้นสูงสุดได้ นับว่าความสามารถเข้มแข็งยิ่ง
ซ่งเล่อเห็นผู้นำตระกูลซุนวาจาเย็นชาไม่แยแส มุมปากต้องบิดโค้ง พ่นลมหายใจออกจมูก
ผู้คนต้องถ่อมตนมากมารยาท หลักการนี้เองต้องพิจารณาประเภทของคนด้วย สำหรับกับผู้นำตระกูลซุนกระจ้อยร่อยที่ทั้งตระกูลมีเพียงผู้เกือบบรรลุชั้นพิสุทธิ์ไพศาลหนึ่งคน ซ่งเล่อไหนเลยจะอ่อนโยนมีเมตตาได้
“ศิษย์ฝ่ายในประตูหายนะ?” ท่านผู้นำสกุลซุนแม้ระดับฝีมือไม่สูงส่ง แต่ก็ยังทราบว่าในหมู่สี่ค่ายสำนักใหญ่ของเผ่ามนุษย์ ประตูหายนะเป็นหัวหอก
ในสายตาของมันศิษย์ฝ่ายในประตูหายนะก็คือบุคคลที่แสนร้ายกาจ เป็นแก่นกำลังหลักของประตูหายนะ
บุคคลประเภทนี้ ขอเพียงไม่ร่วงหล่นเสียก่อน ในอนาคตย่อมเป็นมังกรในหมู่คน จึงเปลี่ยนท่าทีเป็นอ่อนน้อม กระทั่งประจบเอาใจมากยิ่งขึ้น
“ที่แท้เป็นใต้เท้าจากประตูหายนะ เชิญเข้ามาก่อนๆ” ผู้นำสกุลซุนผายมือเชื้อเชิญ แทบจะเข้าไปฉุดซ่งเล่อให้เข้ามาในที่พำนักของมันอยู่แล้ว
ส่วนเจ้าคนที่แต่งตัวขาดๆ เกินๆ ด้านหลังซ่งเล่อนั้น คนผู้นี้ทั้งขาดรสนิยม บุคลิกลักษณะก็หยาบกระด้าง
แต่เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นสหายของศิษย์ประตูหายนะ จึงต้องเชื้อชวนเข้ามาอย่างกล้ำกลืนฝืนใจ เอาไว้มันกลับไปแล้วค่อยทำพิธีขจัดกาลกิณีก็แล้วกัน
“ขอมอบหมายให้เจ้าไปรวบรวมหญ้าวิญญาณแสงจำนวนห้าสิบจิน ไม่สิ จำนวนหนึ่งร้อยจินมาให้ข้าภายในวันนี้” ซ่งเล่อไม่สนว่าตนจะเป็นแขกหรือไม่ ออกปากสั่งการเสมือนเป็นเจ้าบ้านเสียเอง ท่าทีสูงส่งเหนือผู้คน
ผู้นำสกุลซุนก็ไม่ได้รู้สึกไม่เหมาะสมที่ตรงไหน ตรงข้ามมันกลับรู้สึกว่านี่จึงจะเป็นบุคลิกที่ยอดฝีมือพึงมี
มันจึงตบอกรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะทำตามมอบหมายที่ได้รับให้ลุล่วงโดยไว
จากนั้นซ่งเล่อก็เดินเข้าสู่ห้องโถง นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่ค่อนข้างเก่าตัวหนึ่ง ขยับขาขาวผ่องของมันขึ้นไขว้กัน
ผู้นำสกุลซุนยืนค้อมเอวก้มศีรษะอยู่ด้านข้าง ปากก็ถามคำถามจำพวกท่านอายุเท่าใดเหตุไฉนจึงได้เกิดมาหล่อเหลาปานนี้ไม่ขาดปาก
และเป็นเพราะคำพูดประโยคเดียวจากซ่งเล่อ ทำให้ศิษย์บุรุษบ้านสกุลซุนทั้งหมดต้องออกไปตามหาหญ้าวิญญาณแสงในเวลากลางดึกค่อนคืนเช่นนี้
ผู้เข้มแข็งคือจ้าว อำนาจที่มาพร้อมกับพลังก็คืออภิสิทธิ์อันสูงส่งเยี่ยงนี้แล
จวบกระทั่งผู้นำสกุลซุนลดศีรษะขอตัวออกไปตระเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับอันเอิกเกริกจนเหลือแต่ฉินจิ่วเกอกับมันเพียงสองคน ซ่งเล่อจึงค่อยเลิกวางท่าข่ม รู้สึกปวดเมื่อยใบหน้าเพราะทำหน้าตึงนานเกินไป
“ไอหยา ดูไม่ออกเลยนะเนี่ยว่าเจ้าจะเป็นคนขาดความเกรงใจขนาดนี้ ให้คนออกไปทำธุระกลางดึกกลางดื่น ทั้งยังวางก้ามเขื่อมโข หากเปลี่ยนเป็นข้าแล้วละก็ ข้าจะเอาโอสถสะบั้นชีพให้เจ้ากินสักหลายสิบเม็ด พอเจ้าดับดิ้นแล้วที่เหลือค่อยว่ากัน”
ฉินจิ่วเกอเขวี้ยงป้านน้ำชาจนแตกกระจายด้วยความหงุดหงิด คนตาบอดอย่างมันเนี่ยนะผู้นำตระกูล ตนหล่อเหลาสง่างามกว่าซ่งเล่ออยู่เห็นๆ ต่อให้เทียบกันในแง่ของส่วนสูง คุณสมบัติ และศักยภาพ เจ้าหน้าขาวนั่นก็ยังเทียบตนไม่ติดฝุ่นอยู่ดี
“พี่ฉินท่านไม่เข้าใจ หากต้องการให้ผู้อื่นเคารพท่าน ท่านจะต้องเคารพตัวเองเสียก่อน ข้าซ่งเล่อจึงได้แต่ต้องคุยกับคนที่มีอำนาจกุมชะตาชีวิตตัวเอง ไม่อาจคุยกับคนที่ไร้อำนาจกำหนดชะตาตัวเอง การที่ข้ายอมคุยกับมันซึ่งหน้าแบบนี้ก็นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว”
“ล้อกันเล่นหรือเปล่า ตระกูลเล็กๆ อย่างนี้จะรับรองศิษย์ฝ่ายในประตูหายนะไหวหรือ?” ฉินจิ่วเกอจงใจกัดฟันเน้นเสียงคำว่าประตูหายนะ มันกำลังอารมณ์เสีย หงุดหงิดไปถึงกระดูกดำเลยทีเดียว
“ข้าไม่สนว่าท่านจะมาจากชาติกำเนิดใด มีกำลังอำนาจขนาดไหน ตราบใดที่ท่านเคารพตนเอง ข้าซ่งเล่อก็ยินดีที่จะผูกมิตรเป็นสหาย เพียงแต่ชิงชังดูถูกพวกขี้ประจบเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น”
ซ่งเล่อมองฉินจิ่วเกอด้วยแววตาจริงจังต่างจากปกติ ทั้งยังฉายแววเลื่อมใสอยู่ด้วย นึกถึงตอนที่อยู่ในเมืองซวนอู่ คำพูดและท่าทีของพี่ฉินท่านนี้ช่างผ่าเหล่าผ่ากอไม่มีใครเหมือนอย่างแท้จริง ได้รู้จักกับคนเช่นนี้นับเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง
ฉินจิ่วเกอเชิดจมูกขึ้นฟ้า นั่งไขว่ห้าง “เคารพผู้อื่นเคารพตัวเองอะไรของเจ้า พูดง่ายๆ ก็คือคนเราจะได้รับบทเรียนเมื่อถูกตีไม่ใช่เมื่อถูกปฏิบัติด้วยดี”
ซ่งเล่อยกมือลูบคางที่เงามนเหมือนเปลือกไข่แล้วพูดว่า “ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ทำไมฟังแล้วเหมือนท่านกำลังด่าข้าอยู่เลยเล่า?”
ฉินจิ่วเกอลอบหัวร่ออยู่ในใจ มันตั้งใจไว้ว่า หากซ่งเล่อกล้าทำตัววางก้ามต่อหน้ามันแต่แรก หน้าขาวๆ ของมันคงถูกตนทุบตีจนบู้บี้ไปแล้ว
เพื่อประเมินกำลังอีกฝ่าย ฉินจิ่วเกอจะยอมใช้เคล็ดกิเลนคลองถมนั่นก็ได้
“ฟ้าไม่หยุดนิ่ง สุภาพบุรุษไม่หยุดพัฒนาตัวเอง ข้าขอฝากประโยคนี้ไว้ให้พี่ซ่งพิจารณา” ฉินจิ่วเกอกล่าว
“ไม่หยุดพัฒนาตัวเอง?” ซ่งเล่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน หลักการที่ซ่อนอยู่ค่อยปรากฏขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ร่างที่เอนอยู่บนเก้าอี้พลันกระเด้งขึ้นนั่งตรง “คำพูดนี้ของท่านเปรียบได้ดั่งมุกพลอยอันล้ำค่า ฟ้าไม่หยุดนิ่ง สุภาพบุรุษไม่หยุดพัฒนาตัวเอง ประเสริฐ เป็นคติอันประเสริฐอะไรอย่างนี้ นี่เป็นหลักการที่เราควรต้องปฏิบัติตามชัดๆ!”
“หามิได้ๆ” ฉินจิ่วเกอแสร้งทำเป็นประคองมือถ่อมตัว ในภพนี้ มันก็คือผู้กุมอำนาจรังสรรค์ คำพูดของยอดคนในภพก่อนก็คือคำพูดของฉินจิ่วเกอในภพนี้
“คำพูดที่เป็นเหมือนคติสอนใจพวกนี้ จะให้ข้านั่งพูดทั้งวันก็ยังได้ ช่างน่าละอายนัก”
พูดแล้วก็ลูบผมสามพันเส้นบนหัวตัวเอง สีหน้าเหมือนคนขี้โอ่วอนบาทา แสร้งทำเป็นสูงส่ง ทักษะการตีเนียนลื่นไหลยังเหนือชั้นกว่าซ่งเล่ออยู่อักโข
“ข้าไม่เชื่อ” ซ่งเล่อเริ่มไม่ค่อยจะสบอารมณ์
“กำเนิดเกิดตัวตน เกิดชีวิตเกิดวิญญาณ ขันธ์แปลงกำเนิดศาสตร์ เกิดนามเรียกฟ้าดิน พี่ซ่ง ในทวีปฉงหลิงนี้ คำ “วิญญาณ” สูงส่งล้ำค่ายิ่ง คำกล่าวข้างต้นนี้ คือความเข้าใจของข้าต่อคำว่าวิญญาณนี้ ความเห็นอันตื้นเขิน เป็นที่น่าละอายยิ่ง”
ซ่งเล่อพึมพำประโยคของฉินจิ่วเกอซ้ำไปซ้ำมา แววตาเลื่อมใสของมันเต็มไปด้วยระลอกหวั่นไหว “กล่าวได้ดียิ่ง คำวิญญาณอันเรียบง่าย หมายรวมถึงมหาวิถีเต๋าแห่งฟ้าดิน มีชื่อแต่ไร้นาม ความนัยอันลึกล้ำ ภูมิรู้กว้างขวางนัก!”
“ที่ใดกัน ข้าเพียงเอ่ยออกมาอย่างนั้น ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง” ปากพูดแบบนั้น แต่ใบหน้าฉินจิ่วเกอซ่อนรอยยิ้มฉีกถึงรูหู ต้มหมอนี่สำเร็จแล้ว
เกิดมาหน้าตาดีเลิศแล้วอย่างไร หากมีความสามารถพูดจาไม่กี่คำก็สั่นจิตสะท้านใจผู้ฟังจนหูแทบดับออกมา นั่นจึงนับเป็นความสามารถที่แท้จริง
ซ่งเล่อยามนี้ไม่กล้ามองข้ามฉินจิ่วเกออีก แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่ได้ยกย่องอีกฝ่ายเลยก็ตาม
ทว่าวาจาที่กล่าวออกอย่างไม่นำพาเมื่อครู่เพียงไม่กี่คำนั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านการหยั่งรู้ของผู้ฝึกตน หรือเป็นแนวคิดของการกำเนิดจักรวาล กลับสะท้อนนัยยะแห่งความเข้าใจอันลึกล้ำออกมา
ความเข้าใจระดับนั้น ซ่งเล่อถามตนเอง แม้แต่มันยังไม่อาจกล่าวออกมาได้
ไม่เพียงมันเท่านั้นเกรงว่าแม้แต่บรรดาอาวุโสในสำนัก ยังไม่อาจกล่าววาจาสะท้านหูเช่นระฆังเคาะบอกโมงยามเช่นนี้ได้ คำเรียบง่ายไม่กี่คำ ครอบคลุมภูมิปัญญาไร้สิ้นสุด
“พี่ฉินสูงส่งเปี่ยมพรสวรรค์ ความสำเร็จในวันหน้าต้องไม่ต่ำทราม” ซ่งเล่อกล่าวอย่างเคร่งขรึม มันรับมรดกเคล็ดกำลังภายในอันแกร่งกร้าวจากยุคบรรพกาล แน่นอนย่อมทราบวาจาของฉินจิ่วเกอเหล่านั้นอยู่ในขอบเขตสูงล้ำขั้นไหน
“เหอเหอ” ฉินจิ่วเกอยืดกายหัวเราะออกมาเสียงดัง รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ประกายในดวงตายามนี้ เปลี่ยนเป็นประกายแห่งกลิ่นอายทรราชย์ผู้ครอบครองผืนพิภพ ราวกับเทพราชันจุติลงสู่หล้าที่แท้ ผู้ทรงภูมิรอบรู้เปี่ยมจริยาทั้งห้าอันดับหนึ่ง
กินรุ้งกลืนสวรรค์ เคลื่อนภูเขาเขย่านที
ทั่วสี่ทิศแปดทาง ยอดคนอันดับหนึ่ง
ฉินจิ่วเกอทำท่าเหมือนเทพยดา จัดแจงท่านั่ง สองมือวางบนเข่า “มา ข้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว รีบเข้ามากราบบูชาข้าเถอะ”
เพียงประโยคเดียว ทุบทำลายรัศมีบารมีผู้สูงส่งที่ไม่อาจเจือจางทิ้งไปง่ายๆ จนแตกกระจายสิ้น
ซ่งเล่อตะลึงลานแล้ว เปลี่ยนท่วงทีได้ไวจนเกินไป คำพูดเมื่อครู่เหล่านั้นเป็นมันกล่าวออกมาเองจริงๆ มันเป็นคนสองบุคลิกหรือยังไง!
ฉินจิ่วเกอเป็นไปได้ว่าอาจติดเชื้อไวรัสทำลายสมองอันใด มีแต่ยามที่สะกดฤทธิ์ของไวรัสร้ายนั้นเอาไว้ จึงสามารถพบพานกับฉินจิ่วเกอตัวจริงได้
ฟ้ามืดค่ำแล้ว ภายในตระกูลซุนเริ่มงานเลี้ยง งานเลี้ยงต้อนรับศิษย์ฝ่ายในแห่งประตูหายนะ
แน่นอน ยังมีผู้รับใช้ที่แต่งตัวมอซอ จิตใจเลื่อนลอยผู้นั้นอีกคน
ผู้นำตระกูลซุนบุคลิกเยือกเย็นราวสายน้ำ ระหว่างงานเลี้ยงยกยอประจบประแจงซ่งเล่อเป็นพักๆ คำยกย่องชื่นชมเข็ดฟันจนคนแทบฟันร่วงหมดปาก ศีรษะอ่อนยวบ
สุราในงานชื่นมื่น ฉินจิ่วเกอประคองชามพุ้ยกับข้าวเข้าปากไม่หยุด
หากต้องนั่งฟังคำสรรเสริญไม่มีวันจบของตาแก่นั่น ไม่สู้หาอะไรยัดเข้าไปในท้องดีกว่า
มองดูท่าทางเหมือนไม่ได้รับประทานข้าวมาแปดร้อยปีของฉินจิ่วเกอ ผู้นำตระกูลซุนวิจารณญานไม่ธรรมดา ให้คนเอาชามข้าวไปเปลี่ยนเป็นโถข้าวแทน
จวบกระทั่งฉินจิ่วเกอรับประทานอิ่มหนำ คนเบิกบานแล้ว ต้องนำพาเอาพุงกางๆ ของมันไปนอนเอนกายเรอบนเก้าอี้
นับแต่ต้นจนจบ ซ่งเล่อแสดงท่วงทีกิริยาเช่นผู้ดีมีตระกูล ยามกินไม่เอ่ยปาก ยามนอนไม่ส่งเสียง มีอารยะยิ่ง มีเพียงใบหน้าที่ยิ้มจนแข็งค้างไปแล้ว
คำเยินยอของผู้นำตระกูลซุน ช่างไม่มีวันจบสิ้นอย่างแท้จริง
จบงานเลี้ยง คนทั้งคู่อิ่มทั้งเหล้าทั้งข้าว หากแต่ต้องเผชิญการพร่ำพรรณาไม่หยุดของมัน อีกนิดเดียวก็แทบส่งซ่งเล่อให้กลายเป็นยอดคนแห่งใต้หล้าไปแล้ว
ซ่งเล่อผงกศีระเล็กน้อย ยากออกปากปฏิเสธคำสรรเสริญ ส่วนคอเกร็งแข็งจนเจ็บปวดอยู่บ้าง เห็นฉินจิ่วเกอสวาปามอาหารจนเต็มท้องอย่างเริงร่า ต้องอดริษยาไม่ได้
รอจนงานเลี้ยงเลิกรา คนตระเตรียมกลับไปพักผ่อน ผู้นำตระกูลซุนราวพ่อเล้ามากประสบการณ์ คว่ำจอกส่งสัญญาณ ส่งฉินจิ่วเกอที่ตอนแรกนึกว่ามีมือดาบห้าร้อยนายดักซุ่มโจมตีจากด้านนอก
ไม่มีมือดาบห้าร้อย ที่มีคือศิษย์สตรีตระกูลซุนที่อ้อนแอ้นแน่งน้อย งดงามน่าถนอม ค่อยๆ เดินเยื้องย่างเข้ามาในห้องโถง
ผู้นำตระกูลซุนต้อนรับแขกเหรื่อ ไม่อาจไม่ไว้หน้าซ่งเล่อ เลือกสาวๆ หรืออาจเหมามาทั้งหมด ส่งเข้าห้องหอของจักรพรรดิ
หากเป็นไปได้ ผ้นำตระกูลซุนไม่ถือสาตนเองอายุมากกว่าซ่งเล่อหลายสิบปี คิดอยากเรียกหามันเป็นพี่น้อง คัดศิษย์ตระกูลซุนยกให้ไปเป็นอนุของมันยังได้
ซ่งเล่อแน่นอนว่าไม่ยินยอม มันมิใช่คนมักง่าย โดยเฉพาะที่ข้างกายยังมีฉินจิ่วเกอที่ดวงตาแดงก่ำราวกระต่ายด้วยความเคียดแค้นริษยา
ผลลัพธ์ สุภาพบุรุษเที่ยงธรรมเช่นซ่งเล่อปฏิเสธอย่างจริงจัง กล่าวว่าไฟนอกยังไม่ดับสิ้น ไหนเลยยังกล้าสร้างครอบครัวหาสุขส่วนตัวได้
เมื่อกล่าววาจาเช่นนี้ ทุกคนยกมือปิดปาก ฟันร่วงลงมาไม่น้อย
ซ่งเล่อเองก็รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวเหมือนโดนเผาเกรียม ที่จริงคนมีสมองมีหน้าตา สรรหาเหตุผลเช่นนี้ออกมาต้านทาน ผู้อื่นบังเกิดความละอายล้วนเป็นเรื่องธรรมดา
ซ่งเล่อปฏิเสธไม่ยอมรับ ผู้นำตระกูลซุนคิดว่าคนของตนเองสมควรยังไม่เข้านัยน์ตาสูงส่งของอีกฝ่าย
ศิษย์ประตูหายนะ อนาคตอย่างน้อยสามารถถามไถ่ถึงขั้นสูงสุดของพิสุทธิ์ไพศาล พรสวรรค์ล้ำฟ้า นัยน์ตาย่อมต้องอยู่สูงเป็นธรรมดา
หากผู้นำตระกูลซุนก็มิใช่ตะเกียงไร้น้ำมัน
เมื่อเรียกเหล่าศิษย์ออกมาแล้ว ไม่อาจไม่ใช้งาน หลังตระหนักว่าไม่เข้าตาซ่งเล่อ ผู้นำตระกูลซุนจึงตวัดสายตาชั่วร้ายของมันมายังฉินจิ่วเกอที่เมาแอ๋อยู่ทางด้านข้าง
ลมเปลี่ยนทิศทาง ผู้นำตระกูลซุนยามนี้เปลี่ยนมาชนแก้วสาดเหล้ากับฉินจิ่วเกอราวพายุ หน้าประตูทำเนียบคือเจ้าหน้าที่ระดับเจ็ด กอดขาคนเช่นซ่งเล่อได้ย่อมไม่ใช่คนกระจอก เป็นมันก็ไม่เสียหาย ต้องกลั้นใจยอมรับแล้ว
ขุนพลพ่ายแพ้เช่นฉินจิ่วเกอ ในที่สุดก็ได้สัมผัสกับความรู้สึกถือไพ่เหนือกว่าขึ้นมาบ้าง ไม่เพียงมีคนพะเน้าพะนอ ยังมีชายเสื้อหญิงงามเพิ่มความหอม
ผู้นำตระกูลซุนตัวกลับกลอก ในใจของฉินจิ่วเกอไม่ยินดี หากตอนเริ่มต้น ผู้นำตระกูลซุนต้อนรับมันอย่างกระตือรือร้น พินอบพิเทา เช่นนั้นฉินจิ่วเกอผู้ไม่ใช่คนซื่อถือคุณธรรมอะไร คงต้องรีบตกปากรับคำ จากนั้นเชือดไก่เผากระดาษเงินกระดาษทอง สาบานเป็นพี่น้องกับอีกฝ่ายไปแล้ว
ทว่า อีกฝ่ายเพียงหันมาหาตนเนื่องจากซ่งเล่อไม่น้อมสนอง สำหรับคนพาลเช่นฉินจิ่วเกอ เฮอะ นายท่านเช่นข้าโดดเด่นออกปานนี้ หรือว่าต้องต่อแถวรอคิวจากเด็กน้อยซ่งเล่อด้วย?
ผู้นำตระกูลซุนชัดเจนว่าไม่มีสมองมองการณ์ไกล คิดว่าฉินจิ่วเกอรับน้ำใจ วาจาที่กล่าวออกมายิ่งหนักข้อ
ยังรอคอยอันใด อาบน้ำอาบท่า ขึ้นนอนรอบนเตียงเถอะ
ฉินจิ่วเกอพกน้ำเน่าเต็มท้อง ทำท่าวางอำนาจราวประมุขตบบ่าผู้นำตระกูลซุน กล่าวว่า “บิดาไม่ชมชอบสตรี”
ผู้นำตระกูลซุนรู้สึกบรรยากาศแข็งค้างกะทันหัน ข้อเรียกร้องนี้ เกินเลยไปหน่อยกระมัง แต่คนยังตอบรับด้วยไหวพริบ “เช่นนั้น ต้องการให้ข้าเลือกศิษย์บุรุษแก่ท่านสักสองสามคนหรือไม่?”
“บิดาต้องตาเจ้านี่ล่ะ!”