เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 30 ฝนพรำบุปผาโรย
ฉินจิ่วเกอตบโต๊ะดังสนั่น ขัดจังหวะเต้นรำของนางระบำในงานเลี้ยง ผู้นำตระกูลซุนทำหน้าเหยเกจนคางที่ย่นคล้ายหนังไก่อยู่แล้วยิ่งยับย่นมากขึ้นไปอีก
“ว่าอะไรนะ?” ผู้นำตระกูลซุนเริ่มน้ำตาคลอ ปากคอสั่น ไม่คิดเลยว่าโลกใบนี้จะมืดมนและโหดร้ายได้ถึงขนาดนี้
ฉินจิ่วเกอกระดกสุราในมืออีกหนึ่งอึก ท่วงท่าอหังการ เพียงแต่สุราที่กระดกเมื่อครู่กลับหกราดรดลงบนเสื้อเสียเป็นส่วนใหญ่ “บิดาเจ้าผู้นี้ถูกใจเจ้ายิ่ง ต้องทำเช่นไร?”
สายตาจดจ่อ อารมณ์รุ่มร้อนดั่งไฟ
ทุกคนในงานที่กำลังเฮฮาสนุกสนานพลันชะงักค้างพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย สถานการณ์เยี่ยงนี้ไม่มีใครเคยพบเจอมาก่อน หันไปมองผู้นำตระกูลซุน มองดูใบหน้าที่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลาของมัน เด็กคนนี้รสนิยมจัดจ้านอย่าบอกใคร
ถูกอีกฝ่ายข่มเหงคะเนงร้าย ผู้นำตระกูลซุนหลับตาปี๋ ท่าทางเหมือนดรุณีน้อยที่ถูกคนในตระกูลขายให้กับสำนักคณิกา หรือไม่ก็ผู้กล้าที่ยอมพลีกายถวายชีพเพื่อบ้านเกิดเมืองนอน “โบราณว่าไว้ไม่มีใครรอดพ้นจากความตาย สวรรค์ประทานภารกิจใหญ่มาให้แก่ผู้คน”
ฉินจิ่วเกอผู้อยู่ในสถานการณ์ พร้อมซ่งเล่อผู้เฝ้าดูความคึกคักทางด้านข้าง ตัวการของเรื่องกลับถูกภูมิความรู้อันลึกซึ้งเกิดคาดหยั่งของผู้นำตระกูลซุนทำให้ต้องเบื้อใบ้ไป
“ท่านผู้นำตระกูลช่างสูงส่งจนน่าแตกตื่น แล้วท่านมีความคิดเห็นเช่นไรบ้าง?” ฉินจิ่วเกอหัวเราะชั่วร้าย มือกำเป็นหมัดแน่น
ผู้นำตระกูลซุนน้ำตาอาบแก้ม ใช้มือปิดใบหน้าเหี่ยวๆ เอาไว้ เสียงสะอึกสะอื้นราวเป่าขลุ่ยปีปอ “ข้ายินดีสละเลือดทุกหยาดเพื่อชาติพลี ยังคงหวังว่าน้องชายท่านนี้จะเมตตาคนแก่ตาดำๆ อย่างข้า ร่วมเรียงฝ่าขุนเขาพายุเมฆ เสพท้อเซียนร่วมกัน”
โครม
ฉินจิ่วเกอที่กินจนอิ่มหนำนานแล้วพลันคว่ำโต๊ะดังโครม กับข้าวสุราบนโต๊ะหกกระจายเรี่ยราดเต็มสถานที่ ด้วยสำนึกว่าหลังกินข้าวควรงดการด่าทอ และแล้วงานเลี้ยงก็สิ้นสุดลง ก่อนจะแยกย้ายกันไปด้วยบรรยากาศอึมครึมเช่นนี้แล
ผู้นำตระกูลซุนหลังรอดพ้นวิกฤติ ก็ไม่วายแอบขยิบตาให้ทีหนึ่ง ก่อนจะเอามือปิดบั้นท้ายวิ่งหนีไปโดยไว
“ผู้นำตระกูลซุนท่านนี้ คมในฝักแท้ๆ!” ฉินจิ่วเกอตวาดส่งท้ายทีหนึ่ง “มาๆ พี่ซ่ง เรามาดื่มกันต่ออีกสักสองสามร้อยจอกดีกว่า”
ล่าวัวล่าแพะต้มฉลอง ร่ำสุราหนึ่งไหสามร้อยจอกสุขปานไหน
ฉินจิ่วเกอแสร้งทำท่าเหมือนยอดคนร่ำสุรา ทุกครั้งที่ทำเป็นกระดกแก้วเข้าปากที่แท้กลับราดลงผ้าที่เตรียมไว้ อวดอ้างฉายาพันแก้วไม่มีล้ม อากัปกิริยาสูงส่งห้าวหาญเสียนี่กระไร
“พอๆ เลิกดื่มแค่นี้เถอะท่าน กลับไปนอนกันที่เรือนดีกว่า” ซ่งเล่อยันตัวลุกขึ้น ไม่ลืมเร่งกล่าวตบท้ายอีกท่อนหนึ่ง “ต่างคนต่างนอนที่ใครที่มัน เรือนของพวกเราอยู่ไกลกันพอสมควร หากไม่มีเรื่องจำเป็นอย่าได้มายุ่มย่ามกับข้าเด็ดขาด”
“พูดอะไรของเจ้า?” ฉินจิ่วเกอแยกเขี้ยวยิงฟัน
……
เช้าวันที่สอง อากาศสดใส ตะวันเบิกฟ้าสายลมโชยอ่อน
ที่หน้าประตูบ้านสกุลซุน ฉินจิ่วเกอและซ่งเล่อยืนอำลาทุกคน
ผู้นำตระกูลซุนไม่ได้ออกมาลาแขกด้วยตัวเอง เพียงเขียนข้อความจำพวกโศกนาฏกรรมความรักมาสี่ห้าแถว พร้อมกับหญ้าวิญญาณแสงที่รับปากไว้ ซ่งเล่อจึงตบรางวัลอย่างงามด้วยศิลาวิญญาณ ก่อนกล่าวขอบคุณด้วยความจริงใจก่อนอำลาจากมา
“ว่าอะไรนะ ไปกันแล้ว?”
ฉินจิ่วเกออุทานตาเหลือก ขณะยืนสอบถามอยู่หน้าโรงเตี๊ยม
ทันทีที่กลับถึงนครซวนอู่ ฉินจิ่วเกอก็เตรียมใจรับโทษทัณฑ์ไว้แล้ว
ไม่คาดเสมียนประจำโรงเตี๊ยมกลับบอกว่าศิษย์น้องเล็กและเจ้าอ้วนน่าตายพากันออกไปตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน
“ทราบหรือไม่ว่าพวกนั้นไปที่ใด?” ซ่งเล่อที่อยู่ด้านข้างซักถาม
เสมียนนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็นึกออก นี่เป็นเพราะเวลาเพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน
ยิ่งกับเจ้าอ้วนน่าตายที่กินหมั่นโถวแปดสิบลูกในมื้อเดียว กับศิษย์น้องเล็กผู้น่ารักที่ใครเห็นเป็นต้องเหลียวหลังกลับมามอง มันย่อมจดจำได้อย่างแม่นยำ
“ข้าจำได้ว่ามีแขกใส่ชุดดำท่านหนึ่งมานั่งกินข้าวอยู่ที่โรงเตี๊ยมของเรา สหายทั้งสองของพวกท่านเรียกหามันว่าพี่รอง ไม่นานก็ตามพี่รองคนนั้นไป เห็นว่าจะกลับพรรคไปด้วยกัน”
ฉินจิ่วเกอได้ฟังก็เข้าใจ ดูเหมือนว่าเจ้าโจรขโมยต้นกำเนิดกฎเกณฑ์นั่นจะเป็นลั่วเฉินศิษย์น้องรองของมันจริงๆ
มิน่าตนได้ถึงเกลียดชังอีกฝ่ายขนาดนั้น ที่แท้ก็เป็นพวกใจคด ใบหน้าหรือก็เหมือนสตรีจากสกุลใด รอดูว่ากลับไปแล้วข้าจะจัดการกับเจ้ายังไง
ซ่งเล่อไม่อาจปะติดปะต่อสายสัมพันธ์พวกนี้ได้ ในยุคสมัยนี้บุคคลที่ปิดบังหน้าตามีอยู่ถมไป เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะกล้าอวดโฉมหน้าอันพิเศษจำเพาะนั่นให้ผู้คนเห็น
“ไปกันแล้วก็ช่างเถอะ” ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่ในใจกลับอยู่ไม่สุข ยืนเหม่อพิจารณาตัวเอง ตนใช่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่ไม่ได้เรื่องได้ราวจริงๆ หรือไม่
ซ่งเล่อความรู้สึกไว พอเห็นว่าฉินจิ่วเกออารมณ์ดิ่งลงเหว จึงถามแทนอีกฝ่าย “ก่อนที่พวกนั้นจะไป ได้ฝากคำพูดอะไรไว้บ้างหรือไม่?”
เสมียนนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วอยู่ๆ ในสมองก็คล้ายเกิดประกายสว่างวาบ “ข้านึกออกแล้ว มีชายอ้วนสูงแปดฉื่อเอวกว้างแปดฉื่อท่านหนึ่งร่ำร้องดีอกดีใจอยู่หน้าโรงเตี๊ยม ก่อนไปยังพูดทำนองว่าศิษย์พี่ใหญ่ชะตาขาด ตกตายก่อนวัยอันควร ศิษย์พี่รองกลับไปเป็นใหญ่ ปกครองพรรคกลมเกลียวชั่วกาลนาน”
“เจ้าว่าอะไร?” ฉินจิ่วเกอทั้งโกรธทั้งร้อนใจจนควันออกหู คนยังไม่ตาย ยังมีคนวางแผนจะโค่นล้มบัลลังก์ตนอีก
โดยเฉพาะเจ้าอ้วนน่าตายนั่น นอกจากจะใช้มีดแทงข้างหลังตนแล้ว ยังกล้าแทงสีข้างตนด้วยการเอ่ยวาจาลับหลังอีกด้วย หากทนเรื่องนี้ได้ก็ไม่มีเรื่องไหนที่ทนไม่ได้อีกแล้ว มาดูกันว่าใครกันแน่จะชะตาขาด
“พี่ฉินท่านใจเย็นก่อน” ซ่งเล่อคาดคำนวนในใจ ค่าความนิยมของคนผู้นี้ภายในพรรคจะน่าหดหู่เกินไปแล้ว อีกอย่าง สมมติว่าศิษย์พี่ใหญ่มีอันเป็นไปจริงๆ ยังไม่ใช่ต้องจัดพิธีรำลึกก่อนแล้วค่อยหารือเรื่องจัดตั้งใครขึ้นแทนหรอกรึ
“พี่ซ่ง ข้าจำต้องกลับไปสะสางปัญหาภายในก่อน เราแยกทางกันเท่านี้เถอะ”
ฉินจิ่วเกอมุ่งหน้ากลับพรรคด้วยความเร็วปานเกาทัณฑ์ แทบอดใจฉีกหน้ากากจอมเสแสร้งของศิษย์น้องรองต่อหน้าทุกคนพร้อมรัวหมัดใส่หน้าอีกฝ่ายจนกลายเป็นหน้าสุกรไม่ไหวแล้ว
“ช้าก่อน” ซ่งเล่อมองการณ์ไกลกว่าฉินจิ่วเกอ “ก่อนจะทำการณ์ใหญ่จำต้องลับคมอาวุธไว้ให้พร้อมเสียก่อน ท่านที่ไม่มีทุนรอนอะไรเลยจะคุยกันด้วยกำปั้นได้อย่างไร เอาแค่เคล็ดวิชายุทธอันแสนจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินของท่าน ยามประมือกันจริงๆ มีแต่แพ้กับแพ้ ยังมิสู้ไปโรงประมูลคัดเลือกเคล็ดวิชายุทธที่เหมาะสมกับท่านก่อนจะดีกว่า”
จริงอย่างว่า ฉินจิ่วเกอรู้สึกเหมือนโดนน้ำเย็นฉ่ำถังหนึ่งราดลงกลางศีรษะ ฝีเท้าชะงักกึกในบัดดล
ระดับฝึกปรือของศิษย์น้องรองเหนือล้ำกว่าตน เคล็ดกระบี่มหานทีสะบั้นสุริยันของอีกฝ่ายก็เปี่ยมศักดานุภาพสะท้านฟ้า หากบุ่มบ่ามกลับไปในลักษณะนี้ คงไม่พ้นต้องพ่ายแพ้อย่างสิ้นท่า
“รีบพาข้าไปโรงประมูลนั่นเร็ว ข้าคันไม้คันมือจะแย่อยู่แล้ว!” ฉินจิ่วเกอตาแดงก่ำ เท้าตะกุยไปบนถนนราวกับกระทิงคลั่ง
เคล็ดกิเลนครองฟ้าถือเป็นเคล็ดที่อยู่เหนือวิชายุทธเก้าขั้นไปแล้ว จัดอยู่ในศาสตร์วิชาอันพลิกฟ้าสะท้านดิน
ในเมื่อเป็นศาสตร์วิชาระดับนี้ เงื่อนไขการใช้งานย่อมไม่ต่ำทรามอย่างแน่นอน
ด้วยระดับฝึกปรือของฉินจิ่วเกอ ย่อมไม่อาจสำแดงพลังสักหนึ่งในพันส่วนออกมาได้โดยเด็ดขาด
สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้ก็คือการตามหาวิชายุทธที่สามารถฝึกฝนจนคล่องแคล่วได้ในเวลาอันสั้นที่สุด เลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์พ่ายแพ้หมดสารรูป
เบื้องหลังโรงประมูลประจำทวีปฉงหลิงทั้งหมดมีผู้สนับสนุนหลักหนึ่งเดียวกัน นั่นก็คือสมาคมนักจัดวางค่ายกล
ในโลกนี้นอกจากผู้ฝึกตนยังมีองค์กรหลักที่ตั้งตัวเป็นเอกเทศจากเผ่ามนุษย์มารอสูรทั้งสามอยู่อีกสองแห่ง
นั่นก็คือสมาคมนักปรุงยา และสมาคมนักจัดวางค่ายกล
อย่างที่รู้กันโดยทั่ว นักปรุงยามีฐานะสูงส่งสุดสูง พลังอำนาจยิ่งใหญ่ไร้ทัดเทียม ไม่มีใครกล้าเอ่ยออกมาได้เต็มปากว่าจะไม่ต้องการความช่วยเหลือจากพวกมัน ไม่ว่าจะเป็นอาการบาดเจ็บปางตาย หรือการทะลวงด่านฝีมือ ก็ไม่พ้นต้องพึ่งพิงความสามารถการปรุงยา
นักปรุงยามีเงินไม่ขาดมือ สมาคมนักปรุงยายิ่งมีเงินทองที่ใช้อย่างไรก็ไม่มีวันหมด
แน่นอนว่านอกจากนักปรุงยา นักจัดวางค่ายกลยังหมายรวมถึงศาสตร์ทางด้านการจัดวางค่ายกลและการสกัดยุทโธปกรณ์
การสกัดยุทโธปกรณ์ก็คือศาสตร์การทำอาวุธ เป็นอีกหนึ่งสาขาอาชีพที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง
ส่วนการจัดวางค่ายกล นอกจากค่ายกลครองพรรคที่ทรงพลานุภาพของเหล่าบรรดาพรรคใหญ่แล้ว คุณประโยชน์อื่นๆ กลับมีไม่มาก ส่งผลให้สภาพการกินอยู่ของสมาคมนักจัดวางค่ายกลไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
ดังนั้นพวกมันจึงต้องเริ่มมองหาการค้าแนวใหม่ และโรงประมูลที่กระจายตัวอยู่ทั่วทวีปฉงหลิงก็คือหนึ่งในนั้น
โรงประมูลไม่ใช่สถานที่จัดแสดงการประมูลเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นตลาดการค้าขนาดใหญ่ ไม่ว่าสินค้าอะไรก็ล้วนสามารถนำมาขายต่อให้กับที่นี่ได้
ในฐานะขุมอำนาจที่เป็นเอกเทศและอยู่เหนือสามเผ่าพันธุ์ โรงประมูลทุกแห่งในใต้หล้าจึงอยู่ภายใต้ความคุ้มครองจากสมาคมนักจัดวางค่ายกล ใครก็ไม่กล้าตอแย
และสืบเนื่องจากผู้หนุนหลังที่มีอำนาจล้นฟ้าอย่างนี้เอง ที่ทำให้ธุรกิจการค้าของโรงประมูลเป็นไปอย่างดุเดือด จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเข่นฆ่าแย่งชิงรวมถึงของโจรเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ
และโรงประมูลในนครซวนอู่เองก็อยู่ภายใต้การคุ้มครองของสมาคมนักจัดวางค่ายกลเช่นเดียวกัน เป็นยักษ์ใหญ่ทางธุรกิจประจำเมือง ศิลาวิญญาณไหลสะพัดเข้าออกทุกวินาที
“ว้าว” ฉินจิ่วเกอยืนอยู่หน้าโรงประมูล มองดูอาคารที่ตั้งตระหง่านค้ำฟ้า กำแพงขาวปลอดแลดูแข็งแกร่งทนทาน พื้นปูกระเบื้องสีขาวสลับลวดลายสวยงามสะอาดตา สะท้อนให้เห็นถึงพลังอำนาจของสถานที่แห่งนี้
มองดูคลื่นมนุษย์ที่หลั่งไหลเข้าออกไม่ขาดสาย ดูตลาดเสรีที่ชุกชุมเนืองแน่นไปด้วยผู้คน
ขอเพียงจ่ายค่านายหน้าสักเล็กน้อย ก็สามารถแลกเปลี่ยนเจรจาการค้าได้อย่างปลอดภัย นอกจากโรงประมูล ที่นี่ก็คือสถานที่ที่พลุกพล่านได้รับความนิยมมากที่สุด
“พี่ฉินเชิญเลือกชมได้ตามสบาย ที่นี่มีเคล็ดวิชายุทธไม่น้อย แต่ถ้าต้องการเคล็ดวิชาที่เหมาะสมกับท่าน จำต้องใช้เวลาสอดส่องเสียหน่อย”
ซ่งเล่อพาฉินจิ่วเกอเดินเข้างาน เพื่อป้องกันมิให้ฉินจิ่วเกอเล่นทีเผลอ จึงต้องเก็บแหวนมิติให้มิดชิด ทำถึงขั้นว่าเปลี่ยนเป็นชุดเนื้อหยาบที่ยากต่อการล้วงขโมย
สรุปสั้นๆ คือ ข้านั้นจนมาก ยังหวังให้พี่ฉินยั้งมือไว้ไมตรี
ในขณะที่ซ่งเล่อกำลังเดินแนะนำสถานที่ให้กับฉินจิ่วเกออยู่นั้น ในกลุ่มคนก็มีชายคนหนึ่งย่างสามขุมออกมา ท่าทางจองหอง ปากคอเราะร้าย “ฮี่ฮี่ นี่ไม่ใช่ยอดอัจฉริยะน้อยของพวกเราหรอกหรือ อะไรกัน ทนอยู่ในพรรคไม่ได้จนต้องออกมาทำตัวเป็นพยัคฆ์ขู่ขวัญผู้คนอยู่ในสถานที่เล็กๆ แบบนี้เชียวหรือ?”
ทันทีที่เปิดปาก ก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายมีความบาดหมางกับซ่งเล่อ ทั้งยังไม่ใช่ความบาดหมางเล็กๆ อีกด้วย
“เฉียนหยุน อย่าให้มันมากเกินไปนัก” ซ่งเล่อไม่ใช่คนประเภทยอมถูกข่มเหงเอาง่ายๆ หากมันก็ไม่ได้ระเบิดโทสะออกมาในทันที เพียงแค่ส่งคำเตือนให้อีกฝ่ายเท่านั้น
แต่อีกฝ่ายไม่เพียงไม่สนใจคำเตือนของซ่งเล่อ ยังมายืนจังก้าขวางทางคนทั้งสอง จมูกเชิดขึ้นตามองต่ำ “ศิษย์พี่อย่างข้ากำลังสั่งสอนเจ้า เจ้ากลับกล้าไม่ฟัง?”
ว่าแล้วชายที่เรียกเฉียนหยุนก็เดินดุ่มๆ เข้าหา ฉินจิ่วเกอในที่สุดก็เห็นหน้าอีกฝ่ายถนัดตา พลันต้องย้อนกลับมามองตัวเอง ความแตกต่างระหว่างตนกับซ่งเล่อ มีเพียงด้านบุคลิกนิสัยเท่านั้น
แต่ความต่างระหว่างซ่งเล่อกับเฉียนหยุนผู้นี้ เรียกได้ว่าตั้งแต่หูตาปากจมูกไปจนถึงทุกส่วนบนร่างกายเลยก็ว่าได้
มิน่ามันถึงได้เหม็นขี้หน้าซ่งเล่อเอาขนาดนี้ หน้าเหมือนกวางตาเหมือนหนู ปากแหลมแก้มตอบเหมือนลิง โดยเฉพาะผิวของมัน ต่อให้เอาไปแช่ในน้ำกรดสามร้อยหกสิบห้าวันก็ยังไม่บุบสลาย
“เฉียนหยุน อย่ารังแกกันจนเกินไปนัก คิดหรือว่าข้าจะกลัวเจ้า” ซ่งเล่อกัดฟันกล่าว
หลังสืบทอดมรดกดวงธาตุทองคำของชนชั้นกฎสรรพสิ่งมาแล้ว มันเชื่อว่าตนจะสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ในเวลาสามเดือน เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาจะแตกหัก
“ทำไม หรือว่าพอได้รับการยกย่องสรรเสริญจากพวกทุรกันดารเข้าหน่อย ก็เลยคิดว่าตัวเองยอดเยี่ยมมากงั้นสิ?”
เฉียนหยุนไม่ถูกชะตากับซ่งเล่อมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่อีกฝ่ายไม่ยอมสะสางบัญชีกันให้รู้แล้วรู้รอดเสียที ศิษย์หน้าใหม่ที่กล้ามองข้ามหัวมันเช่นนี้ ชีวิตภายในพรรคของมันจะต้องเต็มไปด้วยความยากลำบาก รอให้ตนทะลวงขั้นพิสุทธิ์ไพศาลเสียก่อน ซ่งเล่ออย่าหวังว่าจะได้อยู่อย่างสงบสุข
“ศิษย์ฝ่ายในประตูหายนะ?” ฉินจิ่วเกอกระซิบถามซ่งเล่อ รู้สึกหัวเสียตามไปด้วย จึงเริ่มวางแผนจัดการคนตรงหน้าแทนซ่งเล่อ
“อืม” ซ่งเล่อผงกศีรษะ
พับผ่า ที่แท้เป็นศิษย์ฝ่ายในนี่เอง
ขอเพียงไม่ใช่ศิษย์สายตรง ในอนาคตซ่งเล่อย่อมไม่จำเป็นต้องแยแสให้เปลืองสายตา
ปลาซิวปลาสร้อยที่ชื่อเฉียนหยุนตัวนี้ เป็นแค่หินรองเท้าที่ฟ้าส่งมาให้กับมันเท่านั้น