เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 32 แนวโน้มนานาชาติ
ตลอดรายทาง ฉินจิ่วเกอเลือกซ้ายเสียดายขวา สักครู่ก็เปล่งเสียงแหลมแสบแก้วหูออกมา
ตกใจแทบตายแล้ว สถานที่นี้สิ่งของมากมายเกินไป วัตถุเกลื่อนกลาดดาษดา ขณะเดียวกันราคาก็แพงจนชวนโมโห
ตนเองปล้นทรัพย์ศิษย์น้องรองและซ่งเล่อสองแพะอ้วนมา เมื่อหักกลบกับหนี้เสียที่ตนเองก่อไว้ ที่ตนเองสามารถใช้ได้ เกรงว่ามีเพียงวิชายุทธระดับสี่เท่านั้น
เมื่อสภาพการณ์เป็นเช่นนี้ คล้ายถูกกำหนดแล้วว่าคงไม่มีผลรับอันใด
“ราคาไม่ถือว่าสูงมาก ถือว่ากลางๆ” ซ่งเล่อจงใจเดินห่างจากฉินจิ่วเกอช่วงหนึ่ง ท่าทางของอีกฝ่ายน่าขายหน้าจนเกินไป แถมยังโหวกเหวกโวยวายอีกด้วย
ฉินจิ่วเกอเอนเข้ามาหาอย่างไม่รู้ตัว เอ่ยพร้อมแย้มยิ้มหยี “งั้นเจ้าให้ข้ายืมหน่อยได้มั้ย?”
“จากนั้นเจ้าระเหยหายไปจากโลก นับแต่นี้จนตายไม่พบพาน?” ซ่งเล่อพยากรณ์อนาคต แม่นมากเลยทีเดียว
“ของพวกนี้แพงจนเกินไป ข้าไม่มีปัญญาซื้อ” ฉินจิ่วเกอกางแขนทั้งสองข้างโอบอากาศ ถาโถมเข้าหาซ่งเล่อ รำพันถึงชีวิตที่ไม่อาจช่วยเหลือของตนเอง
“ข้าเองก็ไม่มีหนทาง รอจนข้าขึ้นทำเนียบวีรชนรุ่นใหม่แล้ว ทรัพยากรที่ได้คงมากขึ้นไม่น้อย”
ซ่งเล่อใจกว้างต่อผู้ยากไร้ แต่น่าเสียดายคนไม่มีกำลังทรัพย์
มันเป็นคนถือคุณธรรม วิธีการหาเงินยิ่งยึดถือหนทางเที่ยงธรรม ไม่ขายตัว ยิ่งไม่ขายไต
“เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าน่าสมเพชขนาดไหน ติดค้างหนี้ศิลาวิญญาณของคนอื่นไม่ต้องกล่าว ยามนี้หลังบ้านถูกวางเพลิง ศิษย์น้องรองคิดเลื่อยขาเก้าอี้ หากข้าไม่อาจหาเมฆเจ็ดสีมาขี่กลับสำนักได้ ตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่ของข้าคงไม่อาจรักษาไว้”
ฉินจิ่วเกอปิดหน้า สะอึกสะอื้นรำพันอย่างเสแสร้ง
น่าเวทนานัก ช่างเจ็บปวดราวฉีกปอดกระชากใจ คนไม่เคยกระทำความผิดถึงขั้นฟ้าพิฆาตดินลงทัณฑ์แท้ๆ กลับต้องร่วงหล่นลงจนมีสภาพเยี่ยงนี้
เจ้ากระต่ายน้อยอันไร้เดียงสา ต้องมาถูกนายพรานอัปลักษณ์เหี้ยมโหดประหัตประหารฆ่าอย่างโหดร้าย
ช่างน่าเจ็บปวดใจยิ่งแล้ว เพียงฟังก็ต้องหลั่งน้ำตานอง
“ในเมื่อตอนนี้ข้าก็ไม่มีเงิน หากเจ้าต้องถูกน้องรองเตะออกจากสำนักจริงๆ เจ้าคิดทำอย่างไร?”
ซ่งเล่อถามแผนการรับมือของฉินจิ่วเกอ ทันทีที่หลุดจากเก้าอี้เลี่ยมทองของศิษย์พี่ใหญ่ มันจะไปก่อกวนทำร้ายผู้ใดต่อเล่า ช่างเป็นเรื่องเล่าอันน่าอนาถอนาถานัก
“หากต้องเสียฐานะศิษย์พี่ใหญ่ไปจริง ข้าคิดออกท่องใต้หล้าหาประสบการณ์ ซ่องเสพความงามทิวทัศน์”
ฉินจิ่วเกอยามนี้ยืนอยู่บนยอดเขาสล้าง กลางหลังสะพายกระบี่ ร่างยืนหยัดท้าสายลม ไถ่ถามพสุธาไพศาล ผู้ใดบงการชะตาขึ้นลงของมนุษย์
“ท่องใต้หล้าหาประสบการณ์?” ซ่งเล่อละอายไม่กล้าบอกความจริงต่อฉินจิ่วเกอ อาศัยพลังฝีมือระดับเจ้า ไม่ต่างจากยายเฒ่ารับประทานพลับ ยังคงเลือกลูกที่อ่อนนิ่มเถอะ
ฉินจิ่วเกอมองดูซ่งเล่ออย่างเหยียดหยาม ประดุจดั่งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สุดยอดแห่งพิภพ แววตาบ่งบอกว่ามันเป็นเพียงมนุษย์โง่เขลาธรรมดาเท่านั้น
ซ่งเล่อสะกดระงับอารมณ์คุกรุ่น คิดอยากทุบตีคน ความสามารถในการพลิกดำเป็นขาวของพี่ฉินท่านนี้ไม่อาจปิดซ่อนไว้ได้จริงๆ
ในฐานะของจิตวิญญาณที่กลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์สามชาติ ข้ามภพสองครั้ง ฉินจิ่วเกอกลับมิได้สั่งสมความได้เปรียบกว่าผู้อื่นในด้านใด ความโมเอะสู่น้องเล็กไม่ได้ ตะกละสู้เจ้าอ้วนน่าตายไม่ได้ พรสวรรค์ยิ่งไม่ต้องกล่าว นับเป็นระดับกลางค่อนไปทางต่ำยังเต็มฝืน
พรสวรรค์ระดับกลางๆ ที่จริงนับเป็นโศกนาฏกรรมเพียงพอแล้ว ยังจะเพิ่มค่อนไปทางต่ำเข้ามาอีก สมควรให้บรรดาเหล่าผู้ข้ามภพทั้งหลายต้องอดกังวลแทนฉินจิ่วเกอไม่ได้จริงๆ
หากคิดเปรียบข้อดีจริงๆ สิ่งเดียวที่ฉินจิ่วเกอพอจะหาออกมาได้ ก็คือความคุ้นเคยต่อแบบแผนเรื่องราวต่างๆ ในนิยาย
ทุกเรื่องเล่า ต้องมีตัวเอก ไม่มียกเว้น
ในทวีปฉงหลิงนี้ ระลอกคลื่นลับหนุนเนื่อง ยอดพรสวรรค์ถือกำเนิด คือเวลาของการเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการแก่งแย่งในตำนานนั่นเอง
ในโลกอันวุ่นวายชิงอำนาจของขุมกำลังต่างๆ ตัวเอกที่กำลังจะปรากฏโฉม สมควรถือกำเนิดมาแล้ว ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากวิถีฟ้า
ตัวเอก!
ไม่ว่ามีภูมิหลังเช่นไร ไม่ว่าจะมีพรสวรรค์ระดับไหน
เพียงคำตัวเอกคำเดียว ต่อให้เป็นยอดยุทธ์พรสวรรค์จากปางไหน ก็เป็นได้เพียงหินรองเท้าของหมอนั่นเท่านั้น!
ฉินจิ่วเกอไม่หยุดจินตนาการ ตำนานกระบี่ประกายเยือกแข็ง ทายาทสวรรค์ของทั้งสิบสี่ทวีปนั่น
ประสบการณ์ที่ผ่านมาได้มอบลูกตบฉาดเต็มหน้าจนแก้วหูลั่นแก่มัน บอกต่อฉินจิ่วเกออย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ไม่ใช่มัน!
ในเมื่อไม่ใช่ตัวเอก เช่นนั้นต้องตามหาตัวเอก ขอเพียงสามารถเกาะต้นขาอวบของตัวเอกเอาไว้ อนาคตต่อไปย่อมมั่นคงแล้ว
ไม่ต้องสนใจกลั่นดวงธาตุกฎสรรพสิ่งอันใดพวกนั้น ยิ่งกับบรรพชนเฒ่า เมื่ออยู่ต่อหน้าตัวเอก ก็เป็นแค่เศษสวะ
มันวิเคราะห์ภูมิหลังของซ่งเล่อแล้ว ฉินจิ่วเกอต้องกลั้นใจบอกต่ออีกฝ่ายด้วยความเวทนา เจ้าก็ไม่ใช่ตัวเอก
ตัวเอกที่แท้ ต้องหล่อเหลางามสง่า มีปณิธานแกร่งกร้าว และที่สำคัญ มีดวง
ไม่เพียงต้องมีหญิงงามพร้อมถลาเข้าอ้อมอก ยังต้องมีสัตว์อสูรที่พร้อมเสนอรังของมันออกมา มีทักษะยุทธพลิกฟ้า รับมรดกบรรพกาล เป็นที่รักของเทพยดาทั้งหลาย
“หากต้องถูกชิงตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่ไปจริงๆ ข้าต้องหาเขาให้พบ!”
ฉินจิ่วเกอตกลงปลงใจ ในแววตาเปี่ยมขวัญกำลังใจ แสดงความแน่วแน่ ไม่ยอมให้ใครหรือสิ่งใดมาทำให้หวั่นไหวได้
ความเชื่อมั่นว่าต้องตามหาอีกฝ่ายจนเจอนี้ เกรงว่าต่อให้หลบหนีไปไกลสุดขอบฟ้าโพ้นทะเล ล้วนไม่อาจรอดพ้น
ซ่งเล่อที่ด้านข้าง มองดูฉินจิ่วเกอด้วยความเลื่อมใส
ที่แท้เป็นเพราะสาเหตุอันใด พี่ฉินจึงมุ่งมั่นตามหาผู้แซ่ตัวอันใดนั่นให้พบ มีเพียงความเป็นไปได้หนึ่งเดียว อีกฝ่ายติดค้างหนี้สินเงินทองต่อฉินจิ่วเกอ ทั้งต้องเป็นเงินจำนวนมากอีกด้วย
“เอ๋? นั่นมันอะไร?” ตามหาพันร้อยพันเที่ยงไม่พบพาน ฉินจิ่วเกอเพียงหันหลังมาก็พบเจอ มันพบเห็นเจ้าของร้านอายุพอๆ กัน ที่หน้าร้านวางไว้ด้วยท่อนไม้ขนาดใหญ่ท่อนหนึ่ง
หากเป็นร้านอื่น ล้วนแล้วแต่เป็นวาณิชหน้าเก่าที่ลื่นราวปลาไหลในน้ำมัน หน้าร้านวางเกลื่อนด้วยสินค้าละลานตา สมบัติอัญมณีมีค่าดารดาษจนผู้คนต้องกลอกตาวุ่นวาย อย่างน้อยมีไม่น้อยกว่าร้อยชิ้น
สิ่งของธรรมดาไร้ราคาอันใด ภายใต้ลมปากของพวกมัน ล้วนแล้วแต่ศักดิ์สิทธิ์สูงค่าน่าแตกตื่น เป็นโชคชะตาวาสนาฟ้าที่หลงเหลือมาถึงวันนี้
เกรงว่าแม้แต่ท่อนไม้ธรรดาท่อนหนึ่ง ภายใต้ฝีปากของพ่อค้าหน้าเลือด ล้วนกลับกลายเป็นศิลาจากตัวประหลาดกฎสรรพสิ่ง เจ้าหากคิดอยากได้ ย่อมไม่ใช่ของราคาถูกแน่นอน
มีเพียงร้านค้านี้ ไม่ร้องแรกแหกกระเชอ ทั้งไม่เรียกร้องเชิญชวนลูกค้าก่อน
ฉินจิ่วเกอค่อยๆ ทรุดกายลงที่ตรงมุม โดดเดี่ยวยิ่ง มีเรื่องราวยิ่ง ชายผ้าสีแดงปูบนพื้น วางไว้ด้วยท่อนไม้ที่เลอะดินโคลนเต็มไปหมด เพียงนี้เท่านั้น
อ้างอิงจากแบบแผนพัฒนาการเรื่องเล่าของนิทานนานาชาติ ลางสังหรณ์กำลังบอกต่อฉินจิ่วเกอ ท่อนไม้สกปรกเลอะเทอะท่อนนี้ ไม่แน่ว่าบรรจุไว้ด้วยสมบัติล้ำค่าจากบรรพกาล นี่จึงเป็นคำอธิบายที่ถูกต้อง
“พี่ชาย เจ้าขายอะไร?”
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ของพัฒนาการเรื่องเล่า ฉินจิ่วเกอก้าวเข้าไปด้วยท่าทีเป็นมิตร บุคลิกสุภาพอ่อนโยนราวหยกชวนให้ผู้คนบังเกิดความรู้สึกที่ดี
อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้น ถูดวงตาที่บวมปูด เอ่ยตะกุกตะกัก “เป็น เป็นโอสถวิญญาณ”
มองดูองคาพยพบนหน้าที่เรียบง่ายธรรมดาสุดแสน เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ฉินจิ่วเกอนับว่าค้นหาใบ
เพียงมองดูก็รู้ เด็กน้อยนี้มิใช่คนค้าขาย แค่มีคนถามไถ่สินค้า ถึงกับใบหน้าแดงขึ้นมา
“โอสถวิญญาณ?” ซ่งเล่อกริ่งเกรงฉินจิ่วเกอได้รับความลำบาก ยกท่อนไม้ขึ้นมาสำรวจตรวจสอบ กลับไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลังโอสถจากโอสถวิญญาณอันใด
อย่างเช่นตัวท่อนไม้เอง ก็ไม่มีที่ใดโดดเด่น ไม่ว่ามองจากมุมใด ก็เป็นเพียงไม้ธรรมดาท่อนหนึ่ง อย่างดีก็อาจฝืนเรียกเป็นเก้าอี้ไม้ได้ตัวหนึ่ง
หากต้องบอกว่ามันมีอันใดพิเศษจริงๆ ก็คือความแกร่งของเนื้อไม้ที่สูงส่งพิสดาร เกรงว่าต่อให้เป็นศัสตราวิเศษ ยังไม่อาจทิ้งรอยไว้ได้ง่ายๆ
“หากเป็นโอสถวิญญาณ สมควรนำไปยังสมาคมนักปรุงยา ข้าว่านี่เพียงเป็นท่อนไม่ทื่อด้านท่อนหนึ่ง กระทั่งโอสถวิญญาณระดับหนึ่งยังไม่สามารถนับได้”
ซ่งเล่อประเมินวัตถุตรงหน้าด้วยความผิดหวังยิ่ง การมองของมัน ก็คือการมองของบุคคลส่วนใหญ่ทั่วไป
เด็กหนุ่มอ้าปากหวอ รู้สึกละอายอยู่บ้าง
มันก่อนหน้านี้เอาไปยังสมาคมนักปรุงยาแล้ว บรรดานักปรุงยาชั้นยอดเหล่านั้นมองดู ก็โยนมันออกมาด้วยใบหน้าดำคล้ำ ถูกด่าทอจนคนเห็นยังต้องแตกตื่น
“ไม่ใช่ท่อนไม้ธรรมดา นี่เป็นสมบัติบนเขาของพวกเรา ข้าฟังท่านปู่เล่า ยามที่ท่านยังเยาว์ ต้นไม้วิเศษนี้ก็ถูกปลูกบนเขาเราแล้ว ทุกคืนจันทร์เต็มดวง ต้นไม้เทวะนี้จะเรืองแสงออกมา ส่องสว่างไปนับร้อยเมตร”
เมื่อถูกคนบอกว่าเป็นของไร้ค่า เด็กหนุ่มอธิบายยืนกรานแนวคิดของตนเองอย่างดื้อรั้น ศีรษะก้มต่ำไม่กล้ามองดูโดยละเอียด
ไม้เทวะย่อมเป็นโอสถวิญญาณอันสูงค่ายิ่ง เพียงแต่พวกท่านไม่มีนัยน์ตา!
“เท่าไหร่”
ไม่อาจมองออกได้ว่าไม้เทวะนี้มีความพิเศษจำเพาะอันใด นอกจากแข็งเป็นพิเศษ หรือว่าจะเอาไว้ใช้เป็นอาวุธลับยามต่อสู้?
“สะ สองร้อยศิลาวิญญาณ” เด็กหนุ่มแม้ประหม่าอับอาย กลับเสนอราคาสูงท่วมฟ้าราวสิงโตคำราม
“สองร้อยศิลาวิญญาณ?” ซ่งเล่อโมโหจนหัวร่อออกมา ช่างเลวทรามโดยแท้ เปรียบเทียบการบรรยายสรรพคุณ บรรดาพ่อค้าปลาไหลหน้าเลือดยังรู้จักบรรยายชื่อแซ่ที่มา ยังมีสีสันกว่าที่เจ้าเด็กนี่บอกเล่าออกมานับสิบเท่า ขนาดสามารถออกหนังสือขายได้เลยเทือกนั้น
เรื่องเล่าที่มาเป็นเพียงส่วนเสริม ให้คนยินดีควักกระเป๋าออกซื้อหา พิสูจน์ว่าสินค้ามีราคาค่างวดเท่าใด
“สองร้อย?” ฉินจิ่วเกอตระหนกอยู่บ้าง ทว่ามิได้เอ่ยวาจาดูหมิ่นดูแคลน
ราคาแม้สูงอยู่บ้าง ทว่าจากพัฒนาการของเรื่องราวแล้ว เปิดออกมาสมควรได้รับการปรบมือหรือโชควาสนาอันใด เสี่ยงไม่เสี่ยงดี?
ตัวเอกที่แท้จริง ต่อให้ซื้อหาของชั้นเลวมาก็กลายเป็นขั้นเทพ ส่วนพวกตัวประกอบ ต่อให้ซื้อศัตราเทวะยังกลายเป็นเสื้อผ้ามารดาผู้อื่นไป
ความจริงอันโหดร้าย ฉินจิ่วเกอคาดคำนวนในใจ สมควรเสี่ยงดีหรือไม่
“พวกเราไปเถอะ”ซ่งเล่อตบบ่าฉินจิ่วเกอ ตระเตรียมยกเท้าเดินออกมา
ฉินจิ่วเกอคุกเข่าลงนั่งระดับเดียวกับเด็กหนุ่ม สองมือกอดเข่า มุดศีรษะลงไป ซุบซิบพึมพำอันใดกับเด็กหนุ่มนั่น สุดท้ายยังคงเป็นฉินจิ่วเกออดไม่ได้ เดาะลิ้นกล่าวว่า
“ลดหน่อยได้หรือไม่?”
ซ่งเล่อตะลึงลาน ฉินจิ่วเกอที่รักเงินยิ่งชีพ เมื่อใดกันที่ยินยอมเป็นนักบุญผู้อารี โดยเฉพาะนักบุญที่ยังใจบุญกว่าโต้วเอ้อร์อีกด้วย ขอเพียงมีความรู้เรื่องสินค้าอยู่บ้าง รับประกันล้วนล่วงรู้ว่าไม้ท่อนนี้ไม่มีประโยชน์ใช้สอยใดๆ
เกรงว่าแม้หมื่นปีผ่านไปกลายเป็นฟอสซิล ไร้พลังวิญญาณใด ๆ ยังคงไร้ค่าเช่นเดิม
“พี่ฉิน ท่านคิดให้ดีก่อน” ซ่งเล่อกระตุ้นเตือน วิตกกังวลแทนฉินจิ่วเกอ พี่ฉินประสบเคราะห์กรรม อีกเดี๋ยวที่รับบาปคงไม่พ้นตนเอง
ในสายตาของซ่งเล่อ ฉินจิ่วเกอกำลังบำเพ็ญเป็นนักบุญ กลับไปอาจถึงขั้นแขวนคอฆ่าตัวตาย แต่ในสายตาของฉินจิ่วเกอ อย่างมากก็ถือเป็นบทเรียนสอนใจ ขอบเขตราคายังอยู่ในระดับที่ตนรับได้
“ไม่ได้ สองร้อยศิลาวิญญาณ ไม่อาจลดลงแม้แต่แดงเดียว” เด็กหนุ่มแม้ประหวั่นต่อใต้เท้าทั้งสอง แต่ปากยังแยกเขี้ยวขาว รวมขวัญกำลังใจเอ่ยออกมา
“เจ้าบ้าไปแล้ว อยากได้ของแบบนี้” ซ่งเล่อใกล้เสียสติเต็มที มองอีกฝ่ายเป็นคนไร้สมองแทน
ฉินจิ่วเกอมองประเมินเด็กหนุ่มตรงหน้า พบว่าดวงตาอีกฝ่ายซ่อนร่องรอยอาการบาดเจ็บ ใบหน้าเรียบง่ายบิดเบี้ยวด้วยความขมขื่นขุ่นแค้น อีกฝ่ายไม่ได้กล่าวโป้ปด อย่างน้อยในช่วงเวลาที่บรรพบุรุษของมันยังอยู่ ไม้เทวะนี้ยังคงอยู่บนภูเขา
“ได้ สองร้อยก็สองร้อย!”
ฉินจิ่วเกอลูบอก เกรงตนเองอดรนทนไม่ไหว กระอักโลหิตออกมา
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น ดวงตางดงามเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
สหายของมันทางด้านหลังผู้นั้นออกปากอย่างชัดเจน ไม้ท่อนนี้ไม่มีพลังวิญญาณ มันที่แท้ไร้นัยน์ตา หรือว่าไร้นัยน์ตากันแน่?
ไม่ว่าเท่าไหร่ก็ช่าง ขอเพียงมีคนยินดีเป็นนักบุญก็พอ
เด็กหนุ่มแม้ภายในทึ่มทื่อแต่คนไม่โง่เขลา สองร้อยศิลาวิญญาณ สำหรับกับคนทั่วไปแล้วนี่เป็นสมบัติร่วงหล่นจากฟ้า
“หนึ่งก้อน สองก้อน” ฉินจิ่วเกอนั่งลงบนพื้นอีกครั้ง ควักศิลาวิญญาณออกมาจากแหวนมิติอย่างช้าๆ มองดูศิลาวิญญาณลอยลิ่วเริงร่าออกจากฝ่ามือตนเอง คนต้องร่ำไห้ออกมา
ฉินจิ่วเกอใช้ดวงตาระริกหยาดน้ำมองไปยังอีกฝ่าย สะอึกสะอื้น “ลดหน่อย ลดให้หน่อย”
เด็กหนุ่มสั่นศีรษะเด็ดเดี่ยว สองร้อยศิลาวิญญาณ เกินไม่เอา ขาดไม่ได้
ซ่งเล่อไม่ห้าม ในเมื่อฉินจิ่วเกออิ่มหนำไร้เรื่องราวกระทำ ก็ให้มันทำตามใจปรารถนาเถอะ
มองดูพี่ฉินหน้าตอบซูบเซียว นับเป็นความเพลิดเพลินแห่งชีวิต เป็นความรู้สึกหฤหรรษ์ ผ่อนคลายจิตใจอย่างที่สุด
หลังควักศิลาวิญญาณจ่ายออกจนครบจำนวนแล้ว ฉินจิ่วเกอจึงนำไม้ท่อนนั้นเก็บใส่แหวนมิติอย่างทะนุถนอม แววตาทั้งเศร้าหมองทั้งยินดีสลับกันให้วุ่น
ซ่งเล่อส่ายหน้าถอนใจอย่างระอา ถ้าเพียงแต่สมองของพี่ฉินไม่ได้มีแต่ขี้เลื่อยแล้วละก็
สักพัก เจ้าเด็กขี้อายก็หอบข้าวหอบของเดินจากไปด้วยสีหน้ารื่นเริงเบิกบาน
เมื่อกลับถึงโรงเตี๊ยม เงาร่างที่กำลังนั่งเขมือบลูกหมั่นโถวอย่างตะกละตะกลามอยู่ตรงมุมห้องดึงดูดสายตาฉินจิ่วเกอเข้าอย่างจัง นี่ไม่ใช่คนที่เพิ่ง……