เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 41 หน้าส้นรองเท้า
อาจเป็นเพราะรังเกียจว่าจะสกปรก ผู้ชราท่านนั้นจึงล้วงเอาผ้าสีขาวสะอาดออกมารองไว้ใต้รองเท้า
สายตาที่ทุกคนใช้มองมันจากข้างหลังไม่ต่างจากกำลังมองเทพเซียนเลยก็ปาน
ยกมือลูบคางเกลี้ยงมนไปพลาง ปากคาบใบไม้ไปพลาง ฉินจิ่วเกอรู้สึกว่าตาแก่นี่คุ้นตายิ่งนัก
แต่จะเป็นใครนั้น มันเองก็จำไม่ได้
“ท่านผู้เฒ่า ระวัง!” อาวุโสมู่หยวนร้องเตือนไม่ให้อีกฝ่ายสบประมาทคู่ต่อสู้
ด้วยฝีมืออันประหลาดพิกลของผู้ฝึกวิชาอสูร รวมกับพลังของศาสตราบรรรพกาล เงาดำอาศัยพลังของดวงธาตุขั้นสี่ต้านทานดวงธาตุขั้นหกร้อยกระบวนยังไม่ตกเป็นรอง
ทุกวันนี้ ยอดฝีมือกฎสรรพสิ่งไม่ปรากฏ ยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุคล้ายเป็นยอดยุทธ์ที่มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งที่สุด ผู้เฒ่าชราแม้พลังฝีมือสูงส่งกว่าเงาดำนั่น แต่ไม่สมควรชิลล์ขนาดนี้กระมัง
ผู้เฒ่าชราจัดการรองเท้าผ้าของมัน ธวัชหมื่นมารแหวกฝ่าอากาศฟาดเข้าใส่ศีรษะ พลังวิญญาณแตกกระจายออกรอบข้าง แม้แต่ห้วงมิติโดยรอบยังสั่นสะท้าน
กราวว
พื้นดินกลายเป็นฝุ่น ผงคลีคละคลุ้ง
มีแต่พื้นศิลาใต้ฝ่าเท้าผู้ชราขนาดครึ่งลี้เท่านั้นที่ยังมั่นคงเหมือนเขาไท่ซาน ไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย
“ตาย!” เงาดำรีดเค้นพลังทั้งหมดเลือกแทงไปข้างหน้า
ธวัชหมื่นมารที่ปกคลุมด้วยคมมีดตรีศูลอันเยียบเย็นขณะที่กำลังจะผ่าเปิดกะโหลกศีรษะของผู้ชราอยู่นั้น กลับจ่อนิ่งอยู่ห่างจากหว่างคิ้วเพียงเส้นกั้นกระดาษบางๆ ทำอย่างไรก็ไม่อาจรุกคืบมากไปกว่านี้
“เป็นเพราะอากาศร้อน เจ้าก็เลยโยนตาข่ายดักยุงมาให้เราผู้ชรางั้นรึ?” ผู้ชราโบกมือลวกๆ คราหนึ่ง ธวัชหมื่นมารก็ตกมาอยู่ในมือมัน พลิกซ้ายพลิกขวาอยู่สองสามคราก็หมดความสนใจเก็บเข้าจุดตันเถียนของตัวเอง
ธวัชหมื่นมารผ่านการกรีดเลือดยอมรับนายจากเงาดำไปแล้ว แต่เพราะความอหังการของผู้ชรา เพียงลงมือคราเดียวก็ลบตราประทับเลือดออกไปได้ง่ายๆ
“พรวด!”
สมบัติถูกช่วงชิง เงาดำรับบาดเจ็บสาหัส กระอักโลหิตออกมาไม่หยุดยั้ง
เงาดำที่ไม่อาจเห็นใบหน้าชัดเจน มีเพียงดวงตาแดงก่ำสองข้าง ภายในคุคั่งด้วยเปลวอัคคีร้อนแรง ชั่วร้ายพยาบาทจนต้องสั่นสะท้านด้วยความหวาดผวา
“เอาสมบัติวิเศษของข้าคืนมา!”
เงาร่างสีดำถาโถมเข้าใส่ ร่างของมันห้อมล้อมด้วยไอพลังวิญญาณเข้มข้นหนาทึบ สามารถถล่มขุนเขาราบเป็นหน้ากลอง
ผู้เฒ่ายกรองเท้าขึ้น รองเท้าผ้าธรรมดาๆ เมื่ออยู่ในมือของมันกลับสะท้อนไอวิญญาณที่มีเพียงสมบัติระดับกฎสรรพสิ่งจึงสำแดงออกมาได้ ศักดิ์สิทธิ์สูงส่ง ไม่อาจลบหลู่ได้
เลือดเนื้อและวัตถุ เวลาและพื้นที่ การเคลื่อนไหวและความเร็ว
เสียงเนื้อถูกกระแทกอันสดใสดังขึ้นคราหนึ่ง ใบหน้าของทุกผู้คนสั่นสะท้าน ตื่นตระหนกจนร่างสะท้าน
เงาดำถูกรองเท้าของท่านผู้เฒ่าตบกระเด็นลอยออกไป ภายใต้ไอปีศาจดำมะเมื่อม ปรากฏใบหน้าประทับรอยเท้าดวงหนึ่ง ชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายมีใบหน้าเป็นรองเท้า หากแต่เป็นรองเท้าที่ประทับลงบนใบหน้ามัน ตบจนใบหน้ากระดูกเลือดเนื้อของมันแปรเปลี่ยนสภาพไป
ยามนี้ดวงหน้าของเงาดำนั้น สภาพดูไปไม่ต่างจากพื้นรองเท้าเท่าใดนัก
“ฮือฮือ”
ฟันร่วงหล่นลงสู่พื้น เงาดำเจ็บปวดขื่นขมหากไร้วาจาจะกล่าว ไม่กล้าลงไม้ลงมืออีกอย่างสิ้นเชิง คนหมุนตัวคิดหลบลี้หนีหน้า
พลังที่ห่างชั้นจนเกินไป ตนเองงัดเอาไม้ตายที่ร้ายกาจที่สุดออกมาแล้วแท้ๆ คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายกระทั่งทักษะยุทธ์หรือศัสตราใดยังคร้านจะใช้ออก เพียงตวัดพื้นรองเท้าส่งๆ มาคราเดียว ตนเองถูกอัดเละจนไม่เป็นผู้เป็นคน
เงาดำหวาดผวายิ่ง ในสายตามันตอนนี้รูปลักษณ์แย้มยิ้มเมตตาของผู้เฒ่า เปรียบกับผีร้ายที่ตามทวงวิญญาณมันยังน่ากลัวยิ่งกว่า
“กลับมา!”
วาจาของผู้เฒ่าราวประกาศิตสวรรค์ เงาดำไม่ทันหลบหนีไปที่ใด ก็ถูกพลังไร้สภาพสายหนึ่งลากดึงกลับมาดั่งเศษขยะชิ้นหนึ่ง
อาวุโสมู่หยวนเบิกตาอย่างโง่งม ผู้เยาว์ทั้งหลายต่างตะลึงค้าง
กลั่นดวงธาตุขั้นสี่ ยังมีอาวุธบรรพกาล ถูกท่านผู้เฒ่าที่เพียงพลิกฝ่ามือก็ล้มลุกคลุกคลานราวสุนัขเถื่อน อีกฝ่ายที่แท้มีพลังฝีมือน่าหวาดหวั่นถึงระดับใด?
ไม่กล้าคาดคิด พลังแท้จริงของอาวุโสประตูหายนะ ที่แท้เข้มแข็งอ่อนแอกว่าอีกฝ่ายอยู่กี่ส่วน
อาวุโสมู่หยวนมั่นใจว่าอีกฝ่ายมิใช่คนของประตูหายนะแน่นอน
มีเพียงฉินจิ่วเกอที่นั่งเคี้ยวต้นไม้ใบหญ้า ใคร่ครวญถึงตาแก่คุ้นตาผู้นี้ ที่แท้หมอนี่คือใครกัน?
“ปล่อยข้าไปเถอะ”
เงาดำมองหน้าผู้เฒ่าด้วยสายตาเว้าวอน
นับแต่เกิดมา นี่เป็นครั้งที่สองในชีวิตมันที่สิ้นหวังปานนี้ ครั้งแรกคือครั้งที่มันตัดสินใจเข้าร่วมพรรคมาร
น่าสมเพชเวทนาราวสุนัขบ้าไล่งับหางตนเอง ผู้เฒ่าแสดงความเมตตา ใบหน้าใจดีเรืองรองใต้แสงอาทิตย์ “เห็นว่าเจ้าน่าเวทนาปานนี้ ข้าจะทำใจฆ่าเจ้าได้ยังไง”
พร้อมกันนั้น ชายชราผู้เมตตาเอื้อมมือออกเช็ดถูโคลนบนใบหน้าประทับรอยรองเท้านั้นของเงาดำ
เงาดำคิดร่ำไห้ เพราะเหตุใดจู่ๆ จึงหวั่นไหวตื้นตันใจขึ้นมากะทันหัน
“เช่นนั้น เช่นนั้นผู้เยาว์ขอลา” มันหมอบกราบกรานคารวะสูงสุด ศอกเข่าทั้งสี่ล้วนนาบลงกับพื้น เงาดำเพียงคิดออกไปให้ไกลจากสถานที่อาถรรพ์นี้ให้เร็วที่สุด
เรื่องราววันนี้ เผ่ามนุษย์นับว่าร้ายกาจกว่าไม่น้อย ปราณสุริยันพิฆาตพิสุทธิ์ไพศาล ยังกล้าลงมือใส่กลั่นดวงธาตุ แม้อานุภาพไม่อาจยกขึ้นมากล่าว แต่ต้องยกย่องผู้อื่นมีกำลังขวัญ หนังหนาหน้าทนไม่น้อย
“ค่อยๆ เดิน” ผู้เฒ่าพยุงร่างเงาดำขึ้น “ให้ข้าช่วยส่งเจ้าเถอะ”
“ตกลง ตกลง”
ข้อบาดหมางคลี่คลาย ผู้คนน้ำใจลึกซึ้ง
“ท่านอาวุโส!” อาวุโสมู่หยวนร้อนใจขึ้นมา นี่ไม่ใช่เวลาจะมาใจอ่อน ปล่อยอีกฝ่ายไม่เท่ากับปล่อยเสือเข้าป่าหรอกหรือ
ระดับฝีมือของผู้ชราท่านนี้สามารถนำไปเทียบกับเหล่าอาวุโสเสาหลักในประตูหายนะได้เลย ฉะนั้นอาวุโสอันต่ำต้อยอย่างตนในสายตาของอีกฝ่ายก็คงเป็นได้แค่ไก่กาเท่านั้น
ต่อให้มู่หยวนขวัญกล้ากว่านี้มีหรือจะกล้ากังขาอีกฝ่าย?
เพียะ
ผู้ชราตบหลังเงาดำคราหนึ่ง ฝ่ามือนี้ดูอ่อนเบาไร้พิษสง หากหลับตาสุ่มผู้เยาว์ชั้นหลอมวิญญาณในที่นี้ออกมาสักคน เชื่อว่าคงรับมือได้ง่ายๆ ทว่าเงาดำทันทีที่ถูกตบหลังกลับตกใจกลัวจนปัสสาวะราด บนพื้นปรากฏแอ่งน้ำเหม็นฉุนส่งกลิ่นตลบอบอวลไปทั่ว
เงาดำสูดลมหายใจอย่างยากลำบาก คิดกัดลิ้นฆ่าตัวตาย หากกลับนึกขึ้นมาได้ว่าฟันฟางของมันต่างถูกตบกระเด็นร่วงไปไหนต่อไหนหมดสิ้นแล้ว
ชีพจรทั้งหลายในร่างขาดสะบั้น ตันเถียนถูกทำลายสิ้น หลิงไถพินาศดับสูญ จากดวงธาตุขั้นสี่ผู้หนึ่ง กลับกลายเป็นคนพิการในพริบตา!
ผู้เฒ่าแย้มยิ้มเอ่ยที่ข้างใบหูของเงาดำอย่างเปี่ยมไมตรี “ข้าละเว้นเจ้า แต่ที่ด้านหลังหลายร้อยคนนั้น ไม่แน่ว่าจะยอมปล่อยเจ้าไป”
“ข้า”
พลังสูญหายกลายเป็นพิการ เงาดำไม่มีแม้กำลังจะโต้ตอบ คิดอ้าปากออกด่าทอคน กลับถูกสายตาน่าแตกตื่นของผู้เฒ่าข่มขู่จนไม่กล้าเปิดปาก
“พลังฝีมือของคนผู้นี้ ข้าทำลายทิ้งไปแล้ว พวกเจ้าสะสางกันเองเถอะ” ผู้ชราผลักออกอย่างไม่นำพา เงาดำก็ราวกับลูกหนังที่ถูกอัดลมใส่่ กลิ้งหลุนๆ ไปแทบเท้าเหล่าผู้นำตระกูลและศิษย์ทั้งหลาย
ดวงตาแดงก่ำ ริมฝีปากฉีกขาด พวกมันทั้งหมดกำหมัดแน่น แววตาอาฆาตที่ส่งออกมา ยังน่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์ป่าดุร้ายอีก
บิดามารดาอาวุโส น้องสาวพี่ชายและสหายของพวกมัน ล้วนตกตายภายใต้เงื้อมมือของผู้ฝึกวิชาอสูรเช่นพวกมัน
หนี้แค้นโลหิตนี้ ลึกล้ำดุจห้วงสมุทร ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้า!
“ตีมันให้ตาย!” ผู้นำตระกูลซุนกางมือออก คัดสรรก้อนศิลาภูเขาที่มีเหลี่ยมมุมแหลมคมมาก้อนหนึ่ง ทุบลงไปยังข้อเข่าของเงาดำ
การปะทะกันของยอดยุทธ์ระดับกลั่นดวงธาตุเมื่อครู่ ต้นไม้ใบหญ้าโดยรอบรัศมีร้อยลี้รวมถึงเนินเขาทั้งหมดถูกถล่มราบเป็นหน้ากลอง คิดมองหาก้อนหินก้อนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย
มีบางคนหาก้อนหินไม่เจอ ได้แต่โถมร่างเข้าใส่ แยกเขี้ยวกางเล็บ ฉีกเนื้อเฉือนหนังอันเหม็นเน่าของเงาดำออกมาทั้งเป็น
เงาดำดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวด แผดเสียงร้องโหยหวน
ผู้คนที่รุมล้อมไม่ยอมปล่อยให้มันตายง่ายๆ แต่เลือกที่จะทรมานมันอย่างช้าๆ พอลงมือจนสาแก่ใจ กลุ่มที่สองก็เข้าแทนที่ แต่ละคนยิ่งมายิ่งใช้กรรมวิธีที่โหดร้ายเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
อาวุโสมู่หยวนเดินกะเผลกเข้ามา ประคองมือคารวะแล้วถามว่า “ผู้น้อยอาวุโสประตูหายนะมู่หยวน ขอบังอาจทราบชื่อเสียงเรียงนามของท่าน”
ผู้ชราท่านนั้นไม่ตอบ เพียงเดินเข้าหา
บนใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้มเปี่ยมเมตตา เอ่ยอย่างเนิบช้าว่า “ผู้ฝึกตนอย่างเราต้องหาญท้าชะตาฟ้า กล้าบุกน้ำลุยไฟ แต่เจ้าไม่ทันไรก็เอาแต่มุดหัวหลบหางจนต้องเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ยังดีที่เราผู้เฒ่าออกด่านมาช่วยได้ทัน มิเช่นนั้นหากศิษย์ที่น่ารักของข้าตายไป วันนี้ข้าคงต้องขอคำอธิบายจากเจ้าแล้ว”
หวนคิดถึงท่าทีของผู้เฒ่าชราเมื่อครู่ มันไม่ได้ลงมือสังหารเงาดำ ยังสามารถยกร่างของอีกฝ่ายขึ้นอย่างปลอดโปร่ง
หากถกกันเรื่องฝีมือ ยังร้ายกาจกว่าผู้ฝึกยุทธ์อสูรนับร้อยเท่า
“ผู้เยาว์ ผู้เยาว์” อาวุโสมู่หยวนเหงื่อกาฬแตกพลั่ก ไม่อาจมองทะลุถึงพลังฝีมือแท้จริงของอีกฝ่าย เพียงสัมผัสได้ว่าภายในร่างของผู้ชรา คล้ายบรรจุไว้ด้วยมหาสมุทรแห่งพลังวิญญาณอันเวิ้งว้างไร้ขอบเขต
วาจาที่ผู้ชรากล่าวออกมา ทุกถ้อยคำทุกประโยค ไม่มีผู้ใดกล้าเมินเฉย
ผู้เฒ่าลูบเคราขาว สายตาทอแววอ่อนโยน “ช่างเถอะ ศิษย์ผู้น่ารักของข้าไม่เป็นไร เจ้าก็จ่ายค่ายามานิดหน่อยก็พอ”
“ขอรับ” อาวุโสมู่หยวนไม่กล้าไม่พอใจ หากผู้เฒ่าเกิดของขึ้น ประทับพื้นรองเท้าของท่านใส่ใบหน้าตนเอง นั่นก็ไม่น่าดูแล้ว
“อาวุโส นี่คือศิลาวิญญาณห้าพันก้อน โปรดตรวจนับ” อาวุโสมู่หยวนส่งมอบแหวนมิติด้วยความเคารพนบนอบสูงสุด ท่าทางไม่ต่างจากโสเภณี ถูกชิมฟรีแล้วยังต้องควักกระเป๋าจ่ายอีกต่างหาก
“หมดเรื่องของเจ้าแล้ว” ผู้เฒ่าไม่สนใจมู่หยวนอีกต่อไป หมุนกายเดินมุ่งไปยังกลุ่มคน เห็นเงาดำลมหายใจรวยริน เพียงหลงเหลือลมหายใจสุดท้าย รอไว้อีกสักครู่ค่อยดำเนินการต่อ
มู่หยวนแปลกใจยิ่ง อีกฝ่ายพูดถึงศิษย์ที่น่ารักของมัน ที่แท้คือผู้ใด? คงมิใช่อีกฝ่ายต้องตาซ่งเล่อขึ้นมาหรอกนะ?
เด็กน้อยนี้ไม่เลว พบพานภยันตรายไม่ร้อนรน พรสวรรค์สูงส่ง เมื่อรวมกับการฝึกปรือ ประตูหายนะอาจได้รับศิษย์สายตรงเพิ่มอีกคนหนึ่ง
ถ้าหากผู้เฒ่าคิดรับซ่งเล่อเป็นศิษย์ขึ้นมาจริง อาวุโสมู่หยวนสับสนลังเล ตนเองไม่ควรรั้งไว้ หรือไม่กล้าเหนี่ยวรั้งไว้กันแน่
ผู้คนทั้งหมดมองไปยังอาวุโสผู้เฒ่าที่ทรงพลังสุดหยั่งคาดเดินเข้าหา ต่างแยกย้ายเข้าแถวเป็นระเบียบ รอท่านผู้เฒ่าตรวจแถว
ฉินจิ่วเกอดวงตาสาดประกายวาบ คนเดินออกจากแถว สืบเท้าก้าวเข้าหาผู้เฒ่า
“อาจารย์”
คำเรียกหาอาจารย์หนึ่งคำของฉินจิ่วเกอ เรียกหาจนผู้คนทั้งหมดในที่นั้นต้องสะดุ้งวาบขึ้นในใจ
ผู้ที่อาศัยพลังปราณสุริยันกำจัดฆ่าชนชั้นพิสุทธิ์ไพศาล นอกจากนั้นยังกล้าต่อกรกับยอดยุทธ์กลั่นดวงธาตุ ที่แท้เด็กน้อยนั้นก็คือศิษย์ของผู้เฒ่าลึกลับผู้นี้!
สัตว์ประหลาดสั่งสอนสัตว์ประหลาด ยังดีที่ไม่ได้ล่วงเกินมัน!
ผู้นำตระกูลทั้งสี่รอดชีวิตจากมหันตภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำตระกูลซุนที่รู้สึกโล่งใจที่สุด
“อืม ศิษย์เราช่างมีความสามารถก่อกวนเรื่องราวนัก ตอนนี้ภายในพรรคกำลังหารือเรื่องปลดศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์รักกลับอยู่ภายนอกท่องขุนเขาชมลำน้ำ ยังมีความสนใจต่อยตีกับผู้ฝึกยุทธอสูรอีกหลายคน ทำให้อาจารย์ต้องทอดถอนใจ”
ผู้สูงส่งผมเผ้าขาวโพลนผู้นี้ ก็คือหนึ่งยอดยุทธ์แห่งฉงหลิง มวลหมู่มนุษย์ค่ายพรรคสำนักต่างๆ ล้วนยอมรับ ผู้สามารถท่องโดดเดี่ยวทั่วใต้หล้า หัวหน้าผู้อาวุโสพรรคหลิงเซียวนั่นเอง
เนื่องเพราะวาสนาของฉินจิ่วเกอคนก่อน ฉินจิ่วเกอเมื่อมองเห็นผู้ที่ตนเรียกเป็นอาจารย์ผู้นี้ ไม่ต่างจากแมวมองเห็นหนู เช่นฝีมือที่ใช้จัดการกับผู้ฝึกยุทธ์อสูรเมื่อครู่นั่น นับเป็นฝีมืออันโหดเหี้ยมนองเลือดเช่นนั้น
ฉินจิ่วเกอคนก่อน ที่สามารถก่อกวนพรรคหลิงเซียวจนฟ้าพิโรธคนโกรธา แล้วยังนั่งชูคอเป็นศิษย์พี่ใหญ่อยู่ได้นั้น สาเหตุทั้งหมดล้วนมาจากอาจารย์ของมัน คืออาวุโสใหญ่แห่งพรรคหลิงเซียวเอง
เพียงแต่ ประมุขพรรคหลิงเซียวปิดด่านกักตนนานปี ว่ากันว่าหลายสิบปียังไม่เสนอหน้าออกมาสักครั้ง
ความทรงจำนับแต่มันยังเยาว์วัย เบื้องสูงเบื้องต่ำพรรคหลิงเซียวทั้งหลายล้วนเป็นอาวุโสใหญ่ตัดสิน
ฉินจิ่วเกอเองเป็นอาวุโสใหญ่รับทารกกำพร้าที่เบื้องนอกมาเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน สองคนเรียกหาเป็นศิษย์อาจารย์ แท้ที่จริงความสัมพันธ์ไม่ต่างจากบิดากับบุตร
อาศัยที่อาจารย์ของตนคืออาวุโสใหญ่ ฉินจิ่วเกอคนก่อนแม้ปั่นพรรคป่วนสำนักจนไก่กระจายสุนัขกระเจิง อาวุโสใหญ่เองยังคงไม่หือไม่อือ เพียงรับศิษย์คนเดียวคือฉินจิ่วเกอ
อาวุโสใหญ่และฉินจิ่วเกอมีโรคร้ายโรคเดียวกัน คือโรคลำเอียงอย่างหูหนวกตาบอด ดังนั้นฉินจิ่วเกอต่อให้ทำลายชื่อเสียงเกียรติภูมิป่นปี้ยิ่งกว่านี้ ยังคงนั่งอย่างมั่นคงตรงตำแหน่งศิษ์พี่ใหญ่ได้
ห้าปีก่อน อาวุโสใหญ่ปิดด่านกักตน เรื่องราวทั้งหมดในสำนักเป็นอาวุโสสองเข้าชี้นำ
พอดีกับที่อาวุโสใหญ่ปิดด่าน ศิษย์น้องรองลั่วเฉินก็เข้าสู่สำนัก เริ่มสร้างชื่อในพรรคหลิงเซียว
ฉินจิ่วเกอคนก่อนสัมผัสได้ถึงอันตราย ยิ่งเมื่ออาจารย์ปิดด่านกักตนไร้ทางช่วยเหลือ ตนเองจึงยิ่งขูดรีดคนในพรรคหนักข้อยิ่งขึ้น
เป็นไปได้ว่า ทั้งหมดนี้อาจมีมือมืดที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลัง…..