เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 45 ที่มาของชื่อ
ดูออกว่า ลั่วเฉินผู้นี้ กับชีวิตแล้ว คนมีสิ่งที่ต้องไล่ติดตามอยู่
หากเปรียบเทียบกันแล้ว สถานที่พำนักของตนไม่ต่างจากการนอนกลางดินกินกลางทราย มืดค่ำยุงชุกชุม ลมหนาวพัดมาไม่ได้ขาด เหมือนต้นไผ่โดดเดี่ยวที่ถูกหักโค่นแล้วเหยียบซ้ำ
“เจ้าถือมีดแหลมนี่ บุกเข้าไปในห้องของศิษย์น้องรอง จ้วงแทงมันให้ตายในทีเดียว!”
ฉินจิ่วเกอแค้นเคือง ทว่าตนเองกำลังสวมบทสุภาพบุรุษ ดังนั้นจึงสั่งสอนเจ้าอ้วนให้ลงมือแทน
เจ้าอ้วนน่าตายร่ำไห้แล้ว ร่ำไห้จนผู้คนเจ็บปวดใจ จากนั้นควงมีดทำครัวเล่มนั้นวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ ไม่ใช่ว่าจะคุยกันไม่ได้เสียหน่อย ไม่งั้นแค่ถือมีดเข้าไปเป็นของขวัญปีใหม่ให้มันแทนก็ได้” ฉินจิ่วเกอโบกไม้โบกมือ หากยังไม่อาจเรียกจิตใจอันบอบช้ำของศิษย์น้องสี่คืนมาได้
เจ้าอ้วนนี่ก็ไม่โง่นี่นา แม้ภายนอกเรียกเจ้าอ้วนน่าตาย แต่ตัวมันเองไม่คิดตายแม้แต่น้อย
ตอนนี้ ฉินจิ่วเกอยังไม่คิดพบหน้าเด็กน้อยลั่วเฉิน พอพบเห็นหน้า ทุกส่วนสัดองคาพยพบนร่างของหมอนั่นล้วนราวกับกำลังเหยียดหยามตนเองอยู่อย่างไงอย่างงั้น
ฉินจิ่วเกอยกมือสัมผัสหน้าตัวเอง พลางคิดว่าตนหน้าตาธรรมดาเกินไปแล้ว บนโลกนี้ เกรงว่าแม้แต่หญ้าหนึ่งต้นยังมีประโยชน์กว่ามัน สวรรค์ให้มันข้ามภพมันก็ข้าม สรุปแล้วสมควรมีเจตจำนงบางประการ
ข้ามาจากที่ใด กำลังจะไปที่ใด
ทันใดนั้น ฉินจิ่วเกอดำดิ่งลงในคำถามปรัชญาอันประหลาดพิกลนี้ คนกลายเป็นซึมเซา
คนเมื่อรู้สึกซึมเซา มักชอบเดินเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมาย
ฉินจิ่วเกอเดินวนไปเวียนมา เดินมาจนถึงที่อยู่ของอาวุโสสาม
อาวุโสสามไม่มีงานอดิเรกอื่นใด เพียงชื่นชอบนำศิลาวิญญาณมาต่อเรียงกันเป็นหอคอยสูง ตอนที่แขกไม่ได้รับเชิญอย่างฉินจิ่วเกอผลักประตูเข้ามา อาวุโสสามกำลังเรียงก้อนศิลาวิญญาณเป็นเจดีย์สมบัติอันซับซ้อนหลังหนึ่ง
ทั้งหมดสิบสามชั้น ทุกชั้นใช้ศิลาวิญญาณต่อเชื่อมสัมพันธ์กัน นับเป็นผลงานศิลปะชั้นเลิศ ละเอียดประณีตขั้นสุด
ขณะที่กำลังจะนำไข่มุกประดับลงบนยอดเจดีย์ เสร็จสิ้นงานฝีมืออันยากลำบาก ฉินจิ่วเกอที่อยู่ในภวังค์ความคิดก็บุกเข้าประตูมา กระแสลมแรงกรรโชกทำลายความสมดุลภายในห้อง หมุนวนสะเปะสะปะรอบหนึ่งก่อนส่ายซ้ายส่ายขวาออกไป
โครม
เจดีย์สมบัติสูงเท่าตัวคนหลังหนึ่งกลับกลายเป็นซากปรักหักพัง สร้างความเจ็บร้าวแก่จิตวิญญาณเยาว์วัยดวงน้อยๆ ของอาวุโสสามอย่างสาหัส
“หยา เราผู้เฒ่าใช้เวลาสามวัน สามวันเชียวนะ!” ดูสิ แค่การละเล่นตัวต่ออันไร้สาระ อาวุโสสามถึงกับกักตัวไม่ออกไปไหนถึงสามวัน เห็นได้ชัดว่าชีวิตชราของมันที่แท้น่าเบื่อหน่ายเพียงใด
เห็นฉินจิ่วเกอมาถึง จิตใจที่นิ่งสงบของอาวุโสสามเพียงพริบตาก็กลายเป็นเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงราวกับนั่งรถไฟเหาะ
“ศิษย์ผิดไปแล้ว ศิษย์ผิดไปแล้ว”
ฉินจิ่วเกอเร่งรีบขออภัย ถามตัวเองในใจไฉนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวถึงเพียงนี้ กลับเดินใจลอยมาถึงที่พำนักของอาวุโสสามเสียได้
ใช่แล้ว ชายหนุ่มนึกขึ้นได้ ตนเองยังมีโปรเจ็คท์นิยายฉบับลิขสิทธิ์ติดอยู่กับอาวุโสสาม ที่จริงสมควรได้เวลาแบ่งกำไรแล้วกระมัง?
“จะเอาเงิน?” อาวุโสสามประหลาดใจยิ่ง ปีนี้เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้ามาหาตนเองเพื่อทวงเงิน จำได้ว่าไม่กี่ปีก่อนมีไอ้โง่กลั่นดวงธาตุผู้หนึ่ง กล้ามาเรียกเก็บค่าคุ้มครองเอากับพรรคหลิงเซียว
อาวุโสสามผู้รักเงินยิ่งชีพจิตใจคับแคบ ทว่ามีใจเมตตาเต็มร้อย ลงมือส่งๆ ฟาดแขนขาทั้งห้าของอีกฝ่ายจนหักไป ก่อนจะโยนออกไปอย่างไม่ไยดี
“เงินส่วนแบ่งไง อาวุโสสาม เงินส่วนแบ่งที่เราตกลงกันไว้?” นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของฉินจิ่วเกอที่มันพบเห็นบุคคลที่ใบหน้าด้านหนาจิตใจดำมืดกว่าตนเอง
เมื่อต้องเผชิญการทวงถามจากศิษย์ จิตแห่งความละอายอันน้อยนิดของอาวุโสสามพลันถูกกระตุ้น กล่าวออกมาด้วยนัยน์ตาแข็งกร้าว “รีบร้อนอันใด ข้าก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่ให้นี่”
จากนั้นเลือกศิลาวิญญาณมาสองก้อน ผินหน้าไปพลางโยนมาให้ฉินจิ่วเกอ สีหน้าดำมืดทะมื่น ขาดแต่ไม่ได้เอ่ยออกมาว่า : เฮอะ พวกขอส่วนบุญ!
“อะไร?”
มองดูศิลาวิญญาณสองก้อนนั้น ฉินจิ่วเกอใบ้รับประทาน พร้อมกันนั้นบังเกิดความดูแคลนต่อจิตแห่งความละอายของอาวุโสสาม
กิจการขายหนังสือของมัน ที่จริงแผ่ขยายไปไกลร่วมร้อยลี้จากสำนัก ต่อให้กำไรน้อยยิ่งกว่าน้อย แต่อย่างไรไม่สมควรได้แต่กระจึ๋ง
เดียวเช่นนี้กระมัง?
นับตั้งแต่ตบทรัพย์ของซ่งเล่อและลั่วเฉินสองแพะอ้วนนั้นมาได้ ฉินจิ่วเกอนัยน์ตาสูงขึ้นเยอะ คนมีรสนิยมสูงขึ้น
ศิลาวิญญาณสองก้อน เอาไปซื้อขนมน้ำตาลปั้นให้ศิษย์น้องเล็กยังไม่พอจ่ายเลย
“เจ้าคิดว่าเงินมันหากันได้ง่ายๆ หรือไง” อาวุโสสามเบิกตาโปนดั่งตาวัว “จะเอาไม่เอา ไม่เอาก็คืนมา!”
“เอา เอา” ฉินจิ่วเกอรีบตอบรับ เห็นได้ว่า อาวุโสสามก็คือสุดยอดมาเฟียแห่งพรรคหลิงเซียว
เรื่องเร่งด่วนตอนนี้ คือรักษาตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่ของตนเอาไว้ก่อน เงินที่เหลือถือว่ามอบแก่อาวุโสเป็นค่าครูไปแล้วกัน
“เช่นนั้น ศิษย์ขออำลา” ชายหนุ่มเก็บศิลาวิญญาณสองก้อนนั้น ปลอบใจตัวเอง อย่างน้อยยังได้มาบ้าง ค่าแรงยังดีกว่าต่างด้าวใช้แรงงานในนาอยู่หน่อยนึง
ฟิ้ว!
เดินมาถึงด้านนอก ประตูห้องที่ปิดลงไปกลับเปิดออกอีกครั้ง ที่ปลิวละลิ่วออกมากลับเป็นห่อผ้าห่อหนึ่ง
ข้างในบรรจุไว้ด้วยศิลาวิญญาณร่วมร้อยก้อน โชคลาภไม่น้อยเลยทีเดียว!
ฉินจิ่วเกอน้ำตาระอุอุ่นคลอตา อาวุโสสาม ท่านเป็นคนดีจริงๆ
แน่นอน หากมิใช่อาวุโสสามกังวลว่าฉินจิ่วเกอจะไปฟ้องร้องเอากับอาวุโสใหญ่ แล้วอาวุโสพ่อลูกอ่อนอย่างอาจารย์มันจะมาทลายรังโจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากตนถูกหมายหัว เช่นนั้นคงไม่ได้อยู่อย่างสงบสุข
“อาวุโสสาม รอข้ากลับมาจะเขียนให้ท่านไปขายอีกเล่ม!”
ฉินจิ่วเกอตื่นเต้นหวั่นไหว นี่มันหนทางสร้างเงิน ด้วยพลังฝีมือของอีกฝ่าย สามารถกระจายผลงานออกไปได้เป็นพันลี้
ฉินจิ่วเกอตระกองกอดถุงเงินอย่างถนอม จรดปลายเท้าย่องออกไป
ยามนั้น มันรู้สึกเหมือนตนเองคือนางเอก โชคของมันกำลังจะระเบิดออกมาแล้ว
มองดูบนถุงเงิน หมึกที่เขียนไว้เริ่มแห้ง คำที่เขียนบนกระดาษคือชื่อของตนเอง ฉินจิ่วเกอคิดในใจ ดูแล้วอาวุโสสามมีการเตรียมการไว้ให้ตนเองอยู่แต่แรก ช่างน่าตื้นตันยิ่ง
เดี๋ยวนะ ชื่อของตนเอง?
รอยยิ้มบนใบหน้าฉินจิ่วเกอแข็งค้างไปแล้ว กลายเป็นสีหน้าเศร้าสลดโศกาที่ไม่อาจบรรยาย มีวาจาไม่อาจบ่งบอก
ตั้งแต่มาถึงโลกนี้ ฉินจิ่วเกอใช้ชื่อเดิมของตนมาตลอด กระทั่งก่อนหน้านี้ตนเองเรียกว่าอะไร มันยังไม่แน่ใจ
ในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์น้องทั้งหลายเรียกหามันเป็นศิษย์พี่ ไม่งั้นก็หลบลี้หนีหน้าไม่กล้าเข้าใกล้
สำหรับสี่อาวุโสเหล่านี้ ล้วนเรียกหามันเป็นเด็กน้อยนั่นเด็กน้อยนี้ตลอดมา
แม้แต่สุนัขเถื่อนยังมีชื่อเรียกทรัพย์ แต่กลับไม่มีใครเรียกชื่อมันออกมา
เห็นชัดว่าชื่อเก่าของมันต้องย่ำแย่ปานไหน
จางเต๋อไค(อ้าออก) นี่ก็คือชื่อของฉินจิ่วเกอในร่างนี้
ชัดเจน ฉินจิ่วเกออารมณ์เสียยิ่ง มันไม่ต้องการชื่อนี้ อุบาทว์ระคายหูเหลือรับ
มิน่าเล่าเจ้าคนก่อนหน้าถึงได้จิตใจชั่วช้าพฤติการณ์เหลือทน เกรงว่าเป็นเพราะหนีไม่พ้นอาถรรพ์ของชื่อนี้
คนตัดสินใจทันที มันต้องเปลี่ยนชื่อ ให้ทุกคนเพียงจดจำฉินจิ่วเกอ
จงลืมเลือนประวัติศาสตร์อันเลวร้ายของจางเต๋อไคไปให้หมด!
ส่วนจางเต๋อไค มันคือศิษย์พี่ใหญ่ของพรรคหลิงเซียว ไม่ใช่คนขายเครื่องมือช่าง!
หากมันมีน้องชายอีกคน เกิดมีชื่อเรียกว่าจางปู้ไค (อ้าไม่ออก) เช่นนั้นคงสุดยอดเกินไป เกรงว่าคงต้องแขวนคอตายเพื่อแสดงความสำนึกขอบคุณต่อสวรรค์แล้ว
ฉินจิ่วเกอคือทารกกำพร้าที่อาวุโสใหญ่เก็บมาจากภายนอก ชื่อที่ตั้งแล้วความหมายลึกซึ้งแฝงด้วยศาสตร์อันลึกล้ำเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมเป็นอาวุโสใหญ่ตั้งให้
ไม่ทราบตอนนั้นอาวุโสใหญ่ประสบพบเจอเหตุการณ์เลวร้ายอันใด ใช่เจอสึนามิหรือไม่ จึงได้ตั้งชื่อนี้แก่มัน
หรือว่าอกหักรักคุด?
หรือภูติผีชี้นำ กลับยินดีให้ศิษย์มีชื่อเรียกว่าจางเต๋อไคได้
ผู้อื่นเมื่อได้ฟัง ก็รู้ทันทีว่าตระกูลนี้ขายคีมหนีบเหล็กคุณภาพดี ราคาไม่แพงแน่นอน
ถ้าหากชื่อเดิมของมันเรียกว่า *หลงอ้าวเทียน **หวงเทียนป้า หรือ***ไซมึ้งชวยเสาะอะไรเทือกนั้น มันยังจะอ้าแขนรับแต่โดยดี
แต่ว่า จางเต๋อไค ชื่อนี้มันไม่อาจยอมรับได้จริงๆ มันต้องเปลี่ยน!
ไม่งั้นหากต่อไปออกไปภายนอกพรรค มีคนแนะนำตัวมัน บอกว่ามันคือศิษย์พี่ใหญ่พรรคหลิงเซียวจางเต๋อไค ฉินจิ่วเกอไม่ฟาดหมอนั่นจนตายคามือ หรือจะให้มันต้องฆ่าคนปิดปากให้หมดสิ้น?
ฉวยโอกาสที่อาวุโสใหญ่ยังไม่ปิดด่านกักตน ฉินจิ่วเกอรีบไปยังที่พักของอาวุโสใหญ่ ทำตัวคลุกฝุ่นเสื้อผ้ายับย่นให้ดูน่าสงสาร
“ศิษย์รัก เกิดอะไรขึ้น?”
มองเห็นสภาพสุนัขไล่ฟัดของฉินจิ่วเกอ อาวุโสพ่อลูกอ่อนแตกตื่นตกใจ ถามด้วยความโมโห
“อาจารย์? ศิษย์คิดไม่ตก คิดไม่ตกจริงๆ” ฉินจิ่วเกอกุมศีรษะ สีหน้าท่าทางเจ็บปวดขื่นขมระทมทุกข์
“คิดไม่ตกอันใด? มีเรื่องอะไรให้บอกอาจารย์มา หรือว่าเจ้าไปเผาบ้านของศิษย์น้องอีกแล้ว? หรือว่าเอายาถ่ายไปใส่ในห้องครัว?”
อาวุโสใหญ่ไม่สนใจ อย่างไรก็มีอยู่ไม่กี่เรื่อง
“ข้าไม่ฟัง ข้าไม่ฟัง” ฉินจิ่วเกอปิดหู ดีดดิ้นพล่านอยู่บนพื้น อาละวาดทำท่าเหมือนจะน่ารัก เลียนแบบเด็กทารก
วุ่นวายอยู่ครึ่งค่อนวัน อาวุโสใหญ่ค่อยเข้าใจ ที่แท้เด็กน้อยไม่ได้รับอันตรายใด เพียงแต่สมองกลับคิดเปลี่ยนชื่อเท่านั้น
วัยต่อต้านเช่นนี้ ไม่ต่างจากสุนัขรังเกียจบ้านบุตรีตำหนิมารดา ทุบตีสักรอบหนึ่งก็จะดีขึ้นเอง
ฉินจิ่วเกอเค้นน้ำตาเอ่อคลอ ร้องแต่ไม่เอาไม่เอา คุกเข่าบนพื้นกอดขาอาวุโสใหญ่ไว้
“อาจารย์ ท่านอนุญาตศิษย์เถอะ” อาวุโสใหญ่พยายามกุมอกไว้แน่น ท้องไส้ป่วนปั่นคล้ายขุนเขาพลิกทะเลคว่ำ ไม่ทราบเพราะหวั่นไหวในกิริยาอันน่ารัก หรือคลื่นเหียนคิดอาเจียนกันแน่
“เจ้ารู้มั้ยว่าชื่อของเจ้ามีที่มายังไง?” อาวุโสใหญ่ใบหน้าปรากฏรอบยิ้มชืดชาสายหนึ่ง หวนนึกถึงเรื่องราวในอดีต ความเสียใจที่ไม่อาจเรียกคืน ทั้งหมดล้วนมีที่มา
ฉินจิ่วเกอหยุดอาละวาด มันเองก็สงสัยใจยิ่ง อาวุโสใหญ่ที่แท้ไปเจอเรื่องอะไร จึงตั้งชื่อนี้ให้แก่ตนเอง
ว่าไป อาวุโสใหญ่เองก็ไม่ได้แซ่จาง เพราะเหตุใดต้องให้ตนเองชื่อจางเต๋อไคด้วย?
หรือว่า.. อีกไม่กี่ปี ตระกูลของมันจะมาตามหามันกันแน่นะ?
เพราะสายเลือดในตระกูลกำลังจะขาดสะบั้น จากนั้นทั้งชราทารกล้วนร่ำไห้ขอร้องตนเองกลับไปสืบทอดกิจการ
ตนเองรับมรดกมหาศาล นับแต่นั้นกลายเป็นนายน้อยสวมผ้าไหม เริ่มต้นชีวิตสำราญ เดินท่องชมตลาด หยอกเย้านงคราญบ้านตระกูลใหญ่ หาความสุขทุกวี่วัน
อาวุโสใหญ่ลูบศีรษะฉินจิ่วเกอแผ่วเบา ดวงอาทิตย์ที่ด้านนอกหน้าต่างพอดีสาดส่องต้องใบหน้าอาวุโสใหญ่จนปรากฎประกายเรืองรองสีทองขึ้นชั้นหนึ่ง
โลกหล้าอันอึกทึกวุ่นวายคล้ายหยุดหมุน ลมหยุดเคลื่อน มองเห็นเพียงเส้นผมยาวพลิ้วไสวท่ามกลางแสงอาทิตย์
อาวุโสใหญ่ทอดถอนใจ หวนรำลึกถึงความหลังอันตราตรึง
“ยี่สิบสามปีก่อน ข้าออกท่องยุทธภพ ตอนนั้นข้าบรรลุมหาวิถีดวงธาตุทองคำแล้ว ยามพเนจรท่องไป กลับเจอกองโจรกลุ่มหนึ่งกำลังดักปล้นกองคาราวานอย่างระราน ข้าก็เลยใช้กระบี่ในมือสับสังหารพวกมันจนตกตายเป็นเบือ เนื้อตัวแปดเปื้อนโลหิตไปหมด แม้จะทำเรื่องดีเอาไว้ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนมารร้ายพรากเอาชีวิตผู้คน จึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้”
เวลาค่อยๆ ล่วงผ่าน ตอนกลับถึงพรรคเมื่อยี่สิบสามปีก่อน ก็เป็นช่วงคิมหันต์ที่บนฟากฟ้ามีแต่ละอองหิมะปลิวไสวไปทั่ว
ความหนาวเย็นเสียดกระดูก แม้แต่สกุณายังต้องแข็งตาย ในระยะหมื่นลี้มีแต่กลิ่นอายมรณะแผ่ปกคลุม ท่ามกลางโลกหล้าที่มีแต่หิมะแห่งนี้ปราศจากสัญญาณชีวิตใด
อาวุโสใหญ่เพิ่งปราบกองโจรกลับมา ใช้กำลังคนเพียงคนเดียวปราบกองโจรจำนวนสามร้อย แม้แต่โจรที่มีชื่อเสียงกระเดื่องเลื่องลือจนทารกต้องหยุดร้องไห้ยังถูกอาวุโสใหญ่กุดหัวตายลงตรงนั้น
ไออุ่นร้อนที่พวยพุ่งออกจากปากยังไม่ทันลอยตัวขึ้นฟ้าก็ถูกความหนาวเย็นในอากาศจับตัวเป็นน้ำแข็งร่วงตกไปเสียก่อน
อาวุโสใหญ่ย่ำฝ่าหิมะมุ่งหน้ากลับพรรคหลิงเซียว โลหิตของพวกโจรที่อาบชโลมอยู่บนตัวถูกไอหนาวจับจนแข็งแห้ง ใครพบเห็นเป็นต้องวิ่งหนีตาเหลือกตาลาน
ตอนมาถึงหน้าประตูพรรค หิมะที่เทกระหน่ำเหมือนฟ้ารั่วพลันหยุดลงกะทันหัน ฟ้าเปลี่ยนเป็นเปิดโล่ง พร้อมแสงตะวันที่ส่องลอดผ่านพยับเมฆลงมาจนดูเหมือนแดนสวรรค์
ทันใดนั้น เสียงร้องของทารกก็ดึงดูดสายตาของอาวุโสใหญ่
ท่ามกลางหิมะขาวโพลนท่วมฟ้า เกรงว่าแม้แต่สัตว์อสูรระดับต่ำสุดยังต้องแข็งตาย
อาวุโสใหญ่แปลกใจเป็นล้นพ้น ไฉนถึงได้มีเสียงทารกร่ำไห้อยู่กลางป่าเขาเช่นนี้
อาวุโสใหญ่ที่มีกลิ่นอายโลหิตเต็มตัวตามหาต้นตอของเสียง และแล้วก็พบเด็กทารกที่ถูกผ้าห่อพันเอาไว้ สีหน้าคล้ำเขียวจากความหนาว ไม่ทราบเพราะเหตุใดถึงได้ถูกทิ้งอยู่กลางหิมะเช่นนี้
เด็กคนนั้นดวงแข็งยิ่ง แม้จะถูกกองหิมะหนาสามฉื่อกลบไว้ท่วมตัว กลับยังมีชีวิตรอดมาได้ ดวงหน้าน้อยๆ แห้งแตกไปทั่วจากความหนาวกระนั้นก็ยังเปล่งเสียงร้องออกมาได้ไม่หยุด
อาวุโสใหญ่หัวใจสั่นสะท้าน คนซุกเอาทารกน้อยไว้ที่ชายแขน เด็กน้อยค่อยๆ ลืมตาตื่น ดวงตาคู่นั้นงดงามบริสุทธิ์ยิ่งกว่าผลึกแก้วหิมะขาว จับจ้องมองดูอาวุโสใหญ่ด้วยแววตาปราศจากมลทิน
พอใช้นิ้วเกลี่ยหน้าเจ้าหนูน้อย ทารกน้อยก็หัวเราะชอบใจ ใช้นิ้วน้อยๆ กอบกุมนิ้วที่มีแต่รอยหยาบกร้านของอาวุโสใหญ่เอาไว้
ทั้งที่อาวุโสใหญ่เนื้อตัวเปื้อนเลือดเปี่ยมกลิ่นอายฆ่าฟัน แต่ทารกน้อยก็ยังคงเข้าหามันพลางร้องอุแว้ๆ ไม่ขาดปาก
ในโลกที่มีแต่หิมะและความป่าเถื่อน เสียงของทารกน้อยช่างสดใสก้องกระจ่าง
หนึ่งเด็กหนึ่งชรา บางทีอาจเป็นเพราะวาสนาชักพา อาวุโสใหญ่จึงประคองร่างเด็กน้อยแนบไว้กับตัวด้วยความทะนุถนอมก่อนมุ่งหน้ากลับที่พำนัก
*จางเต๋อไค (张德开 = คุณธรรม)คือชื่อของพระเอกในภพปัจจุบัน พ้องเสียงกับคำว่า จางเต๋อไค (张得开= อ้าออก)เป็นมุกตลกเกี่ยวกับชื่อคนของชาวจีน จางเต๋อไค (อ้าออก) มักจะมีน้องชายคนหนึ่ง น้องชายคนนั้นต้องชื่อว่า จางปู้ไค (张不开 = อ้าไม่ออก)และตระกูลของพี่น้องนี้ต้องค้าขายคีม พ่อของทั้งคู่ตั้งชื่อลูกว่าอ้าออกและอ้าไม่ออก เพราะพ่อขายคีมหนีบนั่นเอง ใครมีเพื่อนคนจีนลองเอามุกนี้ไปเล่นดูนะ เวลาแนะนำตัวก็บอกว่าชื่อจางเต๋อไค เพื่อนคนจีนน่าจะฮาน่าดู
**หลงอ้าวเทียน หวงเทียนป้า ชื่อตัวละครที่มักโผล่มาในนิยายจีนแทบทุกเรื่อง และส่วนใหญ่มักเป็นพวกตัวร้ายบ้าพลัง สมองกลวงเทือกนั้น
**ไซมึ้งชวยเสาะ ตัวละครยอดมือกระบี่ที่เลื่องชื่อจากนิยายของโกวเล้ง ปรากฏในนิยาย ละคร ภาพยนตร์หลายเรื่อง