เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 47 อสนีบาตฟาดลงมา
ฉินจิ่วเกอวาดภาพเพ้อฝันพลางเอ่ยพึมพำกับตัวเองว่า “สภาพอากาศเช่นนี้ ถ้าศิษย์น้องรองถูกฟ้าผ่าตายก็คงประเสริฐ”
ศิษย์น้องรองยามนี้กำลังปิดด่านเก็บตน ไม่ทราบกำลังลับฝีมืออยู่หรือไม่
ฉินจิ่วเกอที่ย่างเข้าสู่ปราณสุริยันขั้นกลางได้ไม่นานก็ไม่กล้าสบประมาทอัจฉริยะผู้นี้เหมือนกัน ในโลกนี้คนที่เก่งกาจกว่าตนมีอยู่ตั้งมากมาย
หากคิดสยบศัตรูโดยไม่ต้องต่อสู้ หากวิถีฟ้ามีนัยน์ตาลากสายฟ้ามาผ่าศิษย์น้องรองตกตาย นั่นจึงจะปากกับใจตรงกัน
“ผ่าเล้ย ยังไงก็ไม่ถึงรอบข้าอยู่ดี” ฉินจิ่วเกอบิดเอวแก้เมื่อยขบ ล้มตัวลงนอนราบไปกับพื้น สูดเอากลิ่นฝนกลิ่นดินเข้าปอด
ไอวิญญาณฟ้าดินที่เคยสมดุลกลมเกลียวมาโดยตลอดพลันเปลี่ยนเป็นคลุ้มคลั่งขึ้นมาภายใต้สายอสนีบาตบนฟากฟ้า พสุธาสั่นไหวเมฆดำพลิกตัวเดือดพล่าน
ในห้วงเอกภพ ผู้ลึกลับกุมมังกรอสนีสีม่วงไว้ในมือ ก่อนแผดเสียงกู่ก้องออกมา “ไป!”
เมื่อมังกรอสนีเผยโฉม มวลมิติล้วนระเบิดแยกออก ไม่อาจฟื้นฟูกลับสู่สภาพเดิมได้อีกตลอดกาล
ประกายอสนีสีม่วงขยับตัวออกเป็นกฎแห่งตราประหาร ฟาดทำลายปราการของดินแดนเล็กจ้อยก่อนร่วงตกลงมาเหนือฟากฟ้าทวีปฉงหลิง
ผู้คนทั่วหล้าต่างเบิกตาจ้องมองมังกรอสนีที่พลันร่วงหล่นลงจากฟ้า ความกลัวเข้าเกาะกุมจิตใจ สรรพชีวิตพากันก้มลงกราบกรานวิงวอนให้สวรรค์เบื้องบนละเว้นโทษทัณฑ์
โฮกกก!
เสียงกู่ของมังกรพยัคฆ์ดังมาตามลม สายวิชชุผ่าสะเทือนสี่คาบสมุทร
“จะผ่าลงมาแล้ว!” ฉินจิ่วเกอที่นอนแผ่หราอยู่บนพื้นพลันม้วนตัวคลาบหมอบลงกับพื้น ฝืนต้านทานคลื่นพลังร้อนลวกอหังการที่แผ่ลงมาจากฟ้าสุดความสามารถ
มังกรอสนีผ่าทะลุเก้าชั้นเมฆจรดลงเหนือเก้าสวรรค์ นับแต่เผ่าอสูรไปจนถึงเผ่ามาร ก่อนจะตกลงยังน่านฟ้าของเผ่ามนุษย์เป็นลำดับท้ายสุด
เผ่าอสูรพากันก้มหมอบลงกับพื้น ในใจภาวนาให้มังกรอสนีฟาดถล่มเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้ย่อยยับ พวกตนจะได้ฉวยโอกาสนี้ปล้นชิงทรัพยากรมหาศาล
บรรดาสัตว์ประหลาดเฒ่าเผ่ามนุษย์ยามนี้ต่างพากันออกด่านกันหมดสิ้น มือหอบกระเตงลูกหลานแหวกผ่านมิติหลบหนีกันให้วุ่น
แสงที่เปล่งออกจากมังกรอสนีตัวนี้บดบังเส้นแสงอื่นๆ ในโลกหล้าไปหมดสิ้น ท้องฟ้าไร้เดือนไร้ตะวัน มีเพียงอำนาจสะกดข่มของมังกรเทวะตัวนั้นที่คล้ายจะคงอยู่ไปชั่วกาลนาน
แต่แล้ว มังกรอสนีตัวนั้นก็หดขนาดลง
และเท่าที่ฉินจิ่วเกอกะประมาณด้วยสายตา ดูเหมือนว่า.. อาจจะ.. เป็นไปได้ว่า.. ทิศที่มังกรอสนีสีม่วงตัวนั้นร่วงหล่นก็คือพรรคหลิงเซียว!
อาวุโสใหญ่ถูกสะกดจนกระดิกตัวไม่ได้ ยิ่งมีพลังฝีมือสูงส่งเท่าใดผลกระทบที่ได้รับก็ยิ่งทวีคูณขึ้นเท่านั้น เพียงแค่ขับเคลื่อนนิดเดียว เศษเสี้ยวของประกายอสนีสายนั้นก็สามารถทำลายล้างกฎเกณฑ์ได้ทันที
“แม่เจ้า มันคงไม่ได้มุ่งมาทางนี้หรอกกระมัง?”
ฉินจิ่วเกอตะลึงงัน ตนนอกจากจะปอกลอกผู้คนนิดหน่อยแล้ว ก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนะ!
เด็กน้อยหน้าใสตะมุตะมิอย่างข้า สวรรค์ท่านจะหักใจลงทัณฑ์ได้เชียวหรือ?
หรือว่าจะเป็นเจ้าเด็กลั่วเฉินนั่นใช้ใบหน้างามๆ ของมันหลอกลวงน้องนางทั้งหลายจนแม้แต่สวรรค์ก็ยังหมดความอดทน?
“อยู่ทางโน้น รีบไปผ่ามันเร็ว!” รู้สึกได้ว่ามังกรอสนีไม่ได้มุ่งหน้ามาทางตน ฉินจิ่วเกอรวบรวมกำลังทั้งหมดสลายพันธนาการบนตัว โก่งคอร้องบอกมังกรอสนีจนเสียงแหบเสียงแห้ง
มังกรอสนีคล้ายฟังเข้าใจ ส่งเสียงคำรามออกมาสองคำ สะท้านสะเทือนจนสัตว์ประหลาดเท่าทั่วหล้าต้องขวัญบิน
เพราะถูกรบกวนสมาธิ มังกรอสนีเริ่มพร่ามัว ก่อนเปลี่ยนเป็นประกายสายฟ้าอ่อนจางสายหนึ่ง แผ่พลังทาบทับลงบนเรือนไม้ไผ่ของศิษย์น้องรองเข้าจริงๆ
ระหว่างทางไม่มีอะไรขัดขวางมันได้ อุณหูภูมิโดยรอบไต่ระดับหลายพันองศา ภายในพรรคหลิงเซียวร้อนลวกเหมือนตกจมทะเลเพลิง พื้นดินร้อนฉ่าไม่นานก็กลายเป็นอณูนับไม่ถ้วน
ลั่วเฉินที่อยู่ในห้องกำลังอยู่ในห้วงภวังค์ ด้านนอกเพียงแค่ฝนตกฟ้าร้อง ลั่วเฉินที่กำลังจดจ่อมุ่งมั่นย่อมไม่ละสมาธิไปสนใจ
ไม่คาดคนนั่งอยู่ในบ้านดีๆ กลับมีสายฟ้าฟาดผ่าลงมาเสียได้
ลั่วเฉินกำลังปิดด่านฝึกวิชา ทั้งยังสัมผัสถึงคอขวดของปราณสุริยันชั้นปลายได้รางๆ แล้ว
ไม่ทันที่จะโคจรไอวิญญาณเข้าสู่จุดตันเถียน เสียงกระหึ่มปานถล่มศิลาผ่าท้องนภาก็ดังขึ้น สายวิชชุผ่าเปรี้ยงลงกลางเรือนไผ่ มิติหลายร้อยเมตรโดยรอบล่มสลายลงทันตา
ลั่วเฉินยังไม่ทันรู้ว่าอะไรเป็นอะไร อสนีบาตม่วงจำนวนนับไม่หวาดไม่ไหวก็ทาบทับลงบนร่างอย่างรุนแรง
ไม่ทราบคิดไปเองหรือไม่ แต่เพียงพริบตาอสนีบาตสีม่วงพวกนั้นก็เสื่อมสลาย กลับกลายเป็นยาบำรุงชั้นดีช่วยขัดเกลากระดูกล้างชำระสังขาร ผลักดันให้ลั่วเฉินเข้าสู่ภวังค์อันน่าพิศวงพิสดารชนิดหนึ่ง คนคล้ายเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน
ฉินจิ่วเกอมองดูภาพที่อสนีบาตฟาดโครมลงสู่เรือนไผ่ของลั่วเฉินอยู่ไกลๆ ได้ยินเสียงร้องโหยหวนคราหนึ่ง จากนั้นก็.. จากนั้นก็ไม่มีอะไรทั้งนั้น
“มันที่แท้หลอกลวงโฉมสะคราญไปกี่มากน้อยกัน ถึงได้ดึงดูดทัณฑ์สวรรค์ลงจากฟ้าเยี่ยงนี้” ฉินจิ่วเกออยากหัวเราะให้สาแก่ใจ ฟ้ามีตาจริงๆ ช่างสาสมใจอะไรปานนี้หนอ ศิษย์น้องรองถูกฟ้าผ่าตายกลายเป็นปุ๋ย งานประลองพรุ่งนี้ก็เป็นโมฆะไป
“ฉินจิ่วเกอขอบพระคุณสรวงสวรรค์ฟ้าดิน!” ฉินจิ่วเกอประคองมือขึ้นสูง ทำท่าเหมือนกราบไหว้ฟ้าดิน กราบกรานคำนับสามครั้งเก้าครั้งด้วยความเทิดทูนบูชา
ขออะไรได้อย่างนั้น ประเสริฐกว่านี้หามีไม่ แต่ถ้าเป็นไปได้หากท่านโยนศิลาวิญญาณระดับสูงสุดลงมาสักก้อนสองก้อนได้ก็จะดีมาก
ในใจแม้คิดเช่นนี้ แต่แน่นอนย่อมไม่กล้าพูดออกมา หาไม่แล้วเกิดสวรรค์คิดส่งเสริมความปรารถนา ส่งอสนีเทวะร่วงลงใส่หัวคงร้องไห้ไม่ทันแล้ว
ณ ห้วงเอกภพ ผู้ลึกลับตะลึงค้างไปแล้ว มังกรอสนีที่ตนผนึกขึ้น ไฉนจึงเบนทิศไปฟาดใส่ผิดคนได้เล่า?
“อย่าบอกนะว่า……” ผู้ลึกลับนวดหัวตา ก่อนเพ่งมองลึกเข้าไปในห้วงเอกภพอันดำมืดใหม่อีกครั้ง “ดูเหมือนว่าสายตาของข้านานวันเข้าจะยิ่งย่ำแย่ลงทุกที ถึงกับฟาดใส่ผิดคนเสียได้ ยังดีที่หยุดไว้ได้ทัน ถือว่าให้เจ้าคนซวยนั่นได้วาสนาใหญ่ไปแล้วกัน”
ควานหาของบางอย่างอยู่พักหนึ่ง ในสายตาผู้ปรีชาสามารถอย่างมัน ฟ้าดินก็เป็นแค่ละอองธุลีเท่านั้น
และแล้วก็หยิบแว่นสายตาออกมาสวม บวกกับใบหน้าเรียบง่ายสมถะของมันจึงเพิ่มความขบขันขึ้นอีกส่วน
“อืม ทีนี้ก็เห็นชัดแล้ว ลองใหม่อีกครั้ง!”
ผู้ลึกลับเรียกเอาอสนีบาตสีม่วงออกมาใหม่ อสนีสีม่วงนี้ไม่ใช่ของมัน จึงทำได้แค่บงการชั่วคราวเท่านั้น ไม่อาจบังคับได้ดั่งใจ
เมื่อมังกรม่วงถือกำเนิด ในห้วงเอกภพอันเวิ้งว้าง อสนีบาตสีทองบริสุทธิ์สายหนึ่งก็ฟาดตวัดมา
ราวกับรังสรรค์ด้วยฝีหัตถ์ของพระเจ้า จุติราชันจักรพรรดิ
อสนีสีทองที่แผ่กลิ่นอายอันสูงศักดิ์แลบปลาบเข้าใส่มังกรม่วง หากก็ถูกอสนีม่วงตอบโต้กลับ หนึ่งม่วงหนึ่งทอง ต้นกำเนิดหยินหยาง ปะทะพัวพันจนแยกไม่ออก
ผู้ลึกลับถอดแว่นแล้วนวดหัวตาอีกครั้ง อาการปวดล้าทางสายตาเป็นผลจากพลังวิเศษของมัน
“ไอหยา หลงนึกไปว่าตนเองสายตาฝ้าฟางเพราะความชรา ที่แท้เป็นวิถีฟ้าก้าวก่าย ขออภัยๆ”
แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ผู้ลึกลับไม่มีความเคารพเลยแม้แต่กระผีกริ้น คนยังคงนั่งห้อยหัวอยู่ดังเดิม กำจัดอสนีสีทองหนาเท่าถังน้ำสายนั้นไปอย่างง่ายดาย
ยามผานกู่เบิกฟ้า มีสี่ศักดิ์สิทธิ์คอยช่วยเหลือ กอปรกับอสนีสีม่วงทองอีกสองสายฟาดทำลายไท่ซู (ความว่างอันยิ่งใหญ่)
ลึกเข้าไปในห้วงเอกภพ มีเสียงเหยียดหยามดังออกมาเบาๆ คราหนึ่ง ราวกับว่ากำลังเย้ยหยันมนุษย์ที่ไม่รู้จักประเมินตนผู้นี้
จากนั้นทูตสวรรค์ทองคำก็เสด็จมาเยือน ไม่จำเป็นต้องพรรณาให้สวยหรู แค่ทราบว่าห้วงเอกภพที่เงียบสงัดมานับหมื่นปีกลับต้องเดือดพล่านขึ้นอีกครั้งเพราะการปรากฏตัวของมัน
“โฮ่?”
ทว่าผู้ลึกลับเพียงดีดนิ้วคราหนึ่ง ราชันมารเทียมฟ้าสิบหมื่นที่ซ่อนอยู่ในอสนีสีม่วงก็ออกมากลืนกินสัตว์เทวะตัวนั้นจนไม่มีเหลือ
สามพันกฎวิถี ห้าหมื่นต้นกำเนิดแห่งธรรมชาติ มรรคาวิถีอันศักดิ์สิทธิ์นับพันล้านล้วนถูกนำมาใช้อย่างไม่เก็บงำ ครั้นแล้วราชันมารเทียมฟ้าทั้งสิบหมื่นที่สามารถสังหารทูตสวรรค์พลันอันตรธานไป บนบ่าของผู้ลึกลับปรากฏรอยประทับอันลึกล้ำขึ้นแทนที่
“ช่างเถอะ ในเมื่อไม่มีวาสนา ข้าก็ต้องขอตัวก่อน แต่หวังว่าชะตาชีวิตของเจ้าหนูนั่นจะแข็งพอ ไม่แน่ยามเข้าสู่สังสารวัฏอีกครั้งอาจไม่ถูกพบเอาง่ายๆ ก็ได้”
ร่างของผู้ลึกลับพลันเปลี่ยนเป็นพร่าเลือน อสนีสีม่วงพร้อมทั้งมรสุมคลั่งสงบตัวลงอีกครั้ง และแล้วความเงียบสงัดเวิ้งว้างก็กลับคืนสู่ห้วงเอกภพอีกครั้ง
พายุฝนที่กำลังจะก่อตัวเหนือทวีปฉงหลิงพลันหยุดลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
หัวใจของผู้คนทั้งหมดสั่นสะท้านหวั่นไหว พร้อมกับความทรงจำที่ถูกลบหายไปกึ่งหนึ่งอย่างไม่มีใครรู้ตัว
เหล่าศิษย์ที่กำลังเก็บผ้าหนีฝนเป็นต้องเกาหัวแกรกๆ ด้วยความมึนงง ไอหยา ท้องฟ้าแจ่มใสปานนี้ ตนไฉนถึงมายืนเก็บผ้าได้เล่า?
ฉินจิ่วเกอนวดขมับที่ปวบแปลบขึ้นมา ช่างเป็นฝันที่อลังการยิ่งนัก จู่ๆ ก็มีฟ้าผ่ากลางฟ้าแจ้ง ทั้งยังฟาดผ่าใส่ลั่วเฉินเสียด้วย
มองลงไปเห็นที่พำนักของศิษย์น้องรองพังถล่มไม่เหลือซาก เห็นอาวุโสใหญ่หามเปลมุ่งหน้าไปช่วยแต่ไกล
ศึกในห้วงเอกภพ อสนีบาตสีม่วงทลายโลกา บุคคลปริศนา ความทรงจำเหล่านี้ล้วนถูกลบล้างขจัดไป
ไม่มีใครล่วงรู้ ใต้หล้าสงบเกินไปจริงๆ
จะมีก็แต่ฟ้าผ่ากลางฟ้าแจ้งเมื่อครู่ ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้ายผ่าใส่ลั่วเฉิน ตอนนี้วิ่งเต้นช่วยเหลือดับไฟกันให้วุ่นไปหมด
“ประเสริฐ!”
ฉินจิ่วเกอกระโดดโลดเต้นอย่างยินดีปรีดา ภายใต้ทัณฑ์สวรรค์ ไม่มีสิ่งใดรอดชีวิตได้ ลั่วเฉินเจ้าคนสารเลวนั่นสมควรถูกฟ้าผ่าตายไปแล้วแน่ๆ
แต่ถึงยังไงตนก็ยังเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของพรรค ศิษย์น้องถูกฟ้าผ่าตาย ในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ก็ยังต้องแสดงความเสียใจออกมาบ้าง
หลังปรับสภาพจิตใจดีแล้ว ฉินจิ่วเกอก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นอมทุกข์ปานว่ามีญาติผู้น้อยตายก่อนวัยอันควร เดินโซซัดโซเซไปยังที่เกิดเหตุ แต่ปรากฏว่าอาวุโสสามกลับกั้นไม่ให้ลูกศิษย์คนใดเข้าใกล้ ในระยะพันเมตรจึงปราศจากคน
“อาวุโสสาม เกิดอะไรขึ้น” ฉินจิ่วเกอเห็นอาวุโสสามทำท่าเหมือนเก็บถุงเงินได้ พยายามปิดบังรอยยิ้มสุดความสามารถ คล้ายไม่อยากให้ใครมองออก
“อ้อ มีเรื่องเหนือความคาดหมายนิดหน่อย เป็นเด็กเป็นเล็กไม่ต้องถามมากความ”
อาวุโสสามไม่ยอมเปิดปาก พยายามซ่อนรอยยิ้มเอาไว้สุดกำลัง ท่าทางกินแรงยิ่ง
“เช่นนั้นข้าไปถามท่านอาจารย์ก็ได้” ฉินจิ่วเกอชะเง้อชะแง้ อาจารย์ของตนเป็นถึงอาวุโสใหญ่ มีหรือต้องกลัวอาวุโสสาม
“ฝันไปเถอะ” อาวุโสสามพูดจบ ม่านแสงขนาดยักษ์ผืนหนึ่งก็ครอบคลุมเนื้อที่ใจกลางที่เกิดเหตุจนมิด หากไม่ใช่ชนชั้นกฎสรรพสิ่ง อย่าได้หวังว่าจะแง้มพรายดูได้
“เจ้าเด็กน้อย ทำตัวว่าง่ายคอยอยู่ที่นี่แหละ คราวนี้พรรคหลิงเซียวเราต้องผงาดขึ้นเป็นหนึ่งได้แน่ สวรรค์ทรงโปรด!” อาวุโสสามแหงนหน้าหัวเราะดังลั่น มุมปากวาดออกเป็นรอยยิ้มกว้าง ยินดีอย่างปิดไม่มิด
ความหดหู่พลันเกาะกุมจิตใจของฉินจิ่วเกอ จากที่อาวุโสสามพูดแปลว่าพรรคหลิงเซียวกำลังจะถึงยุคแห่งความโชติช่วงชัชวาลย์
ส่วนคนที่จะเป็นดาวนำทางพรรคหลิงเซียวนั้น ดูจากทิศที่อาวุโสสามชะเง้อคอยาวมองแล้วมองอีกนั้น ชัดเจนว่าย่อมไม่ใช่ฉินจิ่วเกอ
อย่าบอกนะว่าเป็นลั่วเฉิน มันไม่ได้ถูกฟ้าผ่าตายไปแล้วหรอกรึ?
มีแต่ตนที่อยู่บนที่สูงถึงได้ประสบความน่าสะพรึงกลัวของอสนีบาตล้างโลกาสายนั้นได้เต็มตา ภายใต้สายวิชชุเช่นนั้น แม้แต่มิติเวลายังต้องล่มสลาย โลกหล้ายังต้องดับสูญ แล้วชนชั้นปราณสุริยันกระจ้อยร้อยผู้หนึ่งจะรับมือได้อย่างไร
หากเฉียดโดนแม้เพียงนิดเดียว เกรงว่าคงประหยัดค่าทำศพได้ทั้งงาน เปรี้ยงเดียวกลับกลายเป็นละอองคืนสู่ธรรมชาติ ลดปัญหาไปในตัว ยังอาจถูกอาวุโสสามผู้ใจดำคำนวนลดค่าอาหาร
ไม่ดีแล้ว!
ฉินจิ่วเกอรู้สึกกระบิดกระบวนไปทั้งร่าง แทบตกใจกลัวจนล้มพับไปตรงนั้น
จากประสบการณ์ของฉินจิ่วเกอ บนโลกนี้กลับมีคนประเภทหนึ่งที่แม้แต่ทัณฑ์สวรรค์ก็ทำอย่างไรกับมันไม่ได้ คนที่กล้ามองวิถีฟ้าเป็นแค่มดปลวก
คนประเภทนี้ไม่มีชื่อเรียก ไม่ว่าจะเป็นทัณฑ์สวรรค์ก็ดี จอมราชันไร้ผู้ต้านก็ดี ล้วนเป็นได้แค่ค่าประสบการณ์สำหรับคนผู้นี้เท่านั้น คนที่ผู้คนรู้จักกันเป็นอย่างดีในฐานะ——พระเอก!
“หรือว่าน้องรองจะไม่เป็นอะไร?”
ฉินจิ่วเกอตกใจกลัวจนแทบเยี่ยวเล็ด ตนคงไม่ได้ล่วงเกินพระเอกของเรื่องจริงๆ หรอกใช่ไหม
งั้นตนจะได้รับบทบาทอะไรเล่า ตัวร้ายคนแรกที่ถูกพระเอกสั่งสอน?
“อืม ไม่เป็นอะไร” พอนึกได้ว่ากำลังร่วมธุรกิจกับฉินจิ่วเกออยู่ อาวุโสสามจึงเหลือบตามองอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นผงกหน้ารับ
“จริงหรือนี่” ฉินจิ่วเกอแทบจะร้องไห้
มีอะไรผิดพลาดหรือไม่ ฉากพระเอกเปิดตัว สมควรอลังการงานสร้างแสงสีเจิดจรัสงดงาม ไฉนจึงเป็นฟ้าผ่าไปได้
พอเห็นว่ารอบด้านปลอดคน อาวุโสสามจึงยอมเปิดปากพูดในที่สุด
“พูดไปอาจไม่เชื่อ แต่สายฟ้ากลางแจ้งก่อนหน้านี้ แม้แต่พลังตกค้างของมันเพียงน้อยนิด ข้าที่เหยียบเข้าสู่ขอบเขตกลั่นดวงธาตุนานแล้วยังไม่กล้าเข้าใกล้ น่าแปลกตรงที่เจ้าเด็กน้อยลั่วเฉินนั่นกลับไม่เป็นอะไรเลย ตรงข้ามกลับได้รับประโยชน์ อสนีบาตสายนั้นกลับช่วยมันชำระสังขาร ตอนนี้กำลังดูดซับพลังเข้าร่าง รอมันออกมาเมื่อไหร่ คงเกือบบรรลุปราณสุริยันขั้นปลายเต็มทน ไม่นานเกินรอก็คงทะลวงด่านได้”
ฉินจิ่วเกอรับฟังจนจิตเตลิด พรรคหลิงเซียวกระจ้อยร่อยแห่งนี้ นอกจากอาวุโสห้าผู้ฟั่นเฟือนกับอาวุโสสี่ผู้คร่ำเคร่งกับการปรุงยา อาวุโสสามที่อยู่ตรงหน้ามันนี้ต่างก็เป็นชนชั้นกลั่นดวงธาตุกันทั้งสิ้น!
พรรคเช่นนี้ ไม่มีทางเป็นพรรคธรรมดาๆ ได้เด็ดขาด จำต้องมีความลับที่ไม่อาจเปิดเผยบางประการเก็บซ่อนอยู่อย่างแน่นอน
เมืองซวนอู่อันกว้างใหญ่ที่มีประชากรนับล้านยังมีแค่อาวุโสมู่หยวนชนชั้นกลั่นดวงธาตุขั้นสี่นั่งแท่นบัญชา อาวุโสสามผู้นี้กลับต้านทานอุณหภูมิที่สูงถึงสามพันองศา รวมทั้งพลังตกค้างของสายวิชชุได้อีก เทียบกับมู่หยวนแล้วยังน่ากลัวกว่า
“นะ น่ายินดีจริงๆ” ฉินจิ่วเกอใกล้จะร้องไห้เต็มที แน่นอนแล้วว่าลั่วเฉิน ไม่สิ น้องรองผู้ยิ่งใหญ่ก็คือพระเอกผู้ลึกลับของเรื่องนี้!
หน้าตาหล่อเหลา พรสวรรค์สูงส่ง สติปัญญาเหนือมนุษย์ จิตปณิธานไร้ผู้ทัดเทียม ไหนจะเป็นลูกรักของสวรรค์อีก
นอกจากบทพระเอก ก็ไม่มีบทใดอีกแล้ว